ตอนที่ 79 คาถาสะกดวิญญาณ
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมก็เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมาทันที
ล้อเล่นมั้ง แค่ป้ายหลุมศพอันเดียวจะทำให้ตายได้ยังไง
ผมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็พูดว่า “ไม่หรอกมั้ง! แค่ป้ายอันเดียว จะอันตรายขนาดนั้นได้ยังไง”
ผลลัพธ์เสียงพึ่งจางหาย ผีผู้ชายที่อยู่ข้างๆก็เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
จากนั้นก็พูดกับผมว่า “ป้ายหลุมศพของคุณหนูเราถูกคนทรยศลงคาถาสะกดวิญญาณเอาไว้ ถ้าไม่ระวัง จิตและวิญญาณของคนที่เปิดจะได้รับความเสียหาย”
เมื่อได้ยินผีผู้ชายพูดแบบนั้น ผมก็เริ่มรู้สึกใจสั่น
แม้ผมจะไม่รู้เรื่องคาถาสะกดวิญญาณ แต่เมื่อได้ยินแบบนั้น ผมก็มั่นใจทันทีว่ามันจะต้องเป็นคาถาที่ร้ายกาจอย่างแน่นอน
ช่วงเวลานั้นผมเงียบไปพักหนึ่ง จากที่ผมคิด ป้ายหลุมศพแผ่นนี้ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลยสักนิด
แต่ผมไม่เคยคิดมาก่อนจริงๆว่า การช่วยเหลือเธอ จะมีอันตรายถึงชีวิตแบบนี้
ผมไม่ได้เป็นคนประมาท เมื่อคิดได้แบบนี้ ผมก็หันไปพูดกับต้นไม้ต้นนั้นอีกครั้ง “เมื่อกี้ในสองสามคนนั้น ฉันมีพลังน้อยที่สุด แถมเรื่องคาถาอาคม ก็ยังรู้น้อยที่สุด”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ผมก็หยุดไปแป๊บนึง จากนั้นก็พูดออกมาอีกครั้ง “ทำไมเธอต้องเลือกฉัน แค่เรียกพวกอาจารย์กลับมาก็พอ ถ้าพวกเขาอยู่ จะต้องช่วยเธอทำลายคาถาให้เธออย่างสุดความสามารถได้แน่ และปล่อยเธอออกมาได้แน่! แถมโอกาสที่จะทำสำเร็จก็มีมากขึ้นด้วย”
เพราะผมคิดว่า ให้ผมที่เป็นมือใหม่ไปทำลายคาถา
สู้ให้อาจารย์และคนอื่นๆกลับมา เมื่อทุกคนร่วมมือกัน แบบนี้จะไม่ยิ่งปลอดภัยมากกว่าเหรอ
แต่เสียงของผมพึ่งจางหาย ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงยัยผีที่หูอีกครั้ง “นายกลัวซินะ”
ผมขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ว่ากลัว แต่มันมีเหตุผล ฉันมีพลังน้อยที่สุด ไม่รู้เรื่องคาถาอาคมมากนัก ถ้าเธออยากออกมาจริงๆ ก็แค่เรียกอาจารย์และคนอื่นๆกลับมา เปอร์เซ็นทำสำเร็จจะได้มากกว่าเดิม!”
ผมวิเคราะห์อย่างละเอียด แต่เสียงพึ่งจางหาย เสียงของยัยผีนั้นก็ดังขึ้นมาในหูของผมอีกครั้ง “อือ ที่นายพูดก็มีเหตุผล”
“แต่คาถาสะกดวิญญาณนี้ ที่จริงมันธรรมดามาก โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในมือของคนพิเศษ จึงต้องให้คนพิเศษมาแก้มัน! นอกจากนายแล้ว คนอื่นก็ทำไม่ได้อีก ถึงแม้พวกอาจารย์นายจะกลับมา ก็ทำอะไรไม่ได้ และมันก็จะมีคนมารู้ความลับของฉันเพิ่มขึ้นก็เท่านั้น!”
“กึก” เสียงหัวใจของผมดังขึ้น “คนพิเศษที่ว่าคือฉันงั้นเหรอ”
“ใช่แล้ว คือนาย ถ้าฉันมองไม่ผิด นายมีธาตุน้ำไร้ราก! จึงมีแค่นายเท่านั้น ที่จะทำลายคาถาสะกดวิญญาณอักขระน้ำนี้ได้!”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ผมก็ตกตะลึงทันที
คิดไม่ถึงว่าการทำลายคาถาสะกดวิญญาณ จะมีเรื่องแบบนี้ด้วย
ตอนแรกไปเก็บศพที่อ่างเก็บน้ำ ก็เพราะตัวเองมีธาตุน้ำไร้ราก
เลยไปกระตุ้นให้ผีน้ำมาตามฆ่า เพื่อหาร่างแทน
แต่คิดไม่ถึงว่าการได้มาอยู่ที่นี่ ก็เพราะชะตาชีวิตของตัวเอง สามารถช่วยยัยผีนี้ได้
ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นก็คงไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว
ยัยผีนี้ไม่ได้คิดร้ายต่อผม แถมยังสามารถบอกเรื่องราวของผีเมียให้ผมรู้ได้ ถึงมันจะอันตรายแต่ก็คุ้มค่า
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็พูดกับยัยผีนั้นว่า “โอเค! ฉันพร้อมแล้ว เธอบอกมาได้เลยว่าฉันต้องทำอะไรบ้าง!”
“ช่วงแรกของยามเซิน เป็นเวลาที่คาถาอ่อนแอ พอถึงยามเจี้ยก็ให้นายเอาป้ายหลุมศพออก ใช้เลือดสดๆหยดลงไปที่คาถา จากนั้นคาถาก็จะถูกทำลาย ฉันก็จะสามารถออกมาจากโลงได้!” เสียงของยัยผีดังขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ผมก็ตอบรับ “อืม” ทันที ในเวลาเดียวกันก็มองดูเวลา
ยามเฉิน ก็คือเวลาตีสามถึงตีห้า ช่วงแรกก็คือเวลาตีสาม
เมื่อมองเวลาเสร็จ ก็พบว่ายังเหลือเวลาอีก 15 นาที
ผมลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย มองตำแหน่งของป้ายหลุมศพให้แน่ใจ จากนั้นก็รอเวลาให้ถึงตีสาม
ผีห้าตนนั้นก็ยืนอยู่รอบๆตัวผม พวกเขาไม่พูดอะไร เพียงแค่แสดงสีหน้าตายด้านเท่านั้น
เนื่องจากอยู่ใกล้ชิดกันขนาดนี้เลยทำให้ผมรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย ผมจึงพูดกับยัยผีนั้นอีกครั้ง “เออใช่แล้ว เธอแซ่โจวใช่ไหม! ฉันชื่อติงฝาน เอ่อคือ ใครกันเหรอที่ฝังเธอไว้ที่นี่น่ะ!”
“อือ! ฉันแซ่โจว ส่วนเรื่องคนที่ทำร้ายฉัน มันเป็นคนชั่วกลุ่มหนึ่ง เป็นศัตรูคู่อาฆาตของฉันและ
มู่หลงเหยียน!” ยัยผีพูดออกมาอีกครั้ง เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย เธอก็เน้นน้ำเสียงอย่างหนักแน่น
ได้ยินแบบนั้นใจของผมก็เต้นแรง เป็นศัตรูคู่อาฆาตของผีเมียงั้นเหรอ
เมื่อก่อนเคยได้ยินมู่หลงเหยียนพูดว่า เธอไปทำให้คนไม่พอใจเอาไว้เยอะ แต่เธอไม่เคยพูดว่าเป็นใครบ้าง
มาตอนนี้เมื่อได้ยินคุณหนูโจวพูดแบบนั้น แถมยังเป็นศัตรูคู่อาฆาต ผมละอยากรู้จริงๆว่ามันเป็นใคร
“บอกฉันได้ไหมว่าพวกเขาเป็นใคร” ผมพูดต่อ ด้วยความเร่งรีบ
แต่ยัยผีนั้นกลับเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า “ไม่ได้ ยิ่งรู้มากเท่าไหร่ สำหรับนายในตอนนี้ ก็ไม่ได้มีผลดีอะไร ฉันว่ามู่หลงเหยียนเองก็คงไม่เคยเล่าให้นายฟังละซิ!”
ผมแสดงสีหน้าอึดอัดใจ ไม่พูดก็ไม่ต้องพูดซิ! จะหาข้อแก้ตัวแบบนั้นมาทำไม
แน่นอน เมื่ออีกฝ่ายไม่พูด ผมก็ไม่ถามต่อ
แต่คำพูดไม่กี่ประโยคนั้น ผีเมียของผมก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องพวกนั้นจริงๆนั่นแหละ
ถ้าเจอหน้าแล้วไม่ด่าว่าผมห่วย ผมก็แทบจะขอบคุณฟ้าดินอยู่แล้ว
ผ่านไปเพียงครู่เดียว เวลาก็มาถึงยามเฉิน
เมื่อผมเห็นว่าถึงเวลาแล้ว ก็พูดออกมาสั้นๆ “ฉันจะลงมือละนะ!”
หลังจากพูดจบ ผมก็แหวกหญ้าที่อยู่รอบๆ จากนั้นก็เอื้อมมือไปหยิบแผ่นหินที่เหลืออยู่ออก
ส่วนผีห้าตนนั้น วินาทีนั้นกลับถอยหลังไปไกลหลายเมตร ดูเหมือนป้ายหลุมศพแผ่นนี้จะเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับพวกเขา
ป้ายส่วนใหญ่ได้ออกมาจากดินโคลนเรียบร้อยแล้ว ผมใช้แค่มีดหั่นศพนำดินโคลนเหล่านั้นออกมา สุดท้ายก็นำเศษป้ายชิ้นเล็กชิ้นน้อยออกมาได้
ถึงแม้ว่ามันจะค่อนข้างหนัก แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร
หลังจากย้ายป้ายหลุมศพเสร็จเรียบร้อย ยัยผีก็บอกให้ผมขุด ผมขุดรอบๆได้ประมาณครึ่งเมตร ก็เห็นบางสิ่ง ตอนนั้นผมเหนื่อยจนเหงื่อไหลเต็มหัวแล้ว
อุปกรณ์ในมือของผมไม่ใช่พลั่ว มันเป็นเพียงมีดหั่นศพเล่มหนึ่ง
โชคดีที่ดินโคลนอ่อนนุ่ม ไม่อย่างนั้นผมเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องขุดไปจนถึงตอนไหน
ผมใช้มือคลำไปที่พื้น และใช้แสงจันทร์ช่วยมอง
ก็พบว่าด้านล่างนั้นเป็นหินแผ่นหนึ่ง แถมหินแผ่นนี้ยังมีสีคลายกับสีหมึก
สีดำมันเงา ด้านบนนั้นมีลวดลายและสัญลักษณ์พิเศษบางอย่างสลักเอาไว้
ผมทำความสะอาดดินโคลนที่อยู่ด้านบน ในที่สุดแผ่นหินยาว 30 เซนติเมตรก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าของผม
เมื่อมองดูให้ละเอียด ก็จะพบว่าด้านล่างของแผ่นหินนี้ มีโลงศพหนึ่งโลงอยู่
และโลงศพโลงนั้นยังเป็นโลงทองแดง เพราะถูกฝังมากว่าร้อยปี ลวดลายที่สลักเอาไว้ด้านบนจึงถูกกัดกร่อน ดูเลือนลางหายไปบ้าง
แต่แผ่นหินแผ่นนี้ กลับทับอยู่บนโลงศพโดยไม่มีอะไรยึด
ด้านบนแผ่นหิน นอกจากจะมีลวดลายพิเศษแล้ว ส่วนที่เหลือก็ยังมีสัญลักษณ์อีกหนึ่งอัน
เป็นใบหน้าของผีแยกเขี้ยวที่มีตาสามดวง เมื่อเห็นสัญลักษณ์นี้ ผมก็อดคิดถึงผีชั่วที่พวกเราฆ่าตายไม่ได้
แต่ช่วงเวลาที่ผมกำลังนิ่งเงียบอยู่นั้น จู่ๆเสียงผีคุณหนูโจวก็ดังขึ้น “เป็นมันนั่นแหละ หินดำแผ่นนี้สลักคาถาสะกดวิญญาณเอาไว้ นายใช้เลือดหยดลงไปตรงสัญลักษณ์นั้น จากนั้นทุบให้มันแตกก็ได้แล้ว!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมก็ไม่คิดอะไรมาก
พูด “อืม” และใช้มีดกรีดฝ่ามือตัวเองทันที
จากนั้นก็แปะลงบนแผ่นหิน ช่วงเวลาที่มือผมสัมผัสกับแผ่นหิน จู่ๆก็มีลมเย็นพัดเข้ามา พวกมันต่างพัดเข้ามาใส่ตัวผม
แผ่นหินสีดำที่ราวกับน้ำหมึก หลังจากสัมผัสกับเลือดของผม มันก็ค่อยๆเปลี่ยนสีไปทีละนิด
ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ในช่วงเวลานั้น จู่ๆก็มีไอเย็นระเบิดออกมาจากโลงศพทองแดงที่อยู่ข้างใต้อย่างรุนแรง
รอบๆเกิดลมพัดอย่างบ้าคลั่ง ราวกับเข้าสู่ช่วงที่มีลมในฤดูหนาวแล้วยังไงอย่างนั้น……