ศพ – ตอนที่ 79 คาถาสะกดวิญญาณ

ตอนที่ 79 คาถาสะกดวิญญาณ

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมก็เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมาทันที

ล้อเล่นมั้ง แค่ป้ายหลุมศพอันเดียวจะทำให้ตายได้ยังไง

ผมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็พูดว่า “ไม่หรอกมั้ง! แค่ป้ายอันเดียว จะอันตรายขนาดนั้นได้ยังไง”

ผลลัพธ์เสียงพึ่งจางหาย ผีผู้ชายที่อยู่ข้างๆก็เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว

จากนั้นก็พูดกับผมว่า “ป้ายหลุมศพของคุณหนูเราถูกคนทรยศลงคาถาสะกดวิญญาณเอาไว้ ถ้าไม่ระวัง จิตและวิญญาณของคนที่เปิดจะได้รับความเสียหาย”

เมื่อได้ยินผีผู้ชายพูดแบบนั้น ผมก็เริ่มรู้สึกใจสั่น

 

แม้ผมจะไม่รู้เรื่องคาถาสะกดวิญญาณ แต่เมื่อได้ยินแบบนั้น ผมก็มั่นใจทันทีว่ามันจะต้องเป็นคาถาที่ร้ายกาจอย่างแน่นอน

ช่วงเวลานั้นผมเงียบไปพักหนึ่ง จากที่ผมคิด ป้ายหลุมศพแผ่นนี้ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลยสักนิด

แต่ผมไม่เคยคิดมาก่อนจริงๆว่า การช่วยเหลือเธอ จะมีอันตรายถึงชีวิตแบบนี้

ผมไม่ได้เป็นคนประมาท เมื่อคิดได้แบบนี้ ผมก็หันไปพูดกับต้นไม้ต้นนั้นอีกครั้ง “เมื่อกี้ในสองสามคนนั้น ฉันมีพลังน้อยที่สุด แถมเรื่องคาถาอาคม ก็ยังรู้น้อยที่สุด”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ผมก็หยุดไปแป๊บนึง จากนั้นก็พูดออกมาอีกครั้ง “ทำไมเธอต้องเลือกฉัน  แค่เรียกพวกอาจารย์กลับมาก็พอ ถ้าพวกเขาอยู่ จะต้องช่วยเธอทำลายคาถาให้เธออย่างสุดความสามารถได้แน่  และปล่อยเธอออกมาได้แน่! แถมโอกาสที่จะทำสำเร็จก็มีมากขึ้นด้วย”

 

เพราะผมคิดว่า ให้ผมที่เป็นมือใหม่ไปทำลายคาถา

สู้ให้อาจารย์และคนอื่นๆกลับมา เมื่อทุกคนร่วมมือกัน แบบนี้จะไม่ยิ่งปลอดภัยมากกว่าเหรอ

แต่เสียงของผมพึ่งจางหาย ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงยัยผีที่หูอีกครั้ง “นายกลัวซินะ”

ผมขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ว่ากลัว แต่มันมีเหตุผล ฉันมีพลังน้อยที่สุด ไม่รู้เรื่องคาถาอาคมมากนัก ถ้าเธออยากออกมาจริงๆ ก็แค่เรียกอาจารย์และคนอื่นๆกลับมา เปอร์เซ็นทำสำเร็จจะได้มากกว่าเดิม!”

ผมวิเคราะห์อย่างละเอียด แต่เสียงพึ่งจางหาย เสียงของยัยผีนั้นก็ดังขึ้นมาในหูของผมอีกครั้ง “อือ ที่นายพูดก็มีเหตุผล”

 

“แต่คาถาสะกดวิญญาณนี้ ที่จริงมันธรรมดามาก โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในมือของคนพิเศษ จึงต้องให้คนพิเศษมาแก้มัน! นอกจากนายแล้ว คนอื่นก็ทำไม่ได้อีก ถึงแม้พวกอาจารย์นายจะกลับมา ก็ทำอะไรไม่ได้ และมันก็จะมีคนมารู้ความลับของฉันเพิ่มขึ้นก็เท่านั้น!”

“กึก” เสียงหัวใจของผมดังขึ้น “คนพิเศษที่ว่าคือฉันงั้นเหรอ”

“ใช่แล้ว คือนาย ถ้าฉันมองไม่ผิด นายมีธาตุน้ำไร้ราก! จึงมีแค่นายเท่านั้น ที่จะทำลายคาถาสะกดวิญญาณอักขระน้ำนี้ได้!”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ผมก็ตกตะลึงทันที

คิดไม่ถึงว่าการทำลายคาถาสะกดวิญญาณ จะมีเรื่องแบบนี้ด้วย

 

ตอนแรกไปเก็บศพที่อ่างเก็บน้ำ ก็เพราะตัวเองมีธาตุน้ำไร้ราก

เลยไปกระตุ้นให้ผีน้ำมาตามฆ่า เพื่อหาร่างแทน

แต่คิดไม่ถึงว่าการได้มาอยู่ที่นี่ ก็เพราะชะตาชีวิตของตัวเอง สามารถช่วยยัยผีนี้ได้

ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นก็คงไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว

ยัยผีนี้ไม่ได้คิดร้ายต่อผม แถมยังสามารถบอกเรื่องราวของผีเมียให้ผมรู้ได้ ถึงมันจะอันตรายแต่ก็คุ้มค่า

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็พูดกับยัยผีนั้นว่า “โอเค! ฉันพร้อมแล้ว เธอบอกมาได้เลยว่าฉันต้องทำอะไรบ้าง!”

 

“ช่วงแรกของยามเซิน เป็นเวลาที่คาถาอ่อนแอ พอถึงยามเจี้ยก็ให้นายเอาป้ายหลุมศพออก ใช้เลือดสดๆหยดลงไปที่คาถา จากนั้นคาถาก็จะถูกทำลาย ฉันก็จะสามารถออกมาจากโลงได้!” เสียงของยัยผีดังขึ้นมาอีกครั้ง

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ผมก็ตอบรับ “อืม” ทันที ในเวลาเดียวกันก็มองดูเวลา

ยามเฉิน ก็คือเวลาตีสามถึงตีห้า ช่วงแรกก็คือเวลาตีสาม

เมื่อมองเวลาเสร็จ ก็พบว่ายังเหลือเวลาอีก 15 นาที

ผมลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย มองตำแหน่งของป้ายหลุมศพให้แน่ใจ จากนั้นก็รอเวลาให้ถึงตีสาม

ผีห้าตนนั้นก็ยืนอยู่รอบๆตัวผม พวกเขาไม่พูดอะไร เพียงแค่แสดงสีหน้าตายด้านเท่านั้น

 

เนื่องจากอยู่ใกล้ชิดกันขนาดนี้เลยทำให้ผมรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย ผมจึงพูดกับยัยผีนั้นอีกครั้ง “เออใช่แล้ว เธอแซ่โจวใช่ไหม! ฉันชื่อติงฝาน เอ่อคือ ใครกันเหรอที่ฝังเธอไว้ที่นี่น่ะ!”

“อือ! ฉันแซ่โจว ส่วนเรื่องคนที่ทำร้ายฉัน มันเป็นคนชั่วกลุ่มหนึ่ง เป็นศัตรูคู่อาฆาตของฉันและ

มู่หลงเหยียน!” ยัยผีพูดออกมาอีกครั้ง เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย เธอก็เน้นน้ำเสียงอย่างหนักแน่น

ได้ยินแบบนั้นใจของผมก็เต้นแรง เป็นศัตรูคู่อาฆาตของผีเมียงั้นเหรอ

เมื่อก่อนเคยได้ยินมู่หลงเหยียนพูดว่า เธอไปทำให้คนไม่พอใจเอาไว้เยอะ แต่เธอไม่เคยพูดว่าเป็นใครบ้าง

มาตอนนี้เมื่อได้ยินคุณหนูโจวพูดแบบนั้น แถมยังเป็นศัตรูคู่อาฆาต ผมละอยากรู้จริงๆว่ามันเป็นใคร

 

“บอกฉันได้ไหมว่าพวกเขาเป็นใคร” ผมพูดต่อ ด้วยความเร่งรีบ

แต่ยัยผีนั้นกลับเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า “ไม่ได้ ยิ่งรู้มากเท่าไหร่ สำหรับนายในตอนนี้ ก็ไม่ได้มีผลดีอะไร ฉันว่ามู่หลงเหยียนเองก็คงไม่เคยเล่าให้นายฟังละซิ!”

ผมแสดงสีหน้าอึดอัดใจ ไม่พูดก็ไม่ต้องพูดซิ! จะหาข้อแก้ตัวแบบนั้นมาทำไม

แน่นอน เมื่ออีกฝ่ายไม่พูด ผมก็ไม่ถามต่อ

แต่คำพูดไม่กี่ประโยคนั้น ผีเมียของผมก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องพวกนั้นจริงๆนั่นแหละ

ถ้าเจอหน้าแล้วไม่ด่าว่าผมห่วย ผมก็แทบจะขอบคุณฟ้าดินอยู่แล้ว

ผ่านไปเพียงครู่เดียว เวลาก็มาถึงยามเฉิน

 

เมื่อผมเห็นว่าถึงเวลาแล้ว ก็พูดออกมาสั้นๆ “ฉันจะลงมือละนะ!”

หลังจากพูดจบ ผมก็แหวกหญ้าที่อยู่รอบๆ จากนั้นก็เอื้อมมือไปหยิบแผ่นหินที่เหลืออยู่ออก

ส่วนผีห้าตนนั้น วินาทีนั้นกลับถอยหลังไปไกลหลายเมตร ดูเหมือนป้ายหลุมศพแผ่นนี้จะเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับพวกเขา

ป้ายส่วนใหญ่ได้ออกมาจากดินโคลนเรียบร้อยแล้ว ผมใช้แค่มีดหั่นศพนำดินโคลนเหล่านั้นออกมา สุดท้ายก็นำเศษป้ายชิ้นเล็กชิ้นน้อยออกมาได้

ถึงแม้ว่ามันจะค่อนข้างหนัก แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร

หลังจากย้ายป้ายหลุมศพเสร็จเรียบร้อย ยัยผีก็บอกให้ผมขุด ผมขุดรอบๆได้ประมาณครึ่งเมตร ก็เห็นบางสิ่ง ตอนนั้นผมเหนื่อยจนเหงื่อไหลเต็มหัวแล้ว

 

อุปกรณ์ในมือของผมไม่ใช่พลั่ว มันเป็นเพียงมีดหั่นศพเล่มหนึ่ง

โชคดีที่ดินโคลนอ่อนนุ่ม ไม่อย่างนั้นผมเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องขุดไปจนถึงตอนไหน

ผมใช้มือคลำไปที่พื้น และใช้แสงจันทร์ช่วยมอง

ก็พบว่าด้านล่างนั้นเป็นหินแผ่นหนึ่ง แถมหินแผ่นนี้ยังมีสีคลายกับสีหมึก

สีดำมันเงา ด้านบนนั้นมีลวดลายและสัญลักษณ์พิเศษบางอย่างสลักเอาไว้

ผมทำความสะอาดดินโคลนที่อยู่ด้านบน ในที่สุดแผ่นหินยาว 30 เซนติเมตรก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าของผม

เมื่อมองดูให้ละเอียด ก็จะพบว่าด้านล่างของแผ่นหินนี้ มีโลงศพหนึ่งโลงอยู่

 

และโลงศพโลงนั้นยังเป็นโลงทองแดง เพราะถูกฝังมากว่าร้อยปี ลวดลายที่สลักเอาไว้ด้านบนจึงถูกกัดกร่อน ดูเลือนลางหายไปบ้าง

แต่แผ่นหินแผ่นนี้ กลับทับอยู่บนโลงศพโดยไม่มีอะไรยึด

ด้านบนแผ่นหิน นอกจากจะมีลวดลายพิเศษแล้ว ส่วนที่เหลือก็ยังมีสัญลักษณ์อีกหนึ่งอัน

เป็นใบหน้าของผีแยกเขี้ยวที่มีตาสามดวง เมื่อเห็นสัญลักษณ์นี้ ผมก็อดคิดถึงผีชั่วที่พวกเราฆ่าตายไม่ได้

แต่ช่วงเวลาที่ผมกำลังนิ่งเงียบอยู่นั้น จู่ๆเสียงผีคุณหนูโจวก็ดังขึ้น “เป็นมันนั่นแหละ หินดำแผ่นนี้สลักคาถาสะกดวิญญาณเอาไว้ นายใช้เลือดหยดลงไปตรงสัญลักษณ์นั้น จากนั้นทุบให้มันแตกก็ได้แล้ว!”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมก็ไม่คิดอะไรมาก

 

พูด “อืม” และใช้มีดกรีดฝ่ามือตัวเองทันที

จากนั้นก็แปะลงบนแผ่นหิน ช่วงเวลาที่มือผมสัมผัสกับแผ่นหิน จู่ๆก็มีลมเย็นพัดเข้ามา พวกมันต่างพัดเข้ามาใส่ตัวผม

แผ่นหินสีดำที่ราวกับน้ำหมึก หลังจากสัมผัสกับเลือดของผม มันก็ค่อยๆเปลี่ยนสีไปทีละนิด

ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ในช่วงเวลานั้น จู่ๆก็มีไอเย็นระเบิดออกมาจากโลงศพทองแดงที่อยู่ข้างใต้อย่างรุนแรง

รอบๆเกิดลมพัดอย่างบ้าคลั่ง ราวกับเข้าสู่ช่วงที่มีลมในฤดูหนาวแล้วยังไงอย่างนั้น……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset