ตอนที่ 76 ทวงหนี้
จู่ๆท่านนักพรตตู๋ก็พูดออกมา แม้เสียงจะเบามาก แต่ผมและอาจารย์ที่อยู่ข้างๆต่างได้ยินมันอย่างชัดเจน
ผมและอาจารย์หันไปมองตามสัญชาตญาณ พวกเราต่างมองท่านนักพรตตู๋ด้วยความสงสัย
ในเวลาเดียวกันอาจารย์ก็พูดกับท่านนักพรตตู๋ว่า “เหล่าอ่าว นายพูดอะไร ทวงหนี้อะไร”
เมื่อท่านนักพรตตู๋ได้ยินอาจารย์ถาม เขาก็พูดออกมาเบาๆ “เหล่าติง เรื่องนี้มันผิดปกติ นายดูผีห้าตัวนั้นซิ! แล้วก็มองวิญญาณที่ไร้จิตของเจ้าเด็กนั้น”
ท่านนักพรตตู๋พูดออกมาตรงๆ แต่ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ
นอกจากผีห้าตนนี้จะเป็นผียุคโบราณแล้ว ผมก็ไม่เห็นอะไรเป็นพิเศษอีกเลย
ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมมีแต่วิญญาณ ไม่มีจิตนั้น ผมก็ยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่
ทำได้เพียงมองท่านนักพรตตู๋ด้วยความสับสน นอกจากผมแล้ว เฟิงเฉ่วหานเองก็เป็นเหมือนกัน เขาไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด
อาจารย์หันไปมองแป๊บนึง แต่ก็เห็นแค่ผีห้าตนล้อมรอบหลี่ต้าชานเอาไว้เท่านั้น
ทุกครั้งที่หลี่ต้าชานคำนับ เขาก็จะพ่นลมหายใจออกมา
จากนั้นผีทั้งห้าตนก็สูดมันเข้าไป เห็นได้ชัดว่าการกระทำนี้ ก็คือการกินลมหายใจของหลี่ต้าชานเป็นอาหาร
นอกจากเรื่องพวกนี้แล้ว ผมก็มองไม่เห็นอะไรที่พิเศษอีก
แต่หลังจากอาจารย์หันกลับไปมองอีกครั้ง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที “เป็นอย่างนี้นี่เอง เจ้าเด็กนี้เป็นหนี้ผีห้าตัว นี่คือการใช้ชีวิตมาตอบแทน”
อาจารย์พูดด้วยความตกตะลึง ม่านตาขยายออก
ผมและเฟิงเฉ่วหานได้ยินไม่ค่อยชัด หลังจากได้ยินอาจารย์พูด
ผมก็ถามอาจารย์ตรงๆ “อาจารย์ หมายความว่าอะไร ช่วยพูดให้มันละเอียดหน่อยได้ไหมครับ”
เมื่ออาจารย์ได้ยินผมถาม แต่เขายังคงไม่ละสายตาไปจากผีห้าตนและหลี่เหล่าชาน จากนั้นก็พูดออกมาเบาๆ “ก็เหมือนกับคำพูดของคนมักพูดกันบ่อยๆ วิญญาณไม่มีจิต ดูดพลังชีวิตแต่ไม่ดูดวิญญาณ ไว้ชีวิตแต่ไม่ไว้พลัง นี่ต้องเป็นการทวงหนี้จากผีอย่างแน่นอน!”
“แกลองดูหลี่ต้าชานซิ ว่าเหมือนกับที่ฉันพูดไหม”
จู่ๆอาจารย์ก็พูด แถมยังพูดออกมาไม่กี่ประโยคเท่านั้น
ถึงผมจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็เชื่อพวกคำสุภาษิตของลัทธิ
คำพูดเหล่านี้ล้วนเป็นภูมิปัญญาของคนรุ่นเก่า ไม่มีทางผิดแน่นอน
และเมื่อมองการกระทำของหลี่ต้าชาน มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
มีแค่วิญญาณ ที่ไม่มีจิตวิญญาณ
ดังนั้นมันจึงเป็นเพียงร่างมัวๆ แถมร่างกายยังอ่อนแอ เหมือนกับศพเดินได้ เพราะผมไม่สามารถจับตัวเขาได้
จึงลองเดาอีกครั้งว่า ผีห้าตนนี้แค่ดูดพลังชีวิต แต่ไม่ได้มีเจตนาจะดูดวิญญาณ
ถ้าเป็นแบบนี้ เจ้าเด็กนี้จะอายุสั้น และส่งผลต่อร่างกาย ถ้าไม่ได้ทำงานหนัก เขาถึงจะมีชีวิตรอดได้
ถ้าพูดแบบนี้ เจ้าเด็กนี้คงติดหนี้ผีจริงๆ ผีพวกนั้นแค่ให้เขามาใช้หนี้เท่านั้น
ดังคำที่กล่าวว่า ติดหนี้ก็ต้องใช้ ไม่มีอะไรจะมาเปลี่ยนหลักการนี้ได้
ถึงแม้พวกเราจะเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ทำมากเกินไป พวกเราก็ทำได้เพียงเป็นตัวกลาง เจรจากับพวกเขาเท่านั้น
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ผมก็พูดกับอาจารย์และท่านนักพรตตู๋ว่า “อาจารย์ ท่านนักพรตตู๋ พวกเราจะเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ไหม จะออกไปถามไหม ว่าเจ้าเด็กนี้ไปติดหนี้อะไรเอาไว้”
เสียงพึ่งจางหาย ท่านนักพรตตู๋ก็ตอบว่า “แน่นอน ในเมื่อรับงานมาแล้ว พวกเราก็จะต้องรู้สาเหตุให้ชัดเจน! ส่วนความแค้นระหว่างพวกเขา ถ้าแก้ไขได้ก็แก้ แต่ถ้าแก้ไม่ได้ ก็ทำได้เพียงขอให้เจ้าเด็กนั้นโชคดีก็เท่านั้น!”
ท่านนักพรตตู๋พูดอย่างชัดเจน เขาไม่พูดอ้อมค้อมเลยสักนิด
เมื่อทุกคนได้ยิน ก็พยักหน้ารับ เห็นด้วยทันที
เพราะผีพวกนั้นทำเพื่อทวงหนี้ และไม่ใช่ผีชั่ว
ดังนั้นพวกเราจึงเก็บอาวุธ ทำตัวเป็นคนกลาง และออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือบางทีอาจเปลี่ยนการทวงหนี้เป็นแบบอื่นได้
อาจารย์บอกให้พวกเราอย่าพึ่งทำอะไร จากนั้นก็หยิบยันต์ออกมาหนึ่งใบ และใช้มือเดียวเสกคาถาทันที
จากนั้นเขาก็พูดออกมาเสียงดัง “ประตูแห่งหุบเขา สายน้ำรินไหล ค่ำคืนงดงามที่แสนมงคล เหล่าเทวทูตจงร่วมยินดี อัญเชิญ!”
เสียงพึ่งจางหาย ยันต์ที่อยู่ในมือก็ถูกโยนขึ้นไปบนอากาศทันที
ยันต์แผ่นนั้นพึ่งลอยขึ้นไปบนอากาศ ทันใดนั้นเสียงก็ดัง “ตูม” ระเบิดออกมาทันที มันกลายเป็นแสงไฟสีเขียวๆ และมอดไหม้ในชั่วพริบตา
ยันต์แผ่นนี้เรียกว่า “ยันต์เปิดเขา” เป็นการส่งสัญญาณ ว่าจะมีการเผชิญหน้ากัน
ขณะที่อาจารย์มองยันต์ที่กำลังมอดไหม้ ท่านนักพรตตู๋ก็จุดธูปสามดอกเรียบร้อยแล้ว
เขาแหวกพุ่มไม้ออก และถือธูปสามดอกเดินออกไป
พวกเราดูมีมารยาทมาก การเข้าหาผี ก็มีขั้นตอนและกฎพิเศษเช่นกัน
เพียงแค่กฎเหล่านี้มีไม่กี่ส่วนเท่านั้นที่คนจะทำ ส่วนใหญ่ได้ถูกลืมเลือนไปจนหมดแล้ว
ขณะที่ยันต์ระเบิด ท่านนักพรตตู๋ก็ถือธูปเดินออกไปจากพุ่มไม้
ผีห้าตนนั้นถูกดึงดูดความสนใจเรียบร้อยแล้ว พวกเขาต่างหันมามอง
แต่ท่าท่างที่แสดงออกค่อนข้างเย็นชา จ้องพวกเราตาไม่กระพริบ แต่ก็ไม่ได้เคลื่อนไหว และไม่พูดอะไร
ท่านนักพรตตู๋เดินถือธูปอยู่หน้าสุด เขาค่อยๆเดินไปด้านหน้าทีละก้าว
ส่วนพวกเราก็เดินตามหลังของเขา แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไร
เนื่องจากพวกเราอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นมาก ดังนั้นจึงใช้เวลาไม่นานก็เดินมาถึงด้านหน้าของผีห้าตนแล้ว
นอกจากผีห้าตนจะแสดงท่าทางเย็นชาแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ทำอะไรอีก
ขณะนี้ท่านนักพรตตู๋ที่ถือธูปสามดอกไว้ ก็คำนับผีห้าตนสามครั้ง
จากนั้นก็นำธูปปักลงดิน นี่ถือเป็นการให้เกียรติและแสดงความมีมารยาท
ไม่รอให้ฝั่งเราได้พูดอะไร ผีวัยกลางคนหนึ่งตนก็พูดกับพวกเราว่า “พวกนายเป็นใคร ทำไมถึงมารบกวนพวกเรา”
เสียงของอีกฝ่ายพึ่งตกลง ท่านนักพรตตู๋ก็หัวเราะ “ฮ่าฮ่า” แถมยังเข้าไปจับมือกับอีกฝ่าย
แสดงให้เห็นท่าทางที่เป็นมิตร “ข้าคือนักพรตตู๋อ่าว ต้องขอโทษจริงๆที่เข้ามารบกวนทุกๆท่าน แต่ข้ามีภาระกิจ จึงจำเป็นต้องเข้ามารบกวน!”
หลังจากพูดจบ ท่านนักพรตตู๋ก็จับมือเขาอีกครั้ง
นี่แตกต่างจากตอนที่พบท่านนักพรตตู๋ในครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง เขาไม่มีท่าทางที่ใช้ปฏิบัติกับผีชั่วเลยสักนิดตอนนี้เขากำลังทำเหมือนกับคุยกับคนทั่วไป
ท่าทางแบบนั้นที่ดูแข็งแกร่งและเหนือกว่า แถมตอนนี้เขายังดูเป็นคนอ่อนน้อมและมีมารยาท
เมื่อผีวัยกลางคนได้ยินดังนั้น ก็นิ่งไปพักหนึ่ง “พวกคุณมาเจรจาให้เจ้าเด็กไร้ยางอายนี่เหรอ”
หลังจากพูดจบ ผีวัยกลางคนก็ชี้หลี่ต้าชานที่กำลังคุกเข่าและก้มหัวอยู่ที่พื้น
ท่านนักพรตตู๋พยักหน้าเล็กน้อย “ใช่ครับ ไม่ทราบว่าหลี่ต้าชานไปทำอะไรให้พวกท่านไม่พอใจเหรอครับ”
“ฮึ! เจ้าเด็กไร้ยางอายนี้ มาทำเรื่องอย่างว่าต่อหน้าหลุมศพคุณหนูของพวกเรา ทำให้คุณหนูของพวกเราต้องแปดเปื้อน และทำลายชื่อเสียงของคุณหนู ข้ารอเอาชีวิตเขาแทบจะไม่ไหว ทำให้อยู่ได้แค่ 30 ปีก็คงไม่ถือว่าทำเกินไปใช่ไหม” น้ำเสียงของผีวัยกลางคนต่ำมาก ดูเหมือนเขาจะโกรธเอามากๆ
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ จู่ๆผมก็คิดถึงถุงยางที่ใช้แล้วและกระดาษทิชชู่สองสามม้วนที่เจอตอนกลางวันขึ้นมาได้
เวรแล้วคิดไม่ถึงว่าเจ้าหลี่ต้าชานจะเป็นคนทำจริงๆ
แต่ว่าเจ้าเด็กนี้ก็ช่างสรรหาสถานที่ฟอดรักกันจริงๆ หน้าป้ายหลุมศพนี้ จะมาทำเรื่องลบหลู่กันได้ง่ายๆได้ที่ไหนละ
ถ้าเจอพวกที่ไปเกิดใหม่แล้วก็ดีไป แต่ตอนนี้ ผีทุกตนยังอยู่ที่นี่
แถมเจ้าเด็กนี้ยังเจอกับพวกผีโบราณ ที่เห็นความสำคัญของเรื่องพวกนี้ แล้วมันจะไม่มีปัญหาได้ยังไงละ
อยู่ได้อีก 30 ปีก็ยังดี ถ้าตอนนั้นไปเจอกับผีร้ายที่ชั่วขึ้นมานิดหน่อยละก็ ไม่แน่คืนนั้นเขาคงถูกพรากชีวิตไปนานแล้ว
ผมบ่นพึมพรำในใจ แอบด่าว่าหลี่ต้าชานทั้งโง่และหน้าด้าน นี่เป็นสิ่งที่เขาทำชั่วด้วยตัวเอง
หลังจากอาจารย์และคนอื่นๆได้ยิน ก็แสดงสีหน้าหนักใจ
แต่พวกเรามาช่วยหลี่ต้าชาน ไม่ว่าจะพูดยังไง ก็ต้องพูดเจรจาให้เขา ดูว่าอีกฝ่ายจะยอมปล่อยหลี่ต้าชานไปหรือไม่
ชั่วชีวิตของคนๆหนึ่ง จะอยู่ได้อีก 30 ปีเท่านั้น
อาจารย์เดินเข้าไปจับมือก่อน “ท่านทั้งหลาย หลี่ต้าชานยังเป็นวัยรุ่นไม่รู้เรื่องอะไรมากนัก ไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรลงไป จนทำให้ท่านทั้งหลายต้องขุ่นเคือง ตอนนี้เขาก็ผอมจนแทบจะเหลือแต่กระดูก ก็น่าจะถูกลงโทษมากพอสมควรแล้ว ไม่ทราบว่าท่านทั้งหลาย จะเข้าใจ และยอมปล่อยเขาไปสักครั้งได้ไหมครับ”