ศพ – ตอนที่ 76 ทวงหนี้

ตอนที่ 76 ทวงหนี้

จู่ๆท่านนักพรตตู๋ก็พูดออกมา แม้เสียงจะเบามาก แต่ผมและอาจารย์ที่อยู่ข้างๆต่างได้ยินมันอย่างชัดเจน

ผมและอาจารย์หันไปมองตามสัญชาตญาณ พวกเราต่างมองท่านนักพรตตู๋ด้วยความสงสัย

ในเวลาเดียวกันอาจารย์ก็พูดกับท่านนักพรตตู๋ว่า “เหล่าอ่าว นายพูดอะไร ทวงหนี้อะไร”

เมื่อท่านนักพรตตู๋ได้ยินอาจารย์ถาม เขาก็พูดออกมาเบาๆ “เหล่าติง เรื่องนี้มันผิดปกติ นายดูผีห้าตัวนั้นซิ! แล้วก็มองวิญญาณที่ไร้จิตของเจ้าเด็กนั้น”

ท่านนักพรตตู๋พูดออกมาตรงๆ แต่ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ

นอกจากผีห้าตนนี้จะเป็นผียุคโบราณแล้ว ผมก็ไม่เห็นอะไรเป็นพิเศษอีกเลย

ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมมีแต่วิญญาณ ไม่มีจิตนั้น ผมก็ยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่

 

ทำได้เพียงมองท่านนักพรตตู๋ด้วยความสับสน นอกจากผมแล้ว เฟิงเฉ่วหานเองก็เป็นเหมือนกัน เขาไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด

อาจารย์หันไปมองแป๊บนึง แต่ก็เห็นแค่ผีห้าตนล้อมรอบหลี่ต้าชานเอาไว้เท่านั้น

ทุกครั้งที่หลี่ต้าชานคำนับ เขาก็จะพ่นลมหายใจออกมา

จากนั้นผีทั้งห้าตนก็สูดมันเข้าไป เห็นได้ชัดว่าการกระทำนี้ ก็คือการกินลมหายใจของหลี่ต้าชานเป็นอาหาร

นอกจากเรื่องพวกนี้แล้ว ผมก็มองไม่เห็นอะไรที่พิเศษอีก

แต่หลังจากอาจารย์หันกลับไปมองอีกครั้ง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที “เป็นอย่างนี้นี่เอง เจ้าเด็กนี้เป็นหนี้ผีห้าตัว นี่คือการใช้ชีวิตมาตอบแทน”

 

อาจารย์พูดด้วยความตกตะลึง ม่านตาขยายออก

ผมและเฟิงเฉ่วหานได้ยินไม่ค่อยชัด หลังจากได้ยินอาจารย์พูด

ผมก็ถามอาจารย์ตรงๆ “อาจารย์ หมายความว่าอะไร ช่วยพูดให้มันละเอียดหน่อยได้ไหมครับ”

เมื่ออาจารย์ได้ยินผมถาม แต่เขายังคงไม่ละสายตาไปจากผีห้าตนและหลี่เหล่าชาน จากนั้นก็พูดออกมาเบาๆ “ก็เหมือนกับคำพูดของคนมักพูดกันบ่อยๆ วิญญาณไม่มีจิต ดูดพลังชีวิตแต่ไม่ดูดวิญญาณ ไว้ชีวิตแต่ไม่ไว้พลัง นี่ต้องเป็นการทวงหนี้จากผีอย่างแน่นอน!”

“แกลองดูหลี่ต้าชานซิ ว่าเหมือนกับที่ฉันพูดไหม”

จู่ๆอาจารย์ก็พูด แถมยังพูดออกมาไม่กี่ประโยคเท่านั้น

 

ถึงผมจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็เชื่อพวกคำสุภาษิตของลัทธิ

คำพูดเหล่านี้ล้วนเป็นภูมิปัญญาของคนรุ่นเก่า ไม่มีทางผิดแน่นอน

และเมื่อมองการกระทำของหลี่ต้าชาน มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

มีแค่วิญญาณ ที่ไม่มีจิตวิญญาณ

ดังนั้นมันจึงเป็นเพียงร่างมัวๆ แถมร่างกายยังอ่อนแอ เหมือนกับศพเดินได้ เพราะผมไม่สามารถจับตัวเขาได้

จึงลองเดาอีกครั้งว่า ผีห้าตนนี้แค่ดูดพลังชีวิต แต่ไม่ได้มีเจตนาจะดูดวิญญาณ

ถ้าเป็นแบบนี้ เจ้าเด็กนี้จะอายุสั้น และส่งผลต่อร่างกาย ถ้าไม่ได้ทำงานหนัก เขาถึงจะมีชีวิตรอดได้

 

ถ้าพูดแบบนี้ เจ้าเด็กนี้คงติดหนี้ผีจริงๆ ผีพวกนั้นแค่ให้เขามาใช้หนี้เท่านั้น

ดังคำที่กล่าวว่า ติดหนี้ก็ต้องใช้ ไม่มีอะไรจะมาเปลี่ยนหลักการนี้ได้

ถึงแม้พวกเราจะเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ทำมากเกินไป พวกเราก็ทำได้เพียงเป็นตัวกลาง เจรจากับพวกเขาเท่านั้น

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ผมก็พูดกับอาจารย์และท่านนักพรตตู๋ว่า “อาจารย์ ท่านนักพรตตู๋ พวกเราจะเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ไหม จะออกไปถามไหม ว่าเจ้าเด็กนี้ไปติดหนี้อะไรเอาไว้”

เสียงพึ่งจางหาย ท่านนักพรตตู๋ก็ตอบว่า “แน่นอน ในเมื่อรับงานมาแล้ว พวกเราก็จะต้องรู้สาเหตุให้ชัดเจน! ส่วนความแค้นระหว่างพวกเขา ถ้าแก้ไขได้ก็แก้ แต่ถ้าแก้ไม่ได้ ก็ทำได้เพียงขอให้เจ้าเด็กนั้นโชคดีก็เท่านั้น!”

 

ท่านนักพรตตู๋พูดอย่างชัดเจน เขาไม่พูดอ้อมค้อมเลยสักนิด

เมื่อทุกคนได้ยิน ก็พยักหน้ารับ เห็นด้วยทันที

เพราะผีพวกนั้นทำเพื่อทวงหนี้ และไม่ใช่ผีชั่ว

ดังนั้นพวกเราจึงเก็บอาวุธ ทำตัวเป็นคนกลาง และออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือบางทีอาจเปลี่ยนการทวงหนี้เป็นแบบอื่นได้

อาจารย์บอกให้พวกเราอย่าพึ่งทำอะไร จากนั้นก็หยิบยันต์ออกมาหนึ่งใบ และใช้มือเดียวเสกคาถาทันที

จากนั้นเขาก็พูดออกมาเสียงดัง “ประตูแห่งหุบเขา สายน้ำรินไหล ค่ำคืนงดงามที่แสนมงคล เหล่าเทวทูตจงร่วมยินดี อัญเชิญ!”

 

เสียงพึ่งจางหาย ยันต์ที่อยู่ในมือก็ถูกโยนขึ้นไปบนอากาศทันที

ยันต์แผ่นนั้นพึ่งลอยขึ้นไปบนอากาศ ทันใดนั้นเสียงก็ดัง “ตูม” ระเบิดออกมาทันที มันกลายเป็นแสงไฟสีเขียวๆ และมอดไหม้ในชั่วพริบตา

ยันต์แผ่นนี้เรียกว่า “ยันต์เปิดเขา” เป็นการส่งสัญญาณ ว่าจะมีการเผชิญหน้ากัน

ขณะที่อาจารย์มองยันต์ที่กำลังมอดไหม้ ท่านนักพรตตู๋ก็จุดธูปสามดอกเรียบร้อยแล้ว

เขาแหวกพุ่มไม้ออก และถือธูปสามดอกเดินออกไป

พวกเราดูมีมารยาทมาก การเข้าหาผี ก็มีขั้นตอนและกฎพิเศษเช่นกัน

 

เพียงแค่กฎเหล่านี้มีไม่กี่ส่วนเท่านั้นที่คนจะทำ ส่วนใหญ่ได้ถูกลืมเลือนไปจนหมดแล้ว

ขณะที่ยันต์ระเบิด ท่านนักพรตตู๋ก็ถือธูปเดินออกไปจากพุ่มไม้

ผีห้าตนนั้นถูกดึงดูดความสนใจเรียบร้อยแล้ว พวกเขาต่างหันมามอง

แต่ท่าท่างที่แสดงออกค่อนข้างเย็นชา จ้องพวกเราตาไม่กระพริบ แต่ก็ไม่ได้เคลื่อนไหว และไม่พูดอะไร

ท่านนักพรตตู๋เดินถือธูปอยู่หน้าสุด เขาค่อยๆเดินไปด้านหน้าทีละก้าว

ส่วนพวกเราก็เดินตามหลังของเขา แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไร

เนื่องจากพวกเราอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นมาก ดังนั้นจึงใช้เวลาไม่นานก็เดินมาถึงด้านหน้าของผีห้าตนแล้ว

 

นอกจากผีห้าตนจะแสดงท่าทางเย็นชาแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ทำอะไรอีก

ขณะนี้ท่านนักพรตตู๋ที่ถือธูปสามดอกไว้ ก็คำนับผีห้าตนสามครั้ง

จากนั้นก็นำธูปปักลงดิน นี่ถือเป็นการให้เกียรติและแสดงความมีมารยาท

ไม่รอให้ฝั่งเราได้พูดอะไร ผีวัยกลางคนหนึ่งตนก็พูดกับพวกเราว่า “พวกนายเป็นใคร ทำไมถึงมารบกวนพวกเรา”

เสียงของอีกฝ่ายพึ่งตกลง ท่านนักพรตตู๋ก็หัวเราะ “ฮ่าฮ่า” แถมยังเข้าไปจับมือกับอีกฝ่าย

แสดงให้เห็นท่าทางที่เป็นมิตร “ข้าคือนักพรตตู๋อ่าว ต้องขอโทษจริงๆที่เข้ามารบกวนทุกๆท่าน แต่ข้ามีภาระกิจ จึงจำเป็นต้องเข้ามารบกวน!”

 

หลังจากพูดจบ ท่านนักพรตตู๋ก็จับมือเขาอีกครั้ง

นี่แตกต่างจากตอนที่พบท่านนักพรตตู๋ในครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง เขาไม่มีท่าทางที่ใช้ปฏิบัติกับผีชั่วเลยสักนิดตอนนี้เขากำลังทำเหมือนกับคุยกับคนทั่วไป

ท่าทางแบบนั้นที่ดูแข็งแกร่งและเหนือกว่า แถมตอนนี้เขายังดูเป็นคนอ่อนน้อมและมีมารยาท

เมื่อผีวัยกลางคนได้ยินดังนั้น ก็นิ่งไปพักหนึ่ง “พวกคุณมาเจรจาให้เจ้าเด็กไร้ยางอายนี่เหรอ”

หลังจากพูดจบ ผีวัยกลางคนก็ชี้หลี่ต้าชานที่กำลังคุกเข่าและก้มหัวอยู่ที่พื้น

ท่านนักพรตตู๋พยักหน้าเล็กน้อย “ใช่ครับ ไม่ทราบว่าหลี่ต้าชานไปทำอะไรให้พวกท่านไม่พอใจเหรอครับ”

 

“ฮึ! เจ้าเด็กไร้ยางอายนี้ มาทำเรื่องอย่างว่าต่อหน้าหลุมศพคุณหนูของพวกเรา ทำให้คุณหนูของพวกเราต้องแปดเปื้อน และทำลายชื่อเสียงของคุณหนู ข้ารอเอาชีวิตเขาแทบจะไม่ไหว ทำให้อยู่ได้แค่ 30 ปีก็คงไม่ถือว่าทำเกินไปใช่ไหม” น้ำเสียงของผีวัยกลางคนต่ำมาก ดูเหมือนเขาจะโกรธเอามากๆ

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ จู่ๆผมก็คิดถึงถุงยางที่ใช้แล้วและกระดาษทิชชู่สองสามม้วนที่เจอตอนกลางวันขึ้นมาได้

เวรแล้วคิดไม่ถึงว่าเจ้าหลี่ต้าชานจะเป็นคนทำจริงๆ

แต่ว่าเจ้าเด็กนี้ก็ช่างสรรหาสถานที่ฟอดรักกันจริงๆ หน้าป้ายหลุมศพนี้ จะมาทำเรื่องลบหลู่กันได้ง่ายๆได้ที่ไหนละ

ถ้าเจอพวกที่ไปเกิดใหม่แล้วก็ดีไป แต่ตอนนี้ ผีทุกตนยังอยู่ที่นี่

 

แถมเจ้าเด็กนี้ยังเจอกับพวกผีโบราณ ที่เห็นความสำคัญของเรื่องพวกนี้ แล้วมันจะไม่มีปัญหาได้ยังไงละ

อยู่ได้อีก 30 ปีก็ยังดี ถ้าตอนนั้นไปเจอกับผีร้ายที่ชั่วขึ้นมานิดหน่อยละก็ ไม่แน่คืนนั้นเขาคงถูกพรากชีวิตไปนานแล้ว

ผมบ่นพึมพรำในใจ แอบด่าว่าหลี่ต้าชานทั้งโง่และหน้าด้าน นี่เป็นสิ่งที่เขาทำชั่วด้วยตัวเอง

หลังจากอาจารย์และคนอื่นๆได้ยิน ก็แสดงสีหน้าหนักใจ

แต่พวกเรามาช่วยหลี่ต้าชาน ไม่ว่าจะพูดยังไง ก็ต้องพูดเจรจาให้เขา ดูว่าอีกฝ่ายจะยอมปล่อยหลี่ต้าชานไปหรือไม่

 

ชั่วชีวิตของคนๆหนึ่ง จะอยู่ได้อีก 30 ปีเท่านั้น

อาจารย์เดินเข้าไปจับมือก่อน “ท่านทั้งหลาย หลี่ต้าชานยังเป็นวัยรุ่นไม่รู้เรื่องอะไรมากนัก ไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรลงไป จนทำให้ท่านทั้งหลายต้องขุ่นเคือง ตอนนี้เขาก็ผอมจนแทบจะเหลือแต่กระดูก ก็น่าจะถูกลงโทษมากพอสมควรแล้ว ไม่ทราบว่าท่านทั้งหลาย จะเข้าใจ และยอมปล่อยเขาไปสักครั้งได้ไหมครับ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset