ศพ – ตอนที่ 75 วิญญาณออกจากร่าง

ตอนที่ 75 วิญญาณออกจากร่าง

จู่ๆผมก็เห็นร่างข้างในของหลี่ต้าชานลุกขึ้นมา จากนั้นก็เดินไปที่ประตู

ผมอึ้งไปทันที สิ่งแรกที่ผมคิดออกก็คือ นี่คือวิญญาณของหลี่ต้าชาน

แต่สิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจก็คือ ผมไม่ได้เปิดตา แต่ทำไมตอนนี้ผมถึงเห็นวิญญาณได้ละ

ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ในบ้านนอกจากผมแล้ว แม้แต่ท่านนักพรตตู๋ที่มีพลังสูงสุด ก็ยังดูเหมือนว่าจะมองไม่เห็น

ถึงแม้ผมจะไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ยืนอยู่โง่ๆ

รีบบอกอาจารย์และท่านนักพรตตู๋ที่อยู่ในบ้านทันที “อาจารย์ ท่านนักพรตตู๋ วิญญาณของเขาออกจากร่างแล้ว!”

 

“อะไรนะ ออกจากร่างแล้ว” อาจารย์ที่จับตัวหลี่ต้าชานไว้ถึงกับตกใจทันที

สีหน้าของท่านนักพรตตู๋เองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน แต่ในสายตาของเขา ยังคงมองไม่เห็นวิญญาณของหลี่ต้าชาน

แต่อาจารย์กับท่านนักพรตตู๋ และเฟิงเฉ่วหาน ก็รีบเปิดตาตั้งแต่วินาทีแรก

เมื่อแม่ของหลี่ต้าชานได้ยิน ก็ร้องไห้ออกมาทันที

กอดร่างของหลี่ต้าชานเอาไว้และตะโกนว่า “ลูกจ๋า ลูกจะไปไหน แกอย่าทำให้แม่กลัวนะ แกอย่าทำให้แม่กลัว……”

“เสี่ยวฝาน รีบไปหยุดวิญญาณของเขาเอาไว้ อย่าให้เขาออกไปจากที่นี่!” อาจารย์พูดขึ้นมาอีกครั้ง

ผมไม่รอช้า รีบวิ่งไปข้างหน้าของเขาทันที

 

มองไปที่ร่างมัวๆนั้น แล้วก็เอื้อมมือออกไป “กลับมา!”

แต่ตอนที่ผมจับตัวของเขา ทันใดนั้นผมก็พบว่ามือของตัวเอง ได้ทะลุร่างของเขา ไม่สามารถจับเขาเอาไว้ได้

ผมยังคงคว้าตัวเขาอีกสองสามครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ

“อาจารย์ ผมจับเขาไม่ได้!” ผมรีบพูด

ในเวลาเดียวกัน อาจารย์ ท่านนักพรตตู๋และคนอื่นๆก็เปิดตาเรียบร้อยแล้ว

ส่วนวิญญาณของหลี้ต้าชาน ก็เดินมาถึงประตูแล้ว

 

อาจารย์และนักพรตตู๋แสดงสีหน้าเคร่งขรึม ต่างรีบพุ่งขึ้นไปข้างหน้า พวกเราต่างคิดจะฉุดรั้งวิญญาณของ

หลี่ต้าชานเอาไว้

แต่สิ่งที่แปลกก็คือ พวกเขาและผมเหมือนกัน ต่างก็ไม่สามารถจับตัวเขาได้

นี่มันแปลกมากๆ ทำให้พวกเราไม่เข้าใจว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“อาจารย์ นี่มันเรื่องอะไรกัน” ผมรู้สึกงงงวย

ขณะนี้วิญญาณของหลี่ต้าชาน ได้เดินออกจากประตูไปเรียบร้อย เขากำลังเดินตรงไปข้างนอก

อาจารย์มองวิญญาณ และหันกลับมามองร่างของหลี่ต้าชานที่อยู่ใกล้ๆอีกครั้ง

 

“นี่ นี่ไม่ใช่วิญญาณที่สมบูรณ์ มีเพียงวิญญาณแต่ไม่มีจิตวิญญาณ” จู่ๆอาจารย์ก็พูดออกมา

แต่ผมกลับมึนงง มีแต่วิญญาณไม่มีจิต นี่มันเรื่องอะไรกัน

แต่ตอนนั้นผมยังไม่มีเวลาถาม ทันใดนั้นอาจารย์ก็พูดกับพวกเราว่า “ทำพิธีเรียกวิญญาณตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว พวกเราตามเขาไป!”

ขณะที่พูด อาจารย์ก็พุ่งออกไปคนแรก

ทันใดนั้นท่านนักพรตตู๋ก็พูดกับคุณนายหลี่ที่อยู่ในบ้านว่า “คุณเฝ้าลูกคุณเอาไว้นะ พวกเราจะไปแป๊บเดียวเดี๋ยวก็กลับมา!”

หลังจากพูดจบ ท่านนักพรตตู๋ก็พาเฟิงเฉ่วหานไล่ตามไปทันที

 

ผมเองก็ไม่รอช้า หลังจากมองหลี่ต้าชานแวบหนึ่ง ก็รีบวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว

ผมไม่รู้ว่าทำไมภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ได้เปิดตา แต่กลับเห็นวิญญาณของหลี้ต้าชานได้

แต่ตอนที่ไล่ตามออกมาข้างนอก ความมืดมิดในยามค่ำคืนกลับทำให้ผมต้องลำบาก

ดังนั้นผมจึงพูดกับเฟิงเฉ่วหานว่า “เหล่าเฟิง ขอน้ำตาวัวหน่อย ฉันจะเปิดตา!”

เมื่อเฟิงเฉ่วหานได้ยินผมพูดแบบนั้น กลับนิ่งไปแล้วพูดว่า “นายไม่ได้เปิดตาแล้วเหรอ”

“ยังนะซิ ฉันไม่ได้เอาเจ้านี้มา!” ผมพูดตรงๆ

แต่เฟิงเฉ่วหานกลับตกตะลึง “ถ้างั้นทำไมนายถึงมองเห็นวิญญาณของเขาได้ละ”

 

ผมเองก็ทำหน้าอึดอัดใจ ตัวเองยังงงอยู่เลย! นายถามฉัน แล้วฉันจะไปถามใครละ

ผมส่ายหัวแล้วพูดว่าไม่รู้ แต่ก็รับขวดน้ำตาวัวมา จากนั้นก็ป้ายที่เปลือกตาอย่างรวดเร็ว

หลังจากรู้สึกเย็นที่เปลือกตา ตาของผมก็ถูกเปิดออก

ตอนนี้ผมสามารถมองเห็นได้มากขึ้น วิญญาณที่อยู่ข้างหน้าพวกเราก็เริ่มเคลื่อนไหวเร็วขึ้น

ที่ด้านหลังของเขามีอาจารย์และท่านนักพรตตู๋ กำลังวิ่งตามอยู่ไม่ไกลมากนัก

ส่วนผมและเฟิงเฉ่วหานทำได้เพียงเพิ่มความเร็วและไล่ตามไป จนสามารถมาถึงด้านหลังของอาจารย์และคนอื่นๆ

 

พวกเราพบว่าทิศทางที่วิญญาณหลี่ต้าชานกำลังไป ก็คือทิศทางของอ่างเก็บน้ำ เห็นได้ชัดว่าเป็นเส้นทางที่พวกเราเดินทางไปสำรวจเมื่อตอนกลางวัน

“อาจารย์ ต่อไปพวกเราจะทำยังไงดีครับ”

อาจารย์วิ่งไป ตอบผมไป “เรื่องไม่เป็นอย่างที่เราคิด ตอนนี้ทำได้แค่ตามไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน! ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอแค่ได้เจอตัวเป้าหมาย เราก็จะตัดสินใจได้ง่ายขึ้น”

ผมพูด “อืม” จากนั้นก็วิ่งตามอาจารย์และคนอื่นๆต่อไป

หลังจากนั้นประมาณ 1 ชั่วโมง พวกเราก็ตามวิญญาณของหลี่ต้าชานมาถึงสถานที่เมื่อตอนกลางวัน

 

เมื่อสถานที่แห่งนี้มาถึงตอนกลางคืน อากาศก็เย็นขึ้นจนน่าขนลุก พลังหยินแรงมาก ราวกับเข้ามาอยู่ในสุสานผีไร้ญาติยังไงอย่างนั้น

“ทุกคนระวังตัวด้วย พลังหยินของที่นี่แรงมาก!” ท่านนักพรตตู๋พูด

ในเวลาเดียวกันทุกคนก็เริ่มเดินช้าลง เห็นได้ชัดว่าผีตนนี้ อยู่บริเวณแถวนี้

ดังนั้นพวกเราจึงจงใจเว้นระยะห่าง ค่อยๆเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ

แต่ไม่รอให้พวกเราได้เข้าไปใกล้หลุมศพ ก็พบว่าไกลออกไป วิญญาณของหลี่ต้าชานได้ยืนอยู่ที่ใต้ต้นไม้ และไม่ขยับตัวไปไหนแล้ว

ส่วนต้นไม้ต้นนั้น ก็คือสถานที่ที่ผมเจอป้ายหลุมศพพุๆพังๆเมื่อตอนกลางวันนั่นเอง

 

“อาจารย์เขากำลังทำอะไร” เฟิงเฉ่วหานถาม

ท่านนักพรตตู๋ส่ายหัว “ยังไม่แน่ใจ พวกเราดูสถานการณ์ไปก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ!”

ทุกคนไม่ได้เดินสุ่มสี่สุ่มห้า ต่างซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้อย่างเงียบๆ รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ

หลังจากนั้นประมาณ 5 นาที จู่ๆรอบๆก็มีลมกระโชกแรงเกิดขึ้น

หลุมศพเล็กๆที่อยู่รอบๆ ต่างมีไอสีดำแพร่ออกมา

ไอดำพวกนี้เข้มข้นมาก แต่จะสามารถมองเห็นได้หลังจากเปิดตาเท่านั้น ถ้าเป็นตาปกติจะไม่สามารถมองเห็นได้เลย

 

หลังจากที่พวกเราเห็นไอดำเหล่านี้ อาจารย์ก็อดพูดออกมาเบาๆไม่ได้ “กลั้นหายใจเร็ว มันมาแล้ว!”

ใจของผมเต้น “ตึกตึกตึก” เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมก็รีบกลั้นหายใจ ไม่กล้าปล่อยลมหายใจออกมาอีก

หลังจากไอดำพวกนั้นออกมา จู่ๆที่หลุมศพเล็กๆพวกนั้น ก็มีคนเดินออกมา

ตรงนั้นมีทั้งหมด 5 หลุม จึงมีคนเดินออกมา 5 คน

ใน 5 คนนี้มีผู้ชาย 3 ผู้หญิง 2 ผู้ชายสามคนนั้นอยู่ในช่วงวัยกลางคน ส่วนผู้หญิงอีกสองคนเป็นเด็กสาวอายุราวๆสิบเจ็ดสิบแปดปี

เห็นได้ชัดว่า ทั้งห้าคนนี้ไม่ใช่คน แต่เป็นผีห้าตนที่ออกมาจากหลุมศพ

 

และเครื่องแต่งกายที่ห้าตนนี้ใส่ ก็ไม่เหมือนกับชุดในยุคของพวกเรา

ผู้ชายสามคน ต่างไว้ผมเปียตามแบบฉบับของคนในยุคราชวงค์ชิง และเสื้อผ้าที่ใส่ก็เหมือนกับคนในยุคราชวงค์ชิงเป๊ะ

พวกเขาล้วนใส่เสื้อคลุมฉ่างอีและกระโปรงจีบสีขาว ส่วนผู้หญิงอีกสองคนต่างใส่ชุดเหมือนสาวใช้ในละครทีวี ซึ่งเป็นชุดกระโปรงยาวสีเขียว

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นผี แล้วรู้สึกว่าทั้งน่ากลัวและน่าตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน

แต่อาจารย์กลับพูดออกมาเบาๆ “ที่แท้ก็เป็นฝีมือของพวกผีเฒ่าอายุร้อยปี ดูเหมือนจะเจอกับเรื่องยุ่งๆเข้าแล้ว ไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกนั้นจะมีฝีมือ! เตรียมตัวกันก่อน อีกเดี๋ยวพวกเราจะลงมือแล้ว”

 

ขณะที่อาจารย์พูด พวกเราก็ค่อยๆดึงดาบไม้ออกมา

ไอ้พวกผีที่ชอบทำร้ายคน ไม่ว่าแกจะเป็นผีแก่อายุร้อยปี หรือพึ่งจะเป็นผีชั่วก็ตาม

ถ้าทำร้ายคน ยังไงก็ถือว่าเป็นศัตรูของคนปราบสิ่งชั่วร้ายอย่างพวกเรา

ในเวลาเดียวกัน เจ้าผีห้าตนนั้นก็ได้มาถึงด้านหน้าของหลี่ต้าชานแล้ว พวกเขาล้อมรอบเขาเอาไว้

พวกเขามองหลี่ต้าชานด้วยสายตาที่โกรธแค้น ใบหน้าดุร้าย

ในเวลาเดียวกัน จู่ๆก็ได้ยินเสียงผีผู้ชายตนหนึ่งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ “ไอ้เด็กไร้ยางอาย คุกเข่าลงซะ!”

 

เสียงพึ่งจางหาย “บึก” วิญญาณของหลี่ต้าชานก็คุกเข่าลงทันที

จากนั้นวิญญาณของหลี่ต้าชานก็เหมือนกับโดนมนต์สะกด เขาคำนับป้ายหินแตกๆที่อยู่ตรงหน้าต้นไม้อย่างต่อเนื่อง

ทุกครั้งที่หลี่ต้าชานก้มหัวลง ในปากของเขาก็จะพ่นลมหายใจออกมา

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมและเฟิงเฉ่วหานก็มึนงงทันที

ไม่ใช่บอกว่า เจ้าเด็กนี้ฝันว่าไปทำเรื่องอย่างว่าติดๆกันงั้นเหรอ

ตามหลักแล้ว วิญญาณของหลี่ต้าชายเดินมาไกลขนาดนี้ ก็ควรจะถูกผีผู้หญิงดึงดูดมาทำมิดีมิร้ายกันในป่าซิ!

ให้วิ่งมาที่นี่เพื่อก้มหัวเนี่ยนะ ช่างแปลกประหลาดจริงๆ

เมื่อท่านนักพรตตู๋เห็นสิ่งนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เขาบ่นพึมพรำออกมา “มันไม่ถูกต้อง! ทำไมผีกลุ่มนี้ถึงกำลังเอาคืนเขาอยู่ละ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset