ศพ – ตอนที่ 80 ทำลายวงเวทย์

ตอนที่ 80 ทำลายวงเวทย์

นอกจากรอบๆจะเปลี่ยนไป ตัวผมเองก็รู้สึกไม่สบายอีกด้วย

เพราะผมพบว่าพลังที่อยู่ในร่างของตัวเองกำลังไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ตัวผมเองก็เริ่มง่วงขึ้นเรื่อยๆ และรู้สึกเหนื่อยมากๆ

เมื่อเวลาผ่านไป ผมก็มีความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกดูด

ส่วนแผ่นหินที่ผมเอามือแปะเอาไว้ ก็ค่อยๆเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ลวดลายด้านบนที่เคยเป็นสีดำล้วน ในเวลานี้มันค่อยๆเปลี่ยนไปทีละนิด จนเริ่มมีสีแดงขึ้นมาเล็กน้อย

แถมตอนนี้มันยังกระจายตัวอย่างต่อเนื่อง จนไปถึงครึ่งแผ่นหินอย่างรวดเร็ว

 

ผมรู้ว่า เหตุผลที่ทำให้ตัวเองรู้สึกง่วง จะต้องเป็นเพราะพลังในร่างของตัวเองกำลังถูกดูดออกไปทีละนิดผ่านแผลที่ฝ่ามืออย่างแน่นอน

ถ้าอยากทำให้มันกระจายจนเต็มแผ่นหิน ก็ทำได้เพียงรอให้ลวดลายทั้งหมดกลายเป็นสีแดงเท่านั้น

การทำแบบนี้ถึงจะเรียกได้ว่าเสร็จสิ้น ผมจึงกัดฟัน อดทนต่อไป

แต่ความรู้สึกง่วงนั้นรุนแรงมาก จนต่อมา ผมก็เริ่มรู้สึกว่าโลกหมุนจริงๆ

“ติงฝาน อดทนอีกนิด” คุณหนูโจวรีบพูด ด้วยความเร่งรีบ

ลวดลายบนหิน ได้ถูกย้อมไปกว่า 90 เปอร์เซ็นแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงแค่รูปสลักผีแยกเขี้ยวสามตาเท่านั้นที่ยังเป็นสีดำ

 

เพราะผมอ่อนแอมาก จึงรู้สึกง่วงสุดๆ จนผมกัดริมฝีปากของตัวเอง ทำให้ตัวเองตื่นขึ้นมาได้อีกนิด

ผมรีบพยายามควบคุมตัวเอง ให้ย้อมมันจนกลายเป็นสีแดงทั้งหมดให้ได้  ตอนนี้ตัวเองจะมายอมแพ้ง่ายๆไม่ได้เด็ดขาด

ผมอดทน แล้วก็อดทน มุ่งมั่นตั้งใจทำตามสิ่งที่ตัวเองต้องการ

ผีห้าตนก็มองผมด้วยสายตาที่คาดหวัง แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้พวกเขาไม่เข้ามาใกล้ที่นี่

ดูเหมือนที่นี่จะมีพลังบางอย่างที่มองไม่เห็น คอยกีดกันพวกเขาเอาไว้

รูปผีสามตาค่อยๆเปลี่ยนไป ในที่สุดความพยายามของผมก็ได้ผล รูปสลักผีสามตาถูกย้อมจนกลายเป็นสีแดงทั้งหมด

 

ทันใดนั้น ม่านตาของผมก็หดตัวอย่างรุนแรง

สำเร็จแล้ว ผมถอนหายใจออกมาแรงๆ จากนั้นก็ยกมีดหั่นศพที่อยู่ในมืออีกข้างหนึ่งขึ้นเพื่อเตรียมที่จะทำลายหินแผ่นนั้น

แต่ทันใดนั้นเองผมก็พบว่า แค่ใช้แรงยกมีดขึ้นมาก็ลำบากมากแล้ว

แต่ผมไม่ยอมแพ้เมื่อทำมาถึงขั้นนี้แล้ว จะไม่มีอะไรหยุดผมได้

ผมตะโกนออกมาทันที จากนั้นเสียง “ฉึก” ก็ดังขึ้น มีดผ่าศพในมือกระแทกเข้ากับแผ่นหินทันที ทันใดนั้นแผ่นหินแผ่นนั้นก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ

เมื่อเห็นแผ่นหินแตกออก ผมก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที

 

เพียงเสี้ยววินาที หลังจากหินแผ่นนั้นแตกผมก็เห็นหมอกสีขาวลอยออกมา

ผมรู้ว่า สิ่งที่ผมควรทำก็ทำหมดแล้ว

จึงปีนออกมาจากหลุมทันที จากนั้นก็หยุดยืนสูดหายใจเข้าลึกๆ

หลักจากหมอกสีขาวออกมา ไม่ไกลจากผมมากนักมันก็หลอมรวมตัวกันจนกลายเป็นร่างมนุษย์อย่างรวดเร็ว

รูปร่างของมนุษย์ค่อยๆก่อตัวขึ้น สุดท้ายร่างของหญิงสาวในชุดราชวงค์ชิง ก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าของผม

เธอเป็นผู้หญิงผมยาว ดวงตาสดใส มองดูแล้วช่างเป็นผู้หญิงที่บอบบางมาก แถมยังให้ความรู้สึกของหญิงงามที่ตกยากอยู่บ้าง

 

วินาทีนั้นผมมองเธอจนลืมตัว จนผีห้าตนมาอยู่ตรงหน้าของผีผู้หญิงแล้ว ทั้งหมดต่างตะโกนเรียกผีผู้หญิงในชุดราชวงศ์ชิงด้วยความเคารพว่า “คุณหนู!”

ผีผู้หญิงตนนั้นพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็หันมามองผม

เธอยิ้มออกมาเล็กน้อย และพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ “ขอบคุณคุณชายติงที่ช่วยเหลือมากค่ะ!”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ผมก็ได้สติขึ้นมา

แม้จะยังรู้สึกเหนื่อยมาก แต่ผมก็ยังหัวเราะ “แฮะแฮะ” และพูดว่า “เอ่อ เอ่อไม่เป็นไรหรอก เรื่องเล็ก เรื่องเล็ก!”

แต่เสียงของผมพึ่งตกลง จู่ๆด้านหลังของผมก็มีไอเย็นระเบิดออกมา วินาทีนั้นต้นหญ้าและพุ่มไม้ที่อยู่รอบๆต่างสั่นไหว

 

ในเวลาเดียวกัน ก็มีเสียงดังขึ้นจากทุกทิศทุกทาง “โจวหยุน เธอทำอะไรติงฝาน”

เสียงพึ่งจางหาย ผมก็รู้สึกว่าเห็นแสงแวบหนึ่งที่ด้านหน้า ทันใดนั้นร่างของผู้หญิงชุดขาวก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าของผม

เมื่อมองจากด้านหลัง และฟังจากน้ำเสียง

หัวใจของผมก็เต้นแรง เพราะเธอก็คือผีเมียมู่หลงเหยียน

เมื่อเห็นผีเมียปรากฎตัว ผมก็รู้สึกดีใจขึ้นมานิดหน่อย “น้องศพ เธอมาได้ยังไง”

แต่เสียงของผมพึ่งจางหาย มู่หลงเหยียนก็หันมามอง เธอแสดงสีหน้าโกรธเคือง คิ้วกระตุกเล็กน้อย “เจ้าโง่”

 

ผมเงียบในทันที ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี

แต่ผีผู้หญิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลกลับหัวเราะออกมาเล็กน้อย “พี่มู่หลง!”

“โจวหยุน! รออีกแค่ไม่กี่เดือนเธอก็จะได้ออกจากโลงแล้ว ทำไมเธอต้องทำร้ายติงฝานในเวลานี้ด้วยฮะ!”

มู่หลงเหยียนพูดออกมาอีกครั้ง

แต่หลังจากที่ผมได้ยินประโยคนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ใบหน้าผมแสดงอาการตกตะลึงออกมา

ทำร้ายฉัน นี่มันเรื่องอะไรกัน

“เธอ เธอทำร้ายฉันเหรอ” ผมพูดด้วยความสงสัย

 

เมื่อมู่หลงเหยียนได้ยินที่ผมพูด ก็หันมาพูดกับผมอีกครั้ง “ดูที่หน้าอกของนายซิ”

จู่ๆผมก็ได้ยินมู่หลงเหยียนพูดแบบนั้น ผมก็อดไม่ได้ที่จะเงียบไปพักหนึ่ง แต่ก็ไม่ลังเลแต่อย่างใด

ผมก้มลงไปมองที่หน้าอกของตัวเองทันที แต่สิ่งที่ผมเห็นนั้น กลับทำให้ผมตัวแข็งทื่อ

เพราะผมพบว่าที่หน้าอกของผม มีรอยสีดำๆปรากฎขึ้น เหมือนกับรอยช้ำไม่มีผิด

ผมถูมันสองสามครั้ง แต่ก็ต้องพบกับความเจ็บปวด

ผมไม่เข้าใจ จึงถามออกมาตรงๆ “นี่มันคืออะไร”

 

ผลลัพธ์ไม่รอให้มู่หลงเหยียนได้พูด ผีผู้หญิงก็พูดออกมาทันที “พลังผีเข้าร่าง เพราะนายช่วยฉันทำลายคาถาสะกดวิญญาณ นี่จึงเป็นผลที่ตามมา ถ้าภายในสามปีนายยังไม่หาย นายก็จะต้องตาย!”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ในสมองของผมก็มีเสียงดัง “ปัง” เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา

ก่อนหน้านี้ ยัยผีนี้ไม่ได้บอกผมว่ามันจะมีผลด้านนี้มาด้วย บอกแค่ว่ามีอันตรายบ้างเล็กน้อยเท่านั้น

ไม่รอให้ผมได้พูด มู่หลงเหยียนก็พูดกับผมอีกครั้งว่า “ตอนนี้รู้แล้วละซิว่าตัวเองโง่ขนาดไหน ไม่ใช่แค่ห่วย แต่ยังโง่อีกด้วย!”

“พี่มู่หลงเหยียน พลังผีเข้าร่างไม่ได้แปลว่าจะแก้ไม่ได้นิ และอีกอย่างฉันเองก็รอที่จะออกไปแก้แค้นไม่ไหวแล้ว ตอนที่เห็นติงฝาน ก็เลยคิดแผนเลวๆออกมาได้ ขอให้พี่สาวอภัยให้ด้วย” โจวหยุนรีบพูด

 

ดูเหมือนมู่หลงเหยียนจะไม่ค่อยพอใจ สีหน้าของเธอยังดูไม่ค่อยดี

แต่ยัยผีโจวหยุนกลับยิ้มออกมาเล็กน้อย “พี่มู่หลงเหยียน ตอนนี้ฉันออกมาจากโลงได้แล้ว ติงฝานก็ยังอยู่ดี พวกเราพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อนดีกว่า เส้นตายยังไม่มาถึงซะหน่อย พวกเราควรร่วมมือร่วมใจกัน ต่อกรกับพวกเขา หรือว่าพี่ไม่อยากแก้แค้นแล้วเหรอ”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ผมก็รู้สึกเหมือนจะเป็นลม ยัยผีที่ชื่อโจวหยุนและมู่หลงเหยียนมีที่มาอย่างนี้เหรอ

แถมความสัมพันธ์ของสองคนนี้ ยังดูเหมือนไม่ค่อยราบรื่นอีกด้วย

มู่หลงเหยียนสูดหายใจเข้าลึกๆ มองโจวหยุนด้วยสีหน้าจริงจัง และหันกลับมามองผมอีกครั้ง

 

แต่สุดท้ายเธอก็หันกลับไปมองโจวหยุนด้วยใบหน้าโกรธเคือง ใช้น้ำเสียงโมโหพูดกับเธอ “แต่เธอก็ไม่ควรทำร้ายติงฝาน เขาเป็น……”

แต่คำพูดพึ่งถึงครึ่งท่อน เสียงของมู่หลงเหยียนกลับหยุดไปดื้อๆ

เธอรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “ถ้าเธอทำร้ายเขาจนตาย ฉันเองก็ต้องตายเหมือนกัน!”

เมื่อได้ยินผีเมียพูดประโยคนี้ออกมา แม้ว่าจะพูดไม่จบ

แต่ผมก็เดาออกว่าคำพูดพวกนั้นคือคำว่าอะไร แต่ผมก็ไม่รู้ว่าทำไม ในใจของผมกลับรู้สึกดีอย่างไม่น่าเชื่อ

โจวหยุนกลับยิ้มอย่างเฉยชา “พี่มู่หลง แม้ว่าพวกเราจะมีความเกลียดชังส่วนตัวกัน แต่ก่อนที่จะแก้แค้นได้ ฉันจะไม่ทำร้ายพี่อย่างแน่นอน”

 

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมก็สับสนทันที

พวกเธอรู้จักกัน แต่มีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่นะ

แล้วคนที่สะกดโจวหยุนเอาไว้เป็นใคร ศัตรูคู่อาฆาตของพวกเธอเป็นใคร ระยะสามปีคืออะไร แล้วยังความเกลียดชังส่วนตัวนั้นอีกมันคืออะไรกันแน่นะ

ตราสัญลักษณ์ผีสามตานั้นด้วย ทำไมถึงดูเหมือนเจ้าผีชั่วตัวนั้นนักนะ เรื่องทั้งหมดนี้มันเกี่ยวข้องยังไงกันแน่

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ผมก็รู้สึกเหมือนกับเห็นหมอกหนาตรงหน้า แต่ผมเองก็ไม่สนใจพลังผีอะไรในร่างอีก ก็แค่เกือบตายเท่านั้น

จากนั้นผมก็พูดว่า “น้องศพ พวกเขาที่พวกเธอพูดถึงเป็นใครกันเหรอ”

 

เมื่อมู่หลงเหยียนได้ยินผมพูด จู่ๆก็ทำสีหน้าเย็นชา “กลุ่มคนชั่วที่ต้องตาย……”

เสียงของมู่หลงเหยียนพึ่งจางหาย ยัยผีโจวหยุนก็ทำสีหน้าเคร่งขรึม แสดงให้เห็นถึงความเกลียดชัง

จากนั้นก็พูดว่า “กลุ่มคนที่ทำให้พวกเราไปเกิดใหม่ไม่ได้ กลับชาติมาเกิดก็ไม่ได้ ปีศาจที่ทำให้พวกเรากลายเป็นวิญญาณไปชั่วนิรันดร์……”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset