ศพ – ตอนที่ 78 ขอความช่วยเหลือ

ตอนที่ 78 ขอความช่วยเหลือ

เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วมาก และผมก็ไม่ทันตั้งตัว

ก็โดนพลังนั้นดูดเขาไปซะแล้ว มันทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว

สีหน้าของอาจราย์ที่อยู่ข้างหลังก็เปลี่ยนไป วินาทีนั้นเขาตะโกนออกมาทันที “เสี่ยวฝาน!”

เสียงยังไม่ลดลง อาจารย์ก็พุ่งเข้ามาหาผม

แต่อาจารย์พึ่งขยับตัว ผีผู้ชายและผีอีกสี่ตน ก็รีบกระโดดออกมา ทุกตนต่างยืนขวางหน้าอาจารย์และคนอื่นๆ

ในเวลาเดียวกันผมก็ได้ยินเสียงของผีผู้ชายพูดว่า “คนที่พวกแกต้องการก็ให้ไปแล้ว แค่ให้ชายคนนี้อยู่ค้างหนึ่งคืน ไม่ได้บอกว่าจะฆ่าเขาสักหน่อย! พวกแกจะกังวลไปทำไมฮะ”

 

“ฮึ! รีบปล่อยศิษย์ของฉันเดี๋ยวนี้นะ ไม่อย่างงั้นพวกแกได้เห็นดีกับฉันแน่!” อาจารย์แสดงสีหน้าเคร่งขรึม หยิบดาบไม้ออกมา

ท่านนักพรตตู๋ และเฟิงเฉ่วหานเอง ก็แสดงสีหน้าจริงจัง เตรียมพร้อมที่จะโจมตี

ส่วนผมในตอนนี้ ได้ถูกดูดมาจนถึงด้านหน้าของต้นไม้ต้นนั้นแล้ว

ในที่สุด “บึ้ง” ผมก็นอนราบลงไปกับพื้น

และด้านหน้าของผม ก็คือหลุมศพของคุณหนูโจวนั่นเอง

ส่วนทางด้านของอาจารย์ เขาไม่มีอารมณ์จะมาพูดจาเรื่อยเปื่อยอีกแล้ว

อาจารย์ด่าออกมาทันที “แม่…ซิ” จากนั้นก็พุ่งเข้าไปต่อสู้กับผีผู้ชายตนนั้นทันที

 

ท่านนักพรตตู๋และเฟิงเฉ่วหานก็แยกย้ายกันลงมือ เริ่มต่อสู้กันจนกลายเป็นวงกลมแล้ว

แม้ว่าท่านนักพรตตู๋จะมีพลังสูงมาก แต่ผีโบราณพวกนี้ก็ไม่ได้อ่อนแอ บวกกับความได้เปรียบเรื่องกำลังคน จึงทำให้เขาเองก็ต้องตกที่นั่งลำบากอยู่พักหนึ่ง

สำหรับตัวผม ผมรู้สึกเจ็บตัวนิดหน่อย แต่ก็พยายามลุกขึ้นมาจากพื้นอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นฝั่งของอาจารย์กำลังต่อสู้ ผมก็คิดจะเข้าไปช่วย

ช่วงเวลานั้นผมก็ได้หยิบดาบไม้ออกมา และพุ่งตัวออกไปข้างหน้า

แต่สุดท้ายผมกลับวิ่งไปไม่ถึงสองก้าว พลังประหลาดที่ไร้รูปร่างนั้นก็กระแทกเข้ากับตัวผมอีกครั้ง ทันใดนั้นร่างของผมก็ถูกลากกลับไปเหมือนเดิม

 

ร่างกายเซไปเซมา จนผมล้มลงไปกับพื้นอีกครั้ง

ผมไม่ยอมแพ้ ยังคิดจะวิ่งไปข้างหน้าต่อ

แต่สุดท้ายการลองครั้งที่สองของผม ก็ถูกพลังประหลาดดึงกลับมาอยู่ดี

เมื่อผมเห็นว่าไม่สามารถไปไหนได้ ผมก็รู้ทันทีว่ายัยผีนั้นจะต้องเป็นคนทำแน่

ผมลุกขึ้นมายืนมองต้นไม้ต้นนั้น และหันไปพูดกับรอบๆ “ยัยผี เธอคิดจะทำอะไรฮะ”

เสียงพึ่งจางหาย เสียงของผู้หญิงก็ดังก้องอยู่ในหูของผม “ไม่ทำอะไร ก็แค่รู้สึกสงสัย มู่หลงเหยียนไปชอบนายจากตรงไหน ทำไมถึงเลือกนายมาเป็นสามีได้!”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

ทำไมได้ยินคำพูดนี้แล้วมันบาดหูจังนะ ผมรู้สึกไม่สบายใจเลยแฮะ

ผมรีบตอบกลับทันที “เกี่ยวอะไรกับเธอด้วยละ เก่งจริงก็ออกมาซิ อย่ามาทำเป็นลับๆล่อๆ เฮอะมีความสามารถอะไรกัน”

“ถ้าฉันออกไปได้ คงออกไปนานแล้วละ” ยัยผีพูดออกมาอีกครั้ง

“หมายความว่ายังไง” ผมทำหน้าสงสัย ไม่เข้าใจจริงๆว่ายัยผีนี้กำลังคิดอะไรอยู่

แต่หลังจากที่ยัยผีได้ยินผมพูดแบบนั้น น้ำเสียงก็เปลี่ยนไปทันที “ชั่งเถอะ ไม่แซวนายแล้ว ฉันเองก็ไม่ทำร้ายนายหรอก แค่มีเรื่องอยากให้นายช่วยก็เท่านั้น ตอนนี้บอกให้อาจารย์ของนายเลิกสู้กับพวกเขาเถอะ หลังจากนั้นก็ออกไปจากที่นี่ ไม่งั้นเดี๋ยวคนของฉันจะทำให้พวกเขาบาดเจ็บได้!”

 

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมก็เงียบไปแป๊บนึง จากนั้นก็หันไปมองอาจารย์และพวกเขา

ทันใดนั้นผมก็พบว่า อาจารย์และคนอื่นๆสู้พวกผีกลุ่มนั้นไม่ได้จริงๆ ตอนนี้พวกเขาถูกควบคุมไว้อย่างสมบูรณ์

“เธออยากให้ฉันช่วยอะไร ถ้าอยากให้ช่วย ก็บอกให้พวกเขาหยุดลงมือก่อน หลังจากนั้นพวกเราค่อยมาคุยกัน” ผมยังคงถามกับอากาศ

แต่ยัยผีนั้นตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว “ก็ได้!”

หลังจากยัยผีพูดจบ ในอากาศก็มีเสียงดังขึ้น “ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้!”

 

เมื่อได้ยินเสียงของยัยผี ผมก็พูดกับอาจารย์ ท่านนักพรตตู๋และคนอื่นๆทันที “อาจารย์ ท่านนักพรตตู๋ เหล่าเฟิงพวกคุณหยุดเถอะ ผมไม่เป็นอะไร!”

หลังจากทั้งสามคนได้ยินเสียงของผม ก็หันมามองผมทันที

เมื่อเห็นผมพูด ว่าไม่เป็นอะไร ทุกคนก็ต่างหยุดต่อสู้กันอย่างงงๆ

ส่วนเจ้าผีห้าตนนั้น ก็รีบถอยหลังกลับมาอย่างรวดเร็ว จนมาถึงใต้ต้นไม้ต้นนี้

เมื่อทั้งสองฝ่ายหยุดต่อสู้ เสียงของยัยผีตนนั้นก็ดังขึ้นมาในหูของผมอีกครั้ง “โอเคแล้ว ตอนนี้อยู่ต่อได้แล้วใช่ไหม! ถ้านายช่วยฉันได้จริงๆ ฉันจะบอกความลับให้นายฟัง”

 

“ความลับ ความลับอะไร” ผมถามด้วยความสงสัย

“เป็นความลับเกี่ยวกับมู่หลงเหยียน!”

จู่ๆผมได้ยินสองสามคำนี้ มันจึงทำให้ใจผมสั่นทันที

สำหรับผีเมีย นอกจากผมจะรู้ว่าเธอชื่อมู่หลงเหยียน เคยเรียนเกี่ยวกับศพ ผมก็ยังไม่รู้อะไรอีกเลย

ถ้ามันเกี่ยวกับผีเมียจริงๆ ผมก็รู้สึกสนใจขึ้นมาจริงๆ

แถมท่าทางของอีกฝ่าย ยังดูไม่อยากทำร้ายผมจริงๆด้วย

ผมอ่อนแอขนาดนี้ ถ้าอยากจะทำร้ายผม แค่ลงมือตรงๆกับผมก็จบแล้ว ไม่ต้องมาทำอะไรให้ยุ่งยากขนาดนี้ แถมยังมาพูดคุยกับผมซะยกใหญ่อีก

 

แต่ตอนนี้ จู่ๆอาจารย์ก็ตะโกนออกมา “เสี่ยวฝาน แกอย่าไปกลัว!”

เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมก็รีบตอบกลับทันที “อาจารย์ผมไม่เป็นอะไร พวกคุณกลับกันไปก่อนเถอะ! เธอจะให้ผมเฝ้าหลุมศพให้เธอหนึ่งคืน พรุ่งนี้เช้าผมจะกลับไป! มันไม่เป็นอะไรจริงๆครับ”

ผมพูดโกหก เรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวกับมู่หลงเหยียน ผมอยากรู้มากจริงๆ ดังนั้นจึงตัดสินใจอยู่ต่อ

เมื่ออาจารย์และคนอื่นได้ยินอย่างนั้น พวกเขากลับเงียบไปพักหนึ่ง พวกเขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “อาจารย์ ผมคิดดีแล้ว พวกคุณพาวิญญาณของหลี่ต้าชานกลับไปก่อนเถอะ! เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าผมก็กลับไปแล้ว”

 

อาจารย์และนักพรตตู๋จ้องผม จากนั้นอาจารย์ก็ถามผมเพื่อยืนยันอีกครั้ง “แกแน่ใจนะ”

“จริงๆครับอาจารย์ ผมไม่เป็นอะไร!” ผมพูดจริงจัง และจริงใจมาก

ถึงอาจารย์จะไม่เข้าใจ แต่ก็รู้ว่าผมเป็นคนยังไง ผมเป็นคนใจเย็น และทำสิ่งต่างๆอย่างระมัดระวัง

และเมื่อดูจากพลังของอีกฝ่าย ถ้าอีกฝ่ายต้องการลงมือกับผมจริงๆ

พลังแค่ขี้ประติ๋วอย่างผม ก็คงตายไปเป็นสิบครั้งแล้ว คงไม่ต้องมาชักช้ากันแบบนี้หรอก

เมื่อเห็นผมเป็นแบบนั้น และหลังจากที่ได้ยินคำพูดยืนยันจากผม เขาก็หันไปพูดกับนักพรตตู๋อีกนิดหน่อย แต่ผมก็ไม่รู้ว่าพูดอะไรกัน

จากนั้นก็หันมาพยักหน้าให้ผม “โอเค! แกก็ระวังตัวด้วยละ!”

 

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็จ้องผมแป๊บนึง จากนั้นก็ขมวดคิ้ว และลากวิญญาณหลี่ต้าชานออกไปจากที่นี่……

เมื่อเห็นอาจารย์ออกไปแล้ว ผมก็พูดกับรอบๆอีกครั้ง “โอเคแล้ว พวกอาจารย์ออกไปแล้ว มีอะไรก็พูดมาซิ!”

“ไม่ยากเท่าไหร่หรอก ก็แค่ต้องออกกำลังกายนิดหน่อย ในเวลาเดียวกันยังต้องใช้ดวงจิตเล็กน้อย แต่ก็มีอันตรายอยู่บ้าง” เสียงของยัยผีดังขึ้นมาอีกครั้ง

แต่หลังจากผมได้ยิน ในสมองก็มีเสียงดัง “ตูม”

ในเวลาเดียวกันก็จับคำหลักๆไว้ “ออกกำลังกาย” “ดวงจิต”

ยัยผีนี้ ยัยผีนี้คงไม่ได้ให้ฉันไปทำเรื่องอย่างว่ากับเธอหรอกนะ

พึ่งคิดถึงจุดนี้ ผมก็ตัวสั่นไปหมด

 

“เรื่องนี้ไม่ได้ ฉันมีภรรยาแล้ว” ผมปฏิเสธออกมาตรงๆ

แต่ทันใดนั้นเสียงของยัยผีนั้นกลับเงียบไปครู่หนึ่ง ผ่านไปไม่นานเธอถึงพูดออกมา “นายคิดอะไร ฉันให้นายช่วยเปิดหลุมศพตรงหน้าฉัน จากนั้นก็ใช้ดวงจิตของนาย ช่วยฉันออกมาจากโลง ฉันจะได้ออกไปจากที่นี่ซะที”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ผมก็เงียบไปพักหนึ่ง แล้วเผยสีหน้าอึดอัดใจออกมา

“เธอไม่พูดให้มันเร็วๆละ! ทำตัวลึกลับอยู่ได้” ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก คิดว่ามันเป็นแค่เรื่องเล็ก แต่ยัยนี้กลับทำตัวลึกลับ ไม่เห็นจำเป็นเลยสักนิด

นี่มันก็แค่เปิดหลุมศพไม่ใช่เหรอ แถมยังแค่ใช้ดวงจิตอีกนิดหน่อยเท่านั้นเอง

 

ผมยังเป็นหนุ่มเป็นแน่น ขอแค่ไม่ทำให้ผมตาย อย่างมากที่สุดใช้เวลาสองสามวันก็กู้คืนมาได้แล้ว

แม่เจ้า เรื่องเล็กแค่นี้ ยัยนี้กลับไม่พูดออกมาให้มันชัดเจน

แต่จู่ๆยัยผีนั้นก็พูดกับผมว่า “ป้ายหลุมฝังศพนี้ของฉันไม่ใช่ป้ายธรรมดา หลุมฝังศพของฉันก็ไม่ได้เป็นหลุมฝังศพธรรมดา ถ้าไม่ระวัง นายอาจจะต้องตายอยู่ที่นี่……”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset