ศพ – ตอนที่ 89 ชิงชานชิงชาน

ตอนที่ 89 ชิงชานชิงชาน

เฟิงเฉ่วหานเองก็เป็นคนปราบสิ่งชั่วร้ายที่มีจรรยาบรรณมากเช่นกัน

เมื่อได้ยินผมพูดแบบนั้น เขาก็ไม่ลังเลเลยสักนิด ตอบกลับผมทันที “ต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน”

เมื่อได้ยินเฟิงเฉ่วหานพูด ผมก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

เพราะที่นี่มีคนล้อมอยู่จำนวนมาก และตึกร้างหลังนี้ก็ยังไม่อนุญาตให้คนเข้าไป

ดังนั้นถ้าต้องจัดการเรื่องนี้ พวกเราก็ทำได้เพียงรอให้ถึงตอนกลางคืนเท่านั้น

ตอนนี้ ผมจึงแอบฟังสิ่งที่นักศึกษาพูดกันอยู่รอบๆ เพื่อหาข้อมูลของที่นี่เพิ่มขึ้น

แต่เมื่อลองถามอีกสองสามคน พวกเขาก็ต่างพูดถึงเรื่องที่ค่อยข้างไร้ประโยชน์

 

เรื่องเล่าที่แพร่หลายในหมู่นักศึกษามากที่สุด ก็เป็นเรื่องที่พวกเราได้ยินมาจากนักศึกษากลุ่มนั้น

บอกว่าตอนสร้างตึกหลังนี้ ข้างในมีนักศึกษาหญิงตายอยู่หนึ่งคน

และหลังจากที่เธอถูกข่มขืน ก็ได้กระโดดลงมาจากตึกร้าง ตอนนั้นก็หล่นลงมากระแทกกับพื้นแบบที่ชายคนนี้นอนตายอยู่

ส่วนเรื่องที่ว่าผู้หญิงกระโดดตึกคนนั้นกลายเป็นผีอาฆาตไหม พวกเราเองก็ยังไม่รู้เช่นกัน ทำได้เพียงรอให้ถึงตอนกลางคืน แล้วค่อยเข้ามาดูอีกครั้งเท่านั้น

หลังจากนั้นประมาณ 10 นาที ตำรวจก็มาถึง

 

พวกเขาเริ่มปิดกั้นสถานที่เกิดเหตุ ลากเส้นตีวงรอบจุดเกิดเหตุ จากนั้นก็เข้ามาสอบปากคำพวกนักศึกษาจำนวนมาก

ผมและเฟิงเฉ่วหานยืนอยู่ข้างๆ แอบฟังพวกเขาคุยกัน

พบว่าผู้ตายมีชื่อว่าจูหง เป็นผู้ชายชั่วในมหาวิทยาลัย และเป็นนักศึกษาอันธพาล

ชอบสุมหัวอยู่กับพวกอันตพาล รังแกพวกนักศึกษาตลอดเวลา

และยังขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ชายชั่ว แฟนหลายต่อหลายคน ต่างก็ถูกเจ้าเด็กนี้ทำให้ท้องโต และสุดท้ายก็ทอดทิ้งอีกฝ่ายอย่างไม่ใยดี

 

ในที่เกิดเหตุก็มีแฟนเก่าของเขาอยู่ด้วยหนึ่งคน เพราะมันไม่ถูกห้ามไว้ เธอจึงด่าเขาต่อหน้าศพของเขาและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าสมควรตาย และตายไปได้ก็ดี เวรกรรมตามสนองแล้ว

หลังจากนั้นพวกเราอยู่ที่นี่ต่ออีกประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ก็ยังไม่เห็นเบาะแสที่มีประโยชน์ ผมและเฟิงเฉ่วหานจึงเดินออกจากที่นี่

เมื่อเห็นเวลาว่าไม่เช้าแล้ว พวกเราจึงโทรศัพท์หาหยางเฉ่ว เพื่อนัดเธอออกมากินข้าวเย็นด้วยกัน และเล่าเรื่องที่เจอเมื่อกี้ให้ฟัง

ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากให้เธอไปจัดการสิ่งที่อยู่ในตึกนี้ด้วยกัน

 

เพราะถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ก็จะต้องมีนักศึกษาตายอีกจำนวนมาก

แต่ในใจของผมยังรู้สึกแปลกๆ ในเมื่อหยางเฉ่วเป็นนักศึกษาของมหาลัยแห่งนี้

ตามหลักแล้ว ผมยังเห็นปัญหาของมหาลัยแห่งนี้เลย หยางเฉ่วเองก็น่าจะเห็นเหมือนกันซิ

เธอเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย และยังรู้คาถาที่ร้ายกาจขนาดนั้น แต่ทำไมถึงไม่คิดจะจัดการกับสิ่งชั่วร้ายที่อยู่ในตึกละ

ผมสงสัย จึงโทรหาอีกฝ่าย

ทันใดนั้น ผมก็ได้ยินเสียงผู้หญิงที่สดใสพูดว่า “ติงฝาน!”

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า! ฉันเอง ฉันกับเฟิงเฉ่วหานทำธุระเสร็จแล้วนะ ตอนนี้อยู่ที่หมาลัยของเธอ อีกเดี๋ยวพวกเราออกไปกินข้าวกันไหม!” ผมพูดตรงๆ

เมื่อหยางเฉ่วได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็ตอบกลับด้วยความดีใจ “ดีซิ ดีซิ! พวกนายอยู่ตรงไหน ฉันจะไปหาพวกนาย!”

“พวกเราอยู่ที่ตึกร้างในมหาลัย ที่นี่มีคนกระโดดตึกตาย!” ผมพูดเบาๆ

แต่เสียงพึ่งจางหาย หยางเฉ่วกลับพูดด้วยด้วยความสงสัย

“มหาลัยของฉันไม่มีตึกร้าง! กระโดดตึกอะไร พวกนายเข้าใจผิดรึป่าว” หยางเฉ่วพูดด้วยความมึนงง

 

เมื่อผมได้ยินสิ่งนี้ ก็หันไปมองเฟิงเฉ่วหานทันที จากนั้นก็พูดว่า “มหาลัยศิลปะชิงชานใช่ไหม”

เสียงพึ่งขาดหาย คนในโทรศัพท์ก็หัวเราะ “แฮะแฮะ” และพูดว่า “ฉันเรียนที่ชิงชาน ชานที่แปลว่าเสื้อผ้าสีเขียว ไม่ใช่ชานที่แปลว่าภูเขา!”

ทันใดนั้น ผมก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก

แต่หยางเฉ่วกลับพูดต่อทันที “พวกนายอย่าไปไหนละ รอฉันที่หน้าประตูมหาลัย เดี๋ยวฉันออกจากหอเลย อีกครึ่งชั่วโมงเจอกัน!”

“อือ” จากนั้นก็วางโทรศัพท์ทันที

 

เฟิงเฉ่วหานรู้สึกมึนงง “พวกเราเข้าใจผิดเหรอ”

“อือ! มันออกเสียงเหมือนชื่อมหาลัยของหยางเฉ่ว แต่ไม่ใช่ที่นี่ เธอให้พวกเราไปรอที่หน้าประตู!” ผมพูดเบาๆ

เฟิงเฉ่วหานเองก็ไม่พูดมาก เขาเพียงพยักหน้ารับ จากนั้นก็เดินมาที่ประตูมหาลัยพร้อมๆกับผม

ระหว่างทาง พวกเราก็ได้ยินนักศึกษาคุยกันเรื่องกระโดดตึก

ดูเหมือนพวกนักศึกษาจะกลัวกันมากๆ บางคนถึงกับบอกว่าจะลาออกมหาวิทยาลัยเลยทีเดียว

และยังบอกว่าที่นี่น่ากลัวเกินไป ถ้ายังฝืนเรียนต่อ มีหวังอาจได้ตั๋ว ไปกระโดดตึกร้างตายแน่……

 

เมื่อพวกเราเดินมาถึงหน้าประตูมหาลัย ก็นั่งรออีกพักหนึ่ง หลังจากนั้นผมก็เห็นรถแท็กซี่คันหนึ่งมาหยุดที่ด้านหน้าของพวกเรา

ทันใดนั้น หญิงสาวเซ็กซี่ ก็เดินลงมาจากรถ

เธอพึ่งลงรถ ก็ดึงดูดสายตาของพวกเราทันที

ด้วยใบหน้าที่ยอดเยี่ยม ถูกปัดแต่งด้วยเครื่องสำอางนิดหน่อย มัดผมรวบตึงราวกับหางม้า

ใส่กางเกงยีนขาสั้น เสื้อยืดสีขาวแขนสั้น ไม่ใช่เพียงแค่เผยให้เห็นขาเรียวยาว ช่วงบนของเธอยังอวดเนินอกที่น่าภูมิใจให้พวกเราเห็นเป็นบุญตา ตอนนี้เธอช่างดูเซ็กซี่เอามากๆ

 

ทำให้อากาศที่ร้อนแรงในฤดูร้อน ต้องเพิ่มขึ้นมาอีกเท่าตัว

เธอไม่ใช่ใครอื่น เป็นหยางเฉ่วที่รีบมารวมตัวกับพวกเรานั่นเอง

ขณะที่หยางเฉ่วลงรถ ดูเหมือนรูปร่างหน้าตาของเธอจะดึงดูดสายตาชายหญิงจำนวนมาก

หยางเฉ่วเป็นหญิงสาวที่ท่าทางร่าเริง แต่เธอก็ไม่ได้สนใจสายตาของคนอื่น

เมื่อเห็นผมและเฟิงเฉ่วหาน ยังไม่รอให้ผมสองคนได้พูดอะไร เธอก็โบกมือทักทายพวกเราทันที

“ติงฝาน เฟิงเฉ่วหาน!”

 

ขณะที่พูดเธอก็เดินเข้ามาหาพวกเราด้วยรอยยิ้ม มันทำให้ผมรู้สึกกระชุ่มกระชวยในช่วงอากาศร้อนๆแบบนี้จริงๆ

หยางเฉ่วเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุด ที่ผมได้เจอนอกจากมู่หลงเหยียน

เมื่อเห็นเธอเดินเข้ามา ผมก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย “ตอนอยู่บนรถก็ไม่พูดให้มันชัดเจน คิดจะทำให้พวกเรามาเสียเที่ยวรึไง!”

หยางเฉ่วเห็นผมเหน็บแนม จึงหัวเราะ “แฮะแฮะ” และพูดว่า “เอาเถอะน่า! ไหนๆพวกเราก็ทำงานสายเดียวกัน คืนนี้ฉันเลี้ยงข้าวเอง! พูดมา! อยากกินอะไร”

 

ตอนนี้ผมและเฟิงเฉ่วหานยังไม่ค่อยหิว แต่ก็ไม่ได้สนใจ ชี้ไปที่ร้านๆหนึ่งขณะยืนอยู่ที่หน้ามหาลัย “ร้านหมอไฟเสียบไม้ก็แล้วกัน! ป่ะไปรูดของกินจากไม้เสียบกัน!”

หยางเฉ่วทำหน้าเฉยชา “โอเค! ตอนนี้ก็ใกล้จะเย็นแล้ว แต่พวกเราจะไปกันตอนนี้เลยเหรอ”

เฟิงเฉ่วหานไม่ได้พูดอะไร แต่ผมพยักหน้ารับตรงๆ

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกเราก็เข้ามานั่งในร้านเรียบร้อยแล้ว

พนักงานนำเตามาวางบนโต๊ะ พวกเราออกไปหยิบอาหารมากินจำนวนมาก

แต่ผมและเฟิงเฉ่วหานเอามาแต่เนื้อ ส่วนหยางเฉ่วก็หยิบแต่ของมังสวิรัติ บอกว่าช่วงนี้น้ำหนักขึ้น

 

ผมและเฟิงเฉ่วหานอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเธอ รูปร่างแบบนี้ยังบอกว่าอ้วน แล้วจะให้นักศึกษาที่นั่งกินโต๊ะข้างๆอย่างกับตายอดตายอยากว่าเป็นตัวอะไรฮะ

แต่ไม่รอให้พวกเราได้พูด หยางเฉ่วยังพูดต่อ “เออใช่ ก่อนหน้านี้ตอนคุยโทรศัพท์นายบอกว่ามีคนกระโดดตึก เกิดอะไรขึ้นเหรอ”

เมื่อได้ยินหัวข้อที่หยางเฉ่วพูด สีหน้าของผมและเฟิงเฉ่วหานก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที

จากนั้นผมก็พูดว่า “วันนี้ฉันกับเฟิงเฉ่วหานไปหาเธอ แต่ดันไปเห็นตอนมีคนกระโดดตึกพอดี ในมหาลัยนั่นไง แต่ฉันว่าเรื่องนี้อาจมีปัญหาบางอย่าง!”

 

“มีปัญหาอะไร” หยางเฉ่วพูดพร้อมขมวดคิ้ว

เฟิงเฉ่วหานพูดตามมาติดๆ “ที่ตึกนั้นมีสิ่งชั่วร้าย พวกฉันคิดว่าจะเข้าไปดูมันคืนนี้!”

เมื่อหยางเฉ่วได้ยิน ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองมหาลัยแห่งนั้น

จากนั้นก็เผยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น ในเวลาเดียวกันเธอยังกดเสียงลงต่ำ “ดีซิ! ฉันไปทำงานคนเดียวตลอดทุกครั้ง ไม่สนุกเลยสักนิด คืนนี้พวกเราไปด้วยกันนะ”

เมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นของหยางเฉ่ว ผมและเฟิงเฉ่วหานก็รู้สึกแปลกใจมาก

แต่ว่าผมและเฟิงเฉ่วหานไม่ได้สงสัย ความสามารถของหยางเฉ่วเลยสักนิด

 

ยันต์พิเศษเพียงแผ่นเดียว ก็สามารถหลบสายตาของพวกกองทัพผีได้ เห็นได้ชัดว่าเธอร้ายกาจขนาดไหน

คืนนี้ถ้าหยางเฉ่วไปด้วย จะต้องจับสิ่งชั่วร้ายในตึกนั้นได้แน่ และเป็นเรื่องง่ายที่ไม่ต้องเปลืองแรงมากอีกด้วย……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset