ศพ – ตอนที่ 84 คำพูดของเด็กเชื่อถือไม่ได้

ตอนที่ 84 คำพูดของเด็กเชื่อถือไม่ได้

จู่ๆเด็กผู้หญิงก็พูด สิ่งที่น่าเหลือเชื่อออกมา ทุกคนที่อยู่ในงานศพจึงตกตะลึงกันทันที

ในใจของผมมีเสียงดัง “กึก” อดไม่ได้ที่จะหันไปมองทางประตู

สายตาเด็กที่ไร้เดียงสา ไม่มีความคิดชั่วร้ายปนเปื้อน ดังนั้นจึงสามารถเห็นสิ่งที่คนธรรมดามองไม่เห็น

แต่เมื่อเด็กเติบโตขึ้น เขาก็จะเริ่มมองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้

ต้องใช้การช่วยเหลือจากสิ่งอื่น อย่างเช่นน้ำตาพิเศษของวัว ใบส้มโอเป็นต้น ถึงจะสามาถเปิดตามองเห็นสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็นได้

การแสดงออกของอาจารย์ยังจัดว่าดี แต่เขาก็หันไปมองทางประตูเช่นกัน

 

เถ้าแก่หนิวตกใจยิ่งกว่าใคร เขาตื่นเต้นมาก

วินาทีนั้นเขาคว้าไหล่ของเด็กผู้หญิงเอาไว้ “เสี่ยว เสี่ยวยู่ย เธออย่ามาโกหกปู่ เธอมองเห็นคุณทวดจริงๆเหรอ”

เด็กน้อยกอดแม่ของตัวเองไว้ ทำตาโตวิ้งๆ “หนูเห็นค่ะปู่ คุณทวดยิ้มให้! แล้วบอกว่าจะเล่นกับหนูด้วย!”

เด็กน้อยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่หลังจากที่ทุกคนได้ยิน ก็ตกใจกันทันที

แม้ว่าผู้ตายจะเป็นผู้อาวุโส ที่มีฐานะเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ในครอบครัวของคนในที่นี้

แต่ถ้านี้เป็นเรื่องจริง จะมีใครรับได้บ้างละ

 

ต้องรู้ว่าคนกับผีมีเส้นทางแตกต่างกัน ถ้าคนตายตามหลอกหลอนคนที่มีชีวิตอยู่ แล้วคนๆนั้นจะยังมีชีวิตอยู่ได้ยังไงละ

วินาทีนั้นแม่ของเด็กน้อยตกใจ หญิงวัยกลางจับมือลูกของตัวเองไว้แน่น

แต่ช่วงเวลานั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆชายวันกลางคนก็พูดกับป้ายวิญญาณที่อยู่ตรงหน้าว่า “คุณ คุณย่า อย่า อย่ามาหลอกเสี่ยวยู่ยเลย! เธอเป็นเหลนแท้ๆของย่านะครับ!”

ไม่เพียงเท่านี้ เขายังแสดงท่าทางหวาดกลัวญาติของตัวเอง ถือธูปในมือขึ้น และไหว้คำนับป้ายวิญญาณทันที

เถ้าแก่หนิวสีหน้าไม่ดี รีบหันไปพูดกับอาจารย์ว่า “ท่าน ท่านนักพรตติง แม่ แม่ผมอยู่ที่ อยู่ที่นี่จริงๆเหรอครับ”

 

อาจารย์ผมไม่ได้เปิดตา เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ายายหนิวอยู่ที่นี่จริงไหม

แต่อาจารย์กลับพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ “เถ้าแก่หนิว ที่นี่คืองานศพของผู้ตาย และเป็นบ้านของผู้ตาย

ยายหนิวเองก็ยังไม่ได้ถูกฝัง การที่เธออยู่ที่นี่ก็ถือเป็นเรื่องปกติ!”

เมื่อเถ้าแก่หนิวได้ยินประโยคนี้ “พรึบ” สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง

“บึก” เขาคุกเข่าลงกับพื้น “แม่! แม่! ผมคิดถึงแม่เหลือเกิน! ถ้าแม่มาแล้ว ก็มาหาลูกเถอะ! อย่าไปยุ่งกับเสี่ยวยู่ยเลย แม่ แม่……”

ช่วงเวลานั้นเถ้าแก่หนิวสูญเสียการควบคุมตัวเองไปนิดหน่อย เมื่อเทียบกับสีหน้าที่หวาดกลัวของคนอื่นๆแล้ว

 

ตอนนี้ในสายตาของเถ้าแก่หนิว เขากลับตั้งตารอคอยช่วงเวลานี้

นี่เป็นลูกที่กตัญญูคนหนึ่ง ถึงจะรู้ว่าแม่ของตัวเองตายแล้ว กลายเป็นวิญญาณ แต่ก็ยังอยากจะพบหน้าแม่ของตัวเองอีกครั้ง

หลังจากเถ้าแก่หนิวตะโกนออกไปสองสามครั้ง ญาติคนอื่นที่อยู่ข้างๆก็เริ่มเข้ามาห้าม

แต่เถ้าแก่หนิวไม่สนใจ เขายังพูดกับอาจารย์ว่า “ท่านนักพรตติง คุณเปิดตา มองดูว่าแม่ของผมอยู่ไหน! เธอยังอยู่รึเปล่า”

เดิมทีอาจารย์อยากปฏิเสธเรื่องนี้ เพราะคนกับผีไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกัน

คนตายเหมือนกับไฟที่กำลังมอด ไม่ควรทิ้งความกังวลไว้มากเกินไป

 

แต่ไม่รอให้อาจารย์ได้พูด เด็กผู้หญิงคนนั้นกลับชี้ไปทิศทางหนึ่ง จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “คุณปู่ คุณทวดถูกหมาตัวหนึ่งคาบไปแล้ว!”

เมื่อคำพูดนี้ดังขึ้น ผมก็ตกตะลึงทันที

ญาติที่อยู่ในงาน ต่างหน้าเปลี่ยนสี ถูกหมาคาบไปงั้นเหรอ นี่มันเรื่องอะไรกัน

แต่แล้วคนแก่คนหนึ่งก็พูดแทรก “เสี่ยวยู่ย ทำไมทวดถึงถูกหมาคาบไปได้ละ นั้นเป็นยมทูตต่างหาก ทวดของหนูคงต้องไปที่ที่ควรไปแล้วละ!”

เมื่อคนที่อยู่รอบๆได้ยินประโยคนี้ ก็พร้อมใจพยักหน้าเห็นด้วยทันที คิดว่าต้องเป็นอย่างที่เขาพูดแน่

 

มีคนตายที่ไหนถูกหมาคาบไปได้ละ ควรถูกพวกยมทูตพาตัวไปมากกว่า

แต่เด็กผู้หญิงคนนั้นรีบเถียงทันที “เป็นหมา หมาตัวใหญ่มากๆเลยคะ……”

แต่เด็กผู้หญิงยังพูดไม่จบ พ่อของเด็กก็ส่งสัญญาให้แม่เด็กอุ้มเธอออกไป

แต่ตอนนั้นเอง อาจารย์กลับเข้าไปหยุดผู้หญิงคนนั้นเอาไว้

เขานั่งยองๆ และพูดกับเด็กน้อยว่า “เจ้าตัวน้อย หนูบอกปู่หน่อย หนูมองเห็นหมาจริงๆเหรอจ๊ะ”

เด็กน้อยไม่คุ้นเคยกับอาจารย์ของผม เธอจึงไม่ยอมพูด แต่กลับพนักหน้าให้เขาเล็กน้อย

เมื่ออาจารย์เห็นเด็กพยักหน้า สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที

 

เขาลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หันมาพูดกับผมว่า “ นี่มันแปลกมาก! เสี่ยวฝาน รีบตามมันไป!”

หลังจากพูดจบ อาจารย์ไม่ได้อธิบายเพิ่ม รีบหมุนตัววิ่งออกไปทันที

ผมไม่กล้าชักช้า รีบจับอาวุธ และวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งญาติของผู้ตายให้มึนงงอยู่ในบ้าน

ขณะที่ผมและอาจารย์วิ่งออกมาจากบ้าน ก็หยิบขวดน้ำตาวัวออกมา

ในเวลาเดียวกัน ผมก็ถามอาจารย์ว่า “อาจารย์ มันเรื่องอะไรกันแน่ หรือว่าจะมีหมาจริงๆเหรอ”

อาจารย์แสดงสีหน้าจริงจัง “ไม่รู้ คำพูดของเด็กยังเชื่อไม่ได้ แต่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง จะพูดโกหกคนได้อย่างงั้นเหรอ”

 

ขณะที่พูด ผมและอาจารย์ก็ไล่ตามมาจนถึงทางเข้าหมู่บ้าน

อาจารย์มองไปรอบๆ และหันมามองเข็มทิศที่อยู่ในมือของตัวเอง จากนั้นก็วิ่งไปทางเนินเขาด้านหลัง

ผมบ่นในใจ เดิมทีก็ไม่เข้าใจอยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แค่ตามอาจารย์ออกมาเท่านั้น

แต่ตอนนั้นเอง จู่ๆอาจารย์ก็ชี้ไปทิศทางหนึ่ง “อยู่นั่น!”

หลังจากพูดจบ ก็วิ่งไปทางนั้นทันที

ผมรีบหันไปมอง ทันใดนั้น ผมก็พบว่าที่ปลายสุดของถนน

มีหมาดำตัวใหญ่ยืนอยู่จริงๆ ตอนนี้มันกำลังคาบขาของยายคนหนึ่งเอาไว้

 

ยายคนนั้นกำลังดิ้นรนอย่างต่อเนื่อง และกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้มาเห็นเหตุการณ์แบบนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะตกใจและหวาดกลัว

แต่อาจารย์กลับตะโกนออกมา “ไอ้เดรัจฉาน ยังไม่คายออกมาอีก!”

แต่หมาตัวนั้นกลับเห่า “โฮ่งโฮ่งโฮ่ง”  และแสดงท่าทางโกรธ

“ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย……” คุณยายคนนั้นร้องขอความช่วยเหลือ

พวกเราขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

แต่เพียงชั่วพริบตา พวกเราก็วิ่งเข้าไปใกล้แล้ว

 

หมาดำตัวนั้นใหญ่มาก จนเห็นได้ชัดว่ามันใหญ่กว่าหมาทั่วไปเป็นเท่าตัว

หมาดำตัวนั้นไม่ได้มีชีวิต เป็นเพียงวิญญาณของสัตว์เดรัจฉานเท่านั้น

หมาดำเห็นผมและอาจารย์เข้ามาใกล้ จึงคายออกมา แต่ยังใช้อุ้งเท้าของมันเหยียบวิญญาณของยายหนิวเอาไว้

และส่งเสียงขู่พวกเราสองคน “โฮ่งโฮ่งโฮ่ง” แถมยังแสดงหน้าตาดุร้ายออกมา

“ไอ้เดรัจฉาน กล้าเข้ามาขโมยกินวิญญาณงั้นเหรอ!” อาจารย์ตะโกน

จากนั้นก็เข้าไปฟันมันด้วยดาบไม้ทันที ทันใดนั้นเจ้าหมาดำก็เห่า “โฮ่ง” ออกมาหนึ่งครั้ง และเข้ามากัดอาจารย์เช่นกัน

 

ผมไม่รอให้เกิดช่องโหว่ จับดาบในมือให้แน่นและเข้าไปช่วยอาจารย์ทันที

แม้เจ้าหมาดำตัวนั้นจะร้ายกาจ และหัวของมันจะใหญ่มาก

แต่ยังไงมันก็เป็นแค่สัตว์เดรัจฉาน อีกอย่างในมือของพวกเราก็มีดาบไม้ที่ปราบพลังหยินได้

หลังจากร่วมมือกันไม่นาน หมาดำตัวนั้นก็ถูกทำร้ายจนร้อง “เอ๋งเอ๋ง”

ตอนนั้น ผมก็กระโดดตัวลอย

เตะเข้าไปที่หัวของหมาดำพอดี ทันใดนั้นเจ้าหมาตัวนั้นก็กรีดร้องและล้มลงไปกับพื้น

แต่หมาชั่วนั่นยังไม่หมดแรงสู้ มันรีบลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

แต่ครั้งนี้มันไม่ได้เข้ามาเหมือนครั้งแรก แต่เห่าเสียง “โฮ่งโฮ่งโฮ่ง” ออกมาเสียงต่ำๆ ร่างกายเริ่มสั่น จากนั้นขนของมัน ก็มีไอดำแพร่กระจายออกมา

ทันใดนั้นบรรยากาศก็เริ่มหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ และยังมีความกดดันที่รุงแรงเป็นพิเศษอีกอย่าง ที่เหมือนกับบรรยากาศตอนที่พวกเราเจอผีชั่วที่ป่าช้าเก่า

เมื่อผมและอาจารย์สัมผัสได้ถึงสิ่งนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะมีท่าทางตื่นตกใจ

แต่ช่วงเวลาต่อมา ฉากประหลาดๆก็เกิดขึ้นมากกว่าเดิม

หมาชั่วตัวนั้นสั่นอยู่พักหนึ่ง หลังจากเห่าหอนออกมาสองสามครั้ง กรงเล็บทั้งสี่ข้างของมันก็ใหญ่ขึ้นมาไม่น้อย และเขี้ยวในปากก็เพิ่มขึ้นมาจำนวนมาก

 

แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ที่หน้าผากของมัน กำลังแยกออก

ทันใดนั้น ดวงตาที่ขาวโพน ก็โผล่ออกมา

เมื่อเห็นสิ่งนี้ อาจารย์ของผมก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ เขาสูดหายใจเข้าทันที

แต่ในใจของผม กลับมีเสียงดัง “กึก”

แม้ว่าจะเป็นแค่หมาหนึ่งตัว แต่เมื่อดวงตาที่สามโผล่ออกมา ดวงตาที่สามของมันก็ราวกับผีชั่วสามตาที่พวกเราเจอที่ป่าช้าเก่าเมื่อก่อนหน้านี้ไม่มีผิด

และมู่หลงเหยียนยังเคยพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า ถ้าเจอวิญญาณที่มีสามตาอีก ก็ให้วิ่งหนีทันที……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset