ตอนที่ 74 ค้นหาเบาะแส
เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนี้ ผมก็ไม่ลังเลเลยสักนิด รีบพยักหน้ารับทันที
“ได้ครับอาจารย์ แต่ว่าต้องเอาอาวุธพวกนั้นไปไหมครับ”
อาจารย์ส่ายหัว “นี่มันกลางวันแสกๆ ไม่ต้องใช้อาวุธพวกนั้นหรอก!”
หลังจากพูดจบ ผมก็เข้าไปบอกลาท่านนักพรตตู๋และเฟิงเฉ่วหาน
จากนั้น พวกผมสองคนก็ออกมาจากร้านของท่านนักพรตตู๋
อาจารย์บอกว่า ที่หลี่ต้าชานป่วย เป็นเพราะไปตั้งแคมป์ในป่าเมื่อเดือนก่อน ดังนั้นพวกเราจะต้องไปดูสถานที่ตั้งแคมป์ของพวกเขาเป็นที่แรกก่อน
สถานที่ตั้งแคมป์ของพวกเขาอยู่ห่างจากที่ที่พวกเราอยู่ไม่ไกลนัก เพียงเดินขึ้นไปตามอ่างเก็บน้ำ ประมาณชั่วโมงกว่าๆเท่านั้น
เนื่องจากตอนนี้เป็นฤดูร้อน ตอนเดินทางจึงร้อนเป็นพิเศษ
หลังจากพวกเรามาถึง ก็พบว่าสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยต้นหญ้าแห้งเหี่ยว
พวกเราเดินสำรวจไปรอบๆพักหนึ่ง ไม่นานก็พบสถานที่ตั้งแคมป์ของหลี่ต้าชาน
มันหาง่ายมาก นอกจากจะมีลักษณะเด่นบางอย่างแล้ว ที่นี่ยังมีขยะเยอะเป็นพิเศษ และยังมีเถ้าถ่านที่เหลือจากการจุดไฟทิ้งเอาไว้อยู่
ที่นี่อยู่ใกล้กลับด้านหลังของภูเขาลูกใหญ่ ปกติแทบไม่มีคนมาเดินที่นี่กันด้วยซ้ำ
“อาจารย์ น่าจะเป็นที่นี่แหละครับ!” ผมยืนอยู่กับที่และมองไปรอบๆ
อาจารย์เองก็มองไปรอบๆเช่นกัน ขณะเดียวกันก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ช่างเป็นเด็กบ้าที่ไม่กลัวตายจริงๆ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจ้าเด็กนั้นจะโดนผีตาม……”
เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมก็เริ่มสงสัยขึ้นมานิดหน่อย
จึงหันไปพูดกับอาจารย์ว่า “อาจารย์ หมายความว่ายังไงครับ”
“ฮึ! ดูไม่ออกละซิ! รอบๆนี้มีแรงอาฆาตอยู่ เป็นศูนย์รวมของพลังหยิน มันก็คือสุสานเก่าแก่! ที่ฝังศพคนตายน่ะซิ”
“ไม่ว่าจะเป็นเหนือใต้ออกตก ล้วนเป็นที่ฝังศพ สถานที่ที่เจ้าเด็กกลุ่มนี้เลือกตั้งแคมป์ ยังเป็นใจกลางของที่นี่!”
อาจารย์ยิ้มออกมาแห้งๆ เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็มองไปรอบๆอย่างละเอียดอีกครั้ง
สุดท้ายผมก็มองออกถึงความแตกต่างบางอย่าง เห็นได้ชัดว่ารอบๆมีดินนูนขึ้นมา และเมื่อวิเคราะห์จากสิ่งที่อาจารย์พูด ผมก็มองออกว่าฮวงจุ้ยของที่นี่เหมาะสม เป็นสถานที่ของผีจริงๆ
“เข้าไปดูอีกหน่อย จะได้แน่ใจ” อาจารย์พูดต่อ
เมื่อได้ยินแบบนั้น ผมก็พยักหน้า จากนั้นก็เริ่มเดินไปรอบๆกับอาจารย์ ลองค้นหาเผื่อจะเจอเบาะแสที่เกี่ยวกับผีตนนั้น
ทำงานในสายของพวกเรา ถ้าบุ๋นได้ก็ไม่บู๊ ถ้าพูดได้ก็ไม่ลงมือ
ยิ่งรู้ข้อมูลของอีกฝ่ายมากเท่าไหร่ พวกเราก็มีโอกาสชนะมากขึ้นเท่านั้น
หลังจากค้นหาไปรอบๆ พวกเราก็ยังไม่พบเบาะแสใดๆ
ตอนนี้พวกเราเริ่มถูกแสงแดดแผดเผาจนแทบทนไม่ไหวแล้ว จนต้องถอยเข้ามาอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง พวกเราคิดจะพักกันสักแป๊บ
แต่ขณะที่ผมกำลังจะนั่งลง ก็พบว่าข้างๆมีกระดาษทิชชู่อยู่สองสามม้วน และยังพบถุงยางอนามัยที่ใช้แล้ว
ผมคิดว่านี่มันน่ารังเกียจมาก จะต้องเป็นตอนที่กลุ่มของหลี่ต้าชานมาตั้งแคมป์ แล้วทำเรื่องอย่างว่าตรงนี้แน่ๆ
ผมจึงใช้เท้าเขี่ยไปสองสามครั้ง แต่การเขี่ยครั้งนี้กลับทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจ ดูเหมือนที่พื้นจะมีแผ่นหิน
ผมจึงก้มลงไปมองตามสัญชาตญาณ และแล้วก็เห็นแผ่นหินอย่างที่คิด
ผมรู้สึกแปลกใจ จึงปัดใบไม้และแหวกหญ้าออก
ในที่สุด แผ่นหินแตกๆของหลุมฝังศพก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าของผม
ผมพยายามหาแทบตายก็ไม่เจอแต่กลับได้มาเจอแบบคาดไม่ถึง เมื่อเห็นป้ายหลุมศพ ผมก็ดีใจรีบตะโกรเรียกอาจารย์ทันที “อาจารย์ ผมเจอแล้ว รีบมาดูเร็ว!”
เมื่ออาจารย์ได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็รีบเข้ามาดูทันที
เมื่อเห็นอาจารย์เข้ามาใกล้ ผมก็ชี้ที่ไปที่ป้ายหลุมศพแตกๆทันที “อาจารย์ ที่นี่มีป้ายหลุมศพอันหนึ่ง!”
อาจารย์ยกคิ้วขึ้น และก้มลงมองตามที่ผมชี้
ป้ายหลุมศพทรุดโทรมมาก และตัวอักษรที่อยู่บนป้ายก็ไม่ใช่อักษรจีนตัวย่อ ทั้งหมดล้วนเป็นอักษรจีนตัวเต็ม
และยังสามารถมองเห็นได้เพียงรางๆ ลูกสาวของโจวกง หลุมศพของโจวอะไรสักอย่าง
หลังจากนั้นยังมีวันที่ และเวลาที่เขียนเอาไว้ยังอยู่ห่างจากตอนนี้มาก ด้านบนเขียนเอาไว้ว่าจักรพรรดิกวางสู้ปีที่สาม
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็ตกใจทันที
ดีจริงๆ ที่นี่ยังมีสุสานอายุกว่าร้อยปีอยู่หนึ่งหลุม
หรือผีที่ตามรังควานหลี่ต้าชาน จะเป็นลูกสาวของโจวกงคนนี้ ผีผู้หญิงที่ตายไปแล้วกว่าร้อยปี
ในใจของผมกำลังคิดแบบนี้ แต่ตอนนี้ผมยังไม่แน่ใจ
อาจารย์บอกให้ผมจดลงไปดีๆ จากนั้นก็สำรวจรอบๆอีกครั้ง
แต่ก็ไม่พบเบาะแสอะไร นอกจากป้ายหลุมศพแตกๆแผ่นนี้ ก็ไม่มีข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์เลยสักนิด
เมื่อเห็นว่าไม่มีเบาะแสอะไรอีก อาจารย์จึงบอกว่าไหนๆก็มาแล้ว ยังไงก็ทำความสะอาดที่นี่สักหน่อยก็แล้วกัน
คนตายเป็นคนยิ่งใหญ่ แต่ที่นี่กลับมีแต่ป้ายหลุมศพพังๆ แถมยังถูกพวกเรามารบกวน ยังไงก็ถือว่าเป็นโชคชะตาก็แล้วกัน
เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมก็ต้องทำตามเป็นธรรมดา
พวกเราเก็บขยะที่เกลื่อนกลาดอยู่ที่นี่ โดยเฉพาะป้ายหลุมศพที่แตกหักอันนั้น ผมก็เช็ดทำความสะอาดเป็นพิเศษ
หลังจากทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ ผมและอาจารย์ก็หมุนตัวเดินออกจากที่นี่ทันที
หลังจากพวกเรากลับมาถึงร้านของท่านนักพรตตู๋ ก็เป็นเวลาบ่ายสามกว่าๆแล้ว
จากนั้นก็เล่าสถานการณ์ให้นักพรตตู๋และเฟิงเฉ่วหานฟัง เมื่อได้ยินแบบนั้นทั้งสองคนก็พยักหน้าเล็กน้อย และจดรายละเอียดที่อยู่บนป้ายหลุมศพ
อาจเป็นไปได้มากว่าจะเป็นเธอ ถ้าคืนนี้ได้เจอ อย่างน้อยก็จะรู้ว่าอีกฝ่ายมีที่มายังไง
ต่อมา พวกเราก็นัดเวลาเจอกันในคืนนี้ จากนั้นผมและอาจารย์ก็กลับมายังร้านของตัวเอง
เมื่อกลับมาถึงบ้านพวกเราก็เตรียมอาวุธ เผื่อไม่สามารถเจรจาได้ ยังไงก็ต้องเตรียมสิ่งเหล่านี้เอาไว้ให้พร้อม
หลังจากทำเรื่องพวกนี้เสร็จ ก็เป็นเวลา 5 โมงกว่าแล้ว
ผมและอาจารย์จึงหาอะไรกินกันง่ายๆ แล้วก็พักกันอีกแป๊บนึง
เมื่อฟ้ามืด พวกเราก็นำอาวุธไปพบกับท่านนักพรตตู๋และคนอื่นๆ
บ้านของหลี่ต้าชานอยู่ติดกับตัวตำบล เป็นบ้านหลังเล็กๆหลังหนึ่ง
ไม่ได้เป็นบ้านทรงเก่าโบราณ แต่เป็นบ้านสมัยใหม่ที่มีสามชั้น ด้านนอกยังปูไปด้วยกระเบื้องสีขาว
หลังจากพวกเรามาถึง ก็พบว่าแม่ของหลี่ต้าชานได้มายืนรออยู่ที่หน้าประตูนานแล้ว
เมื่อเห็นพวกเรามาถึง เธอก็รีบเข้ามาต้อนรับทันที
“ท่านนักพรตทั้งสอง ในที่สุดพวกคุณก็มา!”
อาจารย์และนักพรตตู๋พยักหน้า จากนั้นก็เดินตามเข้าไปในบ้าน
เมื่อเข้ามาในบ้าน พวกเราก็พบว่าหลี่ต้าชานกำลังเดินไปเดินมา เห็นได้ชัดว่าเขากำลังหวาดกลัวมาก
พวกเรามองไปรอบๆ แต่ก็ยังไม่เห็นสิ่งผิดปกติอะไร
หลี่ต้าชานใจร้อน เมื่อเห็นพวกเรามาถึงแล้ว ก็รีบเข้ามาคุยกับพวกเราทันที “ท่านนักพรตทุกท่าน ผม ผมควรทำยังไงดี ฟ้า ฟ้ามืดแล้ว เธอ เธอจะมาแล้ว!”
แต่อาจารย์กลับโบกมือ “เจ้าเด็กน้อย อย่ารีบร้อน เธอจะทำอะไรก็ไปทำ! อยากจะนอนก็ไปนอน คืนนี้มีพวกเราอยู่ เธอนอนหลับให้สบายเถอะ!”
หลี่ต้าชานและคุณนายหลี่จะมีอารมณ์นอนกันที่ไหนกันละ จึงบอกว่าจะอยู่เป็นเพื่อนพวกเรา
เมื่อเห็นพวกเขาไม่ทำตาม พวกเราก็ไม่ได้พูดอะไร
ตอนนี้สิ่งที่พวกเราต้องทำ ก็มีเพียงแค่รอให้เหยื่อเข้ามาติดกับ
และตอนนี้ยังไม่ดึกมาก พึ่ง 4 ทุ่มกว่าๆเท่านั้น
ผมและเฟิงเฉ่วหานไม่มีอะไรทำ จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกม
ส่วนอาจารย์และนักพรตตู๋ก็นั่งคุยกัน มีเพียงแค่หลี่ต้าชานและแม่ของเขาเท่านั้นที่กำลังแสดงความกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัดมากๆ แค่มีลมพัดกิ่งไม้ใบหญ้าก็ทำให้พวกเขาตกใจได้แล้ว
เวลาค่อยๆผ่านไปอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งมาถึงประมาณตีหนึ่งครึ่ง
จู่ๆหลี่ต้าชานก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เขามองไปรอบๆด้วยใบหน้าที่หวาดกลัว
แถมยังพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียดและหวาดกลัว “เสียงนี้ เสียงนี้ เธอมาแล้ว เธอกำลังเข้ามาแล้ว!”
ขณะที่พูด เขาก็กลัวจนเดินถอยไปข้างหลัง
สุดท้ายก็สะดุดกับขาโซฟา จนล้มลงไปนั่งกับพื้น
เมื่อพวกเราเห็นท่าทางของหลี่ต้าชาน สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมา และมองไปรอบๆทันที
แต่รอบๆนอกจากจะมีแค่เสียงแมลงในฤดูร้อนแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นอีก
“เธอได้ยินเสียงอะไร” ท่านนักพรตตู๋ถามออกมาตรงๆ
หลี่ต้าชานกลับกลัวสุดๆ “เสียง เสียงหัวเราะ ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังหัวเราะ!”
เสียงหัวเราะงั้นเหรอ ผมขมวดคิ้ว และตั้งใจฟังทันที
แต่ยังไงก็ไม่ได้ยินอะไรเลย แม้แต่พลังหยินเพียงแค่นิดเดียวผมก็ไม่รู้สึก
ทุกคนกำลังสงสัยในใจ ที่นี่ไม่มีพลังหยินเลย ผีจะต้องยังไม่เข้ามาแน่
แต่ถ้าผีไม่เข้ามา เขาจะได้ยินเสียงหัวเราะได้ยังไง หรือเขาจะคิดไปเอง
หลี่ต้าชานกลัวมาก เขาสั่นไปทั้งตัว ในปากยังพูดออกมาอย่างต่อเนื่อง “อย่า อย่า”
ขณะที่พวกเรากำลังสงสัยและมองไปรอบๆ หลี่ต้าชานที่ไม่ตื่นตัว ดวงตาทั้งสองข้างกลับพลิกขึ้น และสลบลงไปทันที
“ต้าชาน ต้าชาน!” แม่ของหลี่ต้าชานกระวนกระวานมาก เธอรีบเขย่าตัวลูกชายของตัวเองทันที
พวกเราแปลกใจมาก ไม่สัมผัสถึงพลังของผีเลยสักนิด แต่หลี่ต้าชานกลับสลบลงไปต่อหน้าของพวกเราแล้ว
สีหน้าของอาจารย์เปลี่ยนไป เขารีบเข้าไปจับตัวหลี่ต้าชานทันที
แต่มันไม่ได้ผล หลี่ต้าชานยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเลย
แต่มันยังไม่จบเพียงเท่านี้ หลังจากนั้นประมาณ 90 วินาที
จู่ๆร่างกายของหลี่ต้าชานก็สั่นขึ้นมาแป๊บนึง เหมือนกำลังมีเงาบางอย่างจางๆ ลุกขึ้นมาจากร่างของเขา
จากนั้นสีหน้าหดหู่ก็ปรากฎขึ้น เงานั้นค่อยๆเดินตรงออกไปจากบ้าน……