ศพ – ตอนที่ 88 มหาวิทยาลัยศิลปะชิงชาน

ตอนที่ 88 มหาวิทยาลัยศิลปะชิงชาน

เมืองของพวกเราเป็นเมืองเล็กๆ ไม่มีมหาวิทยาลัยชื่อดัง แต่มีวิทยาลัยแย่ๆเปิดอยู่จำนวนมาก

และวิทยาลัยศิลปะที่ติดอับดับโครตห่วยก็ยิ่งมีมากขึ้นไปอีก คนที่เป็นคนจนยอมจ่ายเงินเรียนมหาลัยพวกนี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกที่หวังจะได้ใบปริญญามาเท่านั้น

มหาลัยของหยางเฉ่ว มีชื่อว่ามหาลัยศิลปะชิงชาน

อยู่ห่างจากที่ผมอยู่ไม่ไกล ใช้เวลานั่งรถประมาณ 40 นาทีก็ถึงแล้ว

เมื่อผมมาถึง ก็เป็นเวลาบ่ายสอง กว่าๆแล้ว

ผมพึ่งลงรถ ก็เห็นเฟิงเฉ่วหานยืนอยู่ใต้ร่มไม้ตรงป้ายรถเมล์

 

“เหล่าเฟิง!” ผมตะโกน จากนั้นก็เดินเข้าไปหาเขาทันที

เฟิงเฉ่วหานพูดกับผมด้วยเสียงเย็นชา “งานศพนี่เร็วดีนิ!”

ผมส่ายหัวไปมา “อย่าไปพูดถึงมัน เมื่อคืนยิ่งเกิดเรื่องไม่ควาดคิดอยู่ด้วย!”

เฟิงเฉ่วหานเลิกคิ้วขึ้น เผยใบหน้าสงสัยออกมา “เกิดอะไรขึ้นมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นเหรอ”

ผมถอนหายใจ จากนั้นก็เล่าเรื่องหมาผีที่เจอเมื่อคืน

รวมถึงเรื่องที่หมาตัวนั้นกินวิญญาณคน สัญลักษณ์ใต้ท้องของหมา ที่ดูเหมือนหน้าของผีชั่วที่ป่าช้าเก่าแบบสุดๆ ให้เฟิงเฉ่วหานฟังตั้งแต่ต้นจนจบ

เมื่อเฟิงเฉ่วหานได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เขาแสดงสีหน้าตกตะลึง

 

สิ่งแรกที่เขาคิดได้ก็คือ เจ้าเดรัจฉานนั่นอาจเป็นผลงานของนักพรตกุ่ย หรือเรื่องนี้อาจเป็นฝีมือ

ของนักพรตกุ่ยอีก

ตัวผมที่ไม่รู้อะไร จึงพูดว่าเรื่องนี้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับนักพรตกุ่ยมากเท่าไหร่ และบอกว่าบางทีอาจเป็นเศษซากที่ถูกทิ้งไว้จากรังผี

เพราะเจ้าเดรัจฉานอยู่ที่อาจารย์ และมันไม่ได้ทิ้งเบาะแสเอาไว้มากนัก พวกเราจึงพูดถึงมันอย่างละเอียดไม่ได้

หลังจากคุยกันได้ไม่นาน ผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรไปหาหยางเฉ่ว เพื่อบอกให้หยางเฉ่วออกมาเจอกัน

แต่พึ่งหยิบโทรศัพท์ออกมา เฟิงเฉ่วหานก็บอกผมว่า “ไม่ต้องรีบ ฉันกับอาจารย์เร่ร่อนมาทั้งชีวิต ยังไม่เคยเข้าไปในมหาลัยเลย พวกเราเข้าไปเดินเล่นกันก่อนเถอะ!”

 

เฟิงเฉ่วหาทำสีหน้าจริงจัง และแววตาอ้อนวอน

ผมจึงไม่พูดอะไรมาก เก็บโทรศัพท์ในมือ จากนั้นก็พาเฟิงเฉ่วหานเข้าไปในมหาลัยพร้อมกัน

มหาวิทยาลัยเถือนแบบนี้ ยามเฝ้าประตูก็เป็นเพียงของตกแต่งเท่านั้น แม้แต่ตอนกลางคืนก็ไม่ได้ล็อคประตู

มหาลัยแห่งนี้ใหญ่กว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก แต่มันเก่ามาก และด้านในมหาวิทยาลัยเองก็มีนักศึกษาอยู่จำนวนไม่มากนัก

แต่ผมสองคนพึ่งเดินมาที่สนามกีฬา ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากที่ห่างไกล

ไม่ใช่เพียงเท่านี้ ดูเหมือนนักศึกษาที่อยู่รอบๆยังเริ่มวิ่งไปในทิศทางเดียวกัน

 

ผมและเฟิงเฉ่วหานหยุดเดิน นี่มันไม่ใช่เวลากินข้าวเหรอ เกิดอะไรขึ้นกันนะ

ผมไม่เข้าใจ จึงดึงนักศึกษาชายคนหนึ่งมาถาม “เฮ้เพื่อน ข้างหน้าเกิดอะไรขึ้นเหรอ”

นักศึกษาชายคนนั้นมองผมอยู่ครู่หนึ่ง “น้องชาย นายคงไม่ได้เป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยของเราละซิ”

ผมยิ้มและพยักหน้า “ไม่ใช่ พวกเราเข้ามาหาเพื่อนน่ะ!”

“ถึงว่า ข้างหน้ามีคนกระโดดตึก! เดือนนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว ตอนนี้ฉันขอเข้าไปดูก่อนนะว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้โชคร้าย!”

หลังจากนักศึกษาชายพูดจบ ก็รีบวิ่งไปข้างหน้าทันที

 

ผมและเฟิงเฉ่วหานอดไม่ได้ที่จะมองตามเขา นี่เป็นครั้งที่สามของเดือนนี้งั้นเหรอ

คนทำงานแบบพวกเรา เรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ที่สุดก็คือคนตาย

หนึ่งเดือนสามครั้ง มันค่อนข้างแปลกแล้ว

ผมและเฟิงเฉ่วหานไม่ได้คิดเลยสักนิด รีบหมุนตัวเดินตามไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อข้ามสนามกีฬา เดินผ่านตึกเรียนมาหนึ่งหลัง ในที่สุดพวกเราก็เห็นตึกร้างที่สร้างยังไม่เสร็จ

ตึกหลังนี้ไม่รู้ว่าอยู่ที่นี่มานานขนาดไหนแล้ว ด้านบนถึงกับมีหญ้าและพืชต่างๆขึ้นเต็มไปหมด และบางส่วนยังไม่ถูกรื้อถอน จนเผยให้เห็นสภาพตึกที่เป็นโครงเหล็กโทรมๆ

 

ตอนนี้ด้านหน้าของตึกหลังนี้ มีนักศึกษาจำนวนมากมายืนล้อมรอบเอาไว้

ผู้คนที่ล้อมรอบอยู่ต่างพูดกันว่า “บัดซบ นี่มันไม่ใช่เจ้าโง่ห้องสามที่อยู่ห้องถัดไปเหรอ”

“ใช่ ฉันจำเขาได้ เลวสุดๆ สมควรตายแล้ว!”

“ใช่ ตายแล้วก็ดี! ทั้งสามคนจะได้อยู่ด้วยกัน วันนี้ถือว่าพวกมันประสบความสำเร็จแล้วละ”

“ใช่! ทุกปีต้องตายสามคน ทุกปีที่มหาลัยเปิดฉันต้องกังวลทุกทีว่าจะแขวนคอตาย แต่สุดท้ายฉันก็อยู่รอดมาได้จนถึงปีสี่”

“……”

 

นักศึกษาที่อยู่รอบๆต่างพูดคุยกัน ทำให้ผมและเฟิงเฉ่วหานอดไม่ได้ที่จะเหลือบมอง

เมื่อได้ยินคำพูดของพวกเขา ผมก็คิดว่าเรื่องนี้จะต้องไม่ธรรมดา เพราะมันแปลกเกินไป

คุณชายเฟิงเฉ่วหานผู้เย็นชา ไม่มีทางเข้าไปร่วมวงเม้ากับพวกเขาอย่างแน่นอน

ดังนั้นผมจึงต้องเดินเข้าไปใกล้ๆข้างหน้าอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นก็ถามชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆว่า “นาย เรื่องที่นายพูดเมื่อกี้หมายความว่ายังไง ทุกปีสามคนอะไรกัน”

นักศึกษาสามคนหันมามองหน้าผม จากนั้นก็พูดว่า “นายไม่ใช่นักศึกษามหาลัยของเราละซิ”

ผมแอบกลอกตา ถ้าฉันเป็นนักศึกษาในมหาลัยพวกนาย แล้วจะเข้ามาถามพวกนายทำเพื่ออะไร

 

แต่ใบหน้าผมยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว! ฉันเข้ามาหาเพื่อนน่ะ!”

“ถึงว่า ฉันจะบอกนายให้นะ! ที่มหาลัยชิงชานของพวกเรา ยังมีชื่อเรียกอีกหนึ่งชื่อ คือมหาลัยชิงซาน ทุกปีจะมีคนหายไปสามคน ก็คือตายไปสามคน” นักศึกษาคนนั้นพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“ทำไมละ” ผมทำหน้าสงสัย

“ใครจะไปรู้ละ! แต่ยังไงทุกปีก็ต้องมีคนตายสามคน ตั้งแต่มหาลัยของพวกเราเปิดมา ที่นี่ก็มีคนตายเยอะสุดๆแล้ว!”

ผมและเฟิงเฉ่วหานอดไม่ได้ที่จะตกใจในใจ คิดว่าเรื่องนี้มันเลวร้ายมากทีเดียว

 

“เพราะแรงกดดันตอนเรียนเยอะเกินไป หรือว่ามีคนตั้งใจทำเรื่องนี้” จู่ๆเฟิงเฉ่วหานก็พูดขึ้นมา

นักศึกษาอีกคนได้ยินคำพูดนี้ จึงยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “นายคิดดูว่ามหาลัยเน่าๆของพวกเรา จะมีแรงกดดันอะไรละ ส่วนเรื่องที่มีคนตั้งใจทำเรื่องนี้ไหม ใครจะไปรู้ได้ แต่ยังไงก็มีคนตายสามคนทุกปี! ทางมหาลัยก็จัดการแบบมุกเดิมๆทุกครั้ง บอกว่าเพราะความรัก เลยฆ่าตัวตาย”

“จากนั้นก็สร้างกระแส แต่เห็นอยู่ชัดๆว่าเป็นฝีมือของผี ฉันเคยได้ยินอาจารย์พูดว่า เมื่อก่อนที่นี่เคยมีนักศึกษาหญิงถูกข่มขืนแล้วตายหนึ่งคน หลังจากนั้นก็เริ่มมีคนตายเรื่อยๆ ปีที่แล้วฉันยังเห็นว่าท่านอธิการบดีเชิญนักบวชมาทำพิธีให้ที่นี่ด้วยนะ แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะสุดท้ายก็ยังมีคนตายอีกอยู่ดี” นักศึกษาอีกคนพูดขึ้นมา

 

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าของผมและเฟิงเฉ่วหานก็มืดมนลงทันที เรื่องนี้ต้องมีอะไรแน่ๆ

หลังจากนั้น ผมสองคนก็เบียดนักศึกษาเข้าไป ดูศพที่กระโดดลงมาตาย

แต่หัวของชายคนนี้แตก กระจายเต็มพื้นไปหมด เนื้อทะลักเลือดอาบ จนมองอะไรไม่ออกเลยสักนิด

เมื่อนักศึกษาจำนวนมากเห็นก็คลื่นไส้ อดไม่ได้ที่อ้วกออกมา

แต่ผมและเฟิงเฉ่วหานกลับทำหน้าจริงจัง มองขึ้นไปบนตึกร้างตามสัญชาตญาณ

ตึกร้างหลังนี้นอกจากจะเก่าแล้ว ยังทำให้คนรู้สึกขนลุกด้วย

ไม่ใช่เพียงเท่านี้ วินาทีที่ผมมองขึ้นไป

 

ดูเหมือนผมจะเห็นว่าหน้าต่างของตึก จะมีใครบางคนยืนอยู่

หน้าของคนๆนั้นขาวซีด สวมเสื้อผ้าสีเหลือง ใช้ดวงตาสีขาวโพนมองลงมาด้านล่าง และมันยังจ้องมาที่หน้าของผมด้วย

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็ตกใจอย่างแรง

ผมกระพริบตา อยากมองให้แน่ใจอีกครั้งว่าเป็นอย่างที่เห็นจริงๆรึเปล่า

แต่เมื่อลองมองอีกครั้ง หน้าต่างบานนั้นก็ไม่มีใครยืนอยู่แล้ว

มันเป็นเพียงหน้าต่างพังๆ ที่มีเถาวัลย์สีเขียวห้อยอยู่สองสามเส้นเท่านั้น ไม่มีอะไรยืนอยู่ตรงนั้นเลยสักนิด

 

ผมเริ่มคิดว่าตาลาย แต่ทำไมภาพนี้ถึงต้องปรากฎตอนนั้น แล้วมันเป็นตอนที่ผมหันขึ้นไปมองด้วยนะ ผมเริ่มคิดว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่ๆ

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็พูดกับเฟิงเฉ่วหานว่า “เหล่าเฟิง ในตึกจะต้องมีอะไรแน่ๆ!”

เฟิงเฉ่วหานเองก็ถอนหายใจ “ใช่! ฉันเองก็ดูออก!”

เมื่อเห็นเฟิงเฉ่วหานมั่นใจ ผมก็เริ่มรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาทันที

ผมกลืนน้ำลายอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นก็ทำใจให้สงบอยู่ครู่หนึ่ง

เมื่อสงบลงแล้วผมก็ถอนหายใจออกมา จากนั้นก็พูดกับเฟิงเฉ่วหานว่า “ในเมื่อเข้ามาเห็นแล้ว พวกเราเองก็จะปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปเฉยๆก็ไม่ได้……”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset