ศพ – ตอนที่ 9 ศาลเจ้าหลักเมือง

ผมมองโทรศัพท์มาระยะหนึ่ง เพื่อนนับร้อยหายไปหมดแล้ว ชื่อยังถูกเปลี่ยนเป็นผู้ชายกากฆ่าตัวตาย

ตอนนี้ ทั่วทั้งตัวของผมต่างรู้สึกทั้งหวาดกลัวและหวาดระแวง

เมื่อมองดูห้องของผมนี้อีกครั้ง กลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

ผมเครียดจนต้องกลืนน้ำลาย จากนั้นก็รีบลุกขึ้นจากเตียง

หลังออกมาจากห้อง ผมก็เห็นอาจารย์กำลังรำดาบไม้อยู่

เมื่อเห็นท่าทางที่เคร่งเครียดของผม และสีหน้าที่ซีดเซียว

 

เขาไม่ถามผมว่าเป็นอะไร แค่พูดออกมาเบาๆ “อย่าเครียด เธอเป็นเมียของแก ไม่ทำร้ายแกหรอก!”

“อา อาจารย์ คุณ คุณรู้เหรอ” ผมมองด้วยสีหน้าที่ตกตะลึง

อาจารย์ไม่ได้เงยหน้า เขายังรำดาบไม้ต่อไปและพูดว่า “แค่เดาก็รู้แล้ว ต่อไปแกต้องจุดธูปทุกคืน ถ้าวันไหนถามชื่อมาได้ แกก็เขียนชื่อนั้นแล้ววางไว้ในห้องด้วย!”

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็รำดาบต่ออีกสองสามกระบวนท่า “อ่ะเอาไปลองดู จับพอดีมือไหม!”

ขณะที่พูด เขาก็โยนดาบไม้ที่อยู่ในมือมาให้ผม

 

“ที่จริงแล้วอาจารย์ไม่อยากให้แกมาทำอาชีพนี้ อยากให้แกใช้ชีวิตธรรมดาๆ แต่เมื่อเรื่องมันแดงขึ้นมาแล้ว วันข้างหน้าอาจารย์จะพาแกไปทำงานด้วย!”

เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนี้ เมื่อกี้ตัวผมยังหลงทางอยู่เล็กน้อย แต่ขณะนี้ผมกลับรู้สึกดีใจมากทีเดียว

ผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่ยังเล็ก อาจารย์สอนแค่วิชาหลบหลีกธรรมดาๆให้กับผมเท่านั้น ไม่เคยสอนวิชาที่แท้จริงให้กับผมเลย และยังบอกไม่ให้ผมจับตัวศพมั่วซั่วอีกด้วย

ถึงผมอยากจะเรียน อาจารย์ก็ไม่ยอมสอนให้อยู่ดี

ในที่สุดวันนี้อาจารย์ก็ยอมสอนผมซะที แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมดีใจได้ยังไงละ

 

เมื่ออาจารย์เห็นผมดีใจ เขากลับสาดน้ำเย็นๆหนึ่งกะละมังใส่ผม บอกว่าคืนนี้ผีชาวประมงสองสามีภรรยาคู่นั้นจะต้องมาทวงชีวิตผมอีกแน่

แล้วยังบอกผมว่าผ่านคืนนี้ไปให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ไม่อย่างนั้นทุกสิ่งทุกอย่างมันก็สูญเปล่าทั้งนั้นแหละ……

หลังจากนั้น ผมและอาจารย์ก็ออกไปหาอะไรกินข้างนอก อาจารย์บอกให้ผมออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกบ้าง จะได้ผ่อนคลายสักหน่อย

แต่ตัวผมเองกลับไม่มีอารมณ์ ดังนั้นผมจึงอยู่แต่ในห้องทั้งวัน

เมื่อผมเห็นว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว จึงถามอาจารย์ว่าคืนนี้เราจะทำยังไง จะรอพวกเขาอยู่ในบ้านใช่ไหม

อาจารย์ส่ายหัวและพูดว่า แม้ว่าผมจะมีผีเป็นคู่ครองแล้ว และภายใต้สถานะนี้ คู่ครองของผมย่อมยอมช่วยผมแน่

 

แต่อาจารย์ก็ไม่แน่ใจว่า เมียของผมจะมีความสามารถเพียงพอที่จะหยุดยั้งภัยร้ายครั้งนี้แทนผมได้ไหม

สามารถยับยั้งได้ไหมคงไม่ต้องพูดแล้ว แต่ถ้ายับยั้งไว้ไม่ได้ ผลที่ตามมาจะต้องเลวร้ายจนไม่กล้าคิดเลยละ

ดังนั้นพวกเราจึงต้องเตรียมแผนสองเอาไว้ ต้องมีวิธีการเป็นของตัวเอง

อาจารย์ยังพูดอีกว่า ในเมืองของพวกเรามีศาลเจ้าหลักเมืองที่ทรุดโทรมตั้งอยู่

แม้ว่ามันจะทรุดโทรม ไม่มีธูปจุดบูชา แต่มันก็เป็นอาณาเขตของเทพเจ้าหลักเมือง

คืนนี้พวกเราจะไปที่นั้น พึ่งพาพลังอำนาจของเทพเจ้าหลักเมือง ดูซิว่าสถานที่แห่งนั้นจะยับยั้งสองสามีภรรยาคู่นั้นได้ไหม

 

ในเวลาเดียวกันเขาก็บอกให้ตัวผมเองเตรียมตัวให้พร้อม ถ้าตอนนั้นไม่ไหวจริงๆ พวกเราก็แค่สู้กับพวกเขาจนตัวตายก็เท่านั้น

หลังจากฟังอาจารย์พูดจบ ผมก็ตระหนักได้ทันทีว่าสถานการณ์มันร้ายแรงขนาดไหน ดังนั้นผมจึงทำทุกอย่างตามที่อาจารย์สั่ง

เวลาประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง เหล่าฉินก็เดินทางมาถึงบ้านของผม

แต่ตอนที่เขามาถึง กลับนำของสิ่งหนึ่งมาด้วย

แส้ขนหมาที่ทำจากขนหมาดำ เหล่าฉินบอกว่า แส้ขนหมานี้ชุ่มไปด้วยเลือดหมาดำ และมันยังทำจากขนหมาสีดำบริสุทธิ์ มีพลังฆ่าฟัน และมีพลังปกป้องจากสิ่งชั่วร้าย

 

ถ้านำมาใช้ต่อกรกับวิญญาณชั่วร้าย มันใช้ได้ผลมากเลยทีเดียว

เหล่าฉินยุ่งมาทั้งวัน ก็เพื่อทำของเล่นชิ้นนี้

ตอนนี้พวกเราสามคน กำลังเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน

อาจารย์มองดูเวลา และบอกว่าใกล้ถึงเวลาที่เราควรออกเดินทางแล้ว

ดังนั้น พวกเราทั้งสามคนจึงเดินตามถนนเพื่อไปศาลเจ้าหลักเมืองที่ทรุดโทรม

ศาลเจ้าหลักเมืองอยู่ไม่ไกลจากที่พวกเราอยู่ ถนนก็อยู่ฝั่งตรงข้ามกับบนเนินเขานี่เอง

ที่นี่ไม่ได้มีคนเข้ามานานมากแล้ว ดังนั้นจึงมีกอหญ้ารกทึบ จนมองไปเห็นถนน

 

เมื่อพวกเรามาถึงศาลเจ้าหลักเมือง ก็พบว่าผนังด้านหนึ่งของศาลเจ้าหลักเมืองทรุดตัวลงมา

ภายในศาลเจ้าหลักเมือง ทรุดโทรมมาก ด้านบนหลังคามีรูรั่วขนาดใหญ่ ประตูไม้ก็พังจนไม่เหลือชิ้นดี

หลังจากเข้ามาถึงด้านใน พวกเราก็ปิดประตูใหญ่ก่อนเป็นอย่างแรก จากนั้นอาจารย์ยังแปะยันต์สีเหลืองไว้ที่ด้านบน

ในเวลาเดียวกัน เหล่าฉินเองก็จุดเทียนสองเล่มขึ้นในศาลเจ้า  จากนั้นก็บอกให้ผมแสดงความเคารพต่อท่านเทพเจ้าหลักเมือง ขอพรให้ผมผ่านพ้นคืนนี้ไปได้ด้วยดี

เมื่อทำทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็เข้ามาพักผ่อนกันในศาลเจ้า

 

เวลาผ่านไปช้าๆ ชั่วพริบตาเวลาก็ล่วงเลยมาถึงเที่ยงคืนกว่าๆ

ยึดตามนิสัยชั่วๆของผีสองสามีภรรยาคู่นั้น ตอนนี้ก็ใกล้ถึงเวลาที่พวกเขาจะออกมาแล้ว

ผมเครียดเป็นพิเศษ และนั่งไม่ติดที่

เหล่าฉินและอาจารย์ต่างเป็นคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงดูสงบมาก

พวกเขาเอนกายพิงผนัง และค่อยๆหลับตาเพื่อพักผ่อน

ทันใดนั้น ก็มีลมเย็นๆพัดเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว เดิมที่รอบๆต่างสงบเงียบแต่วินาทีนั้นมันกลับมีเสียงต้มไม้เสียดสีกันดัง “อี๊ด…อี๊ด…อี๊ด”

อาจารย์และเหล่าฉินที่เคยผิงผนังอยู่ ต่างก็ลืมตาขึ้นมาทันที “บึก” จากนั้นพวกเราก็ลุกขึ้นยืน

 

อาจารย์ขมวดคิ้วและพูดด้วยเสียงต่ำ “ระวัง พวกเขามาแล้ว!”

หลังจากพูดจบ ทั้งสองคนก็รีบวิ่งไปที่ประตูทันที และมองผ่านประตูไม้ที่ผุพัง

ส่วนผมก็พุ่งออกไปเช่นกัน การมองครั้งนี้ ทำให้ผมเห็นด้านนอกของศาลเจ้า ในเวลานี้กำลังมีคนสองคนยืนอยู่จริงๆ

ด้วยความช่วยเหลือจากแสงจันทร์ มันเลยสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

ว่าทั้งสองคนใส่เสื้อผ้าสีขาว สีหน้าซีดขาว แววตาที่โมโหกำลังจดจ้องมายังด้านในของศาลเจ้าหลักเมือง

พวกนี้ไม่ใช่ใครอื่น พวกเขาก็คือชาวประมงสองสามีภรรยาที่จมน้ำตายในอ่างเก็บน้ำนั้นเอง

เพื่อจะหาตัวตายตัวแทน ตอนนี้พวกเขาจึงมาที่นี่เพื่อพรากวิญญาณของผมไป

 

ขณะมองไปที่ทั้งสองคน ด้านหลังของผมก็รู้สึกเย็นวาบ จนขนลุกตั้งไปทั้งตัว

รู้สึกเหมือนขนที่กำลังลุกขึ้นมาเป็นชั้นๆติดต่อกันเรื่อยๆ

สีหน้าหวาดกลัว และลมหายก็เริ่มถี่ขึ้น ผมกำดาบไม้ที่อยู่ในมือจนแน่นโดยที่ผมไม่ทันรู้ตัวเลย

เมื่ออาจารย์เห็นผมเครียด เขาจึงพูดกับผมว่า “อย่าตกใจ ไอ้สองตนนั้นมันเข้ามาตรงๆไม่ได้ บางทีที่ศาลเจ้าหลักเมืองแห่งนี้ยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง ตอนนี้แค่ทำให้พวกเราตกใจก็เท่านั้น! แค่ระวังตัวเอาไว้ก็พอ”

เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนี้ ใจที่เคยตึงเครียดก็ค่อยๆผ่อนคลายลง

จากนั้นผมก็หันไปมองพวกเขาอีกครั้ง พบว่าสีหน้าของผีสองตนนั้น เปลี่ยนเป็นมืดมนเล็กน้อย แต่ก็ยังคงมีความน่าสยดสยองอยู่

 

หลังจากสูดอากาศหนาวเย็นเข้าไปหนึ่งครั้ง ผมก็ถอยเข้าไปในศาลเจ้า และจุดธูปบูชาเทพเจ้าศาลหลักเมืองอีกครั้ง

แต่ธูปที่จุดนี้ยังไม่ทันมอดหมด จู่ๆอุณหภูมิภายในห้อง ก็ลดลงอีกเล็กน้อย

และเหล่าฉินที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู จู่ๆก็ร้องอุทานออกมา “แย่แล้ว พวกมันเข้ามาที่ลานเล็กแล้ว!”

เสียงพึ่งตกลงเท่านั้น ผมและอาจารย์ก็รีบวิ่งไปที่หน้าประตูทันที

เป็นอย่างที่คิดผีสองสามีภรรยามาถึงที่ลานเล็กแล้วจริงๆ ห่างจากพวกเราไม่ถึง 10 เมตร ตอนนี้พวกมันกำลังเดินไปเดินมาด้านในลานเล็กอยู่

 

พวกเขาไม่พูดอะไรออกมา แต่กลับจ้องมองมาทางพวกเราที่อยู่ด้านในศาลเจ้าอย่างไม่วางตา

อาจารย์ขมวดคิ้ว และพูดว่า “สามีภรรยาคู่นี้มีพลังเยอะมาก ดูเหมือนจะตั้งใจให้เสี่ยวฝานมาเป็นตัวตายตัวแทนของพวกเขาให้ได้ ศาลเจ้าแห่งนี้คงรั้งพวกเขาไว้ได้ไม่นาน เหล่าฉิน อีกเดี๋ยวนายกับฉันซ่อนอยู่ในประตูนี้แล้วคอยซุ่มโจมตีพวกเขา เสี่ยวฝาน ตอนนี้แกไปซ่อนตัวหลังรูปปั้นก่อน!”

เมื่ออาจารย์พูดจบ ทุกคนก็เริ่มเคลื่อนไหว

ด้านหลังรูปปั้นชื้นมาก มีกลิ่นเหม็นอับ แต่ผมยังต้องนอนหมอบเพื่อซ่อนตัวเองจากผีร้าย

รอประมาณ 10 นาที จู่ๆที่ประตูใหญ่ก็มีเสียงแปลกๆดังขึ้น

 

“อี๊ดอี๊ดอี๊ด” เสียงแสบแก้วหูมาก ราวกับว่าผีสามีภรรยาคู่นั้นกำลังใช้เล็บข่วนประตู

เสียงแบบนี้มันทำให้คนฟังต้องขนลุกไปทั้งตัว  ประสาททั่วร่างต่างตื่นขึ้นจนถึงขีดสุด

แต่ข่วนไปได้สักพัก จู่ๆเสียงนี้ก็ขาดหายไป

แต่ผ่านไปแค่ 3 วิเท่านั้น ยันต์ที่แปะไว้บนประตูไม้แผ่นนั้น ก็มีเสียงไฟลุก “ตูม” ขึ้นมาอย่างไม่ส่งสัญญาณใดๆล่วงหน้า

เมื่ออาจารย์และเหล่าฉินเห็นยันต์ติดไฟ พวกเขาก็เผยสีหน้าเคร่งเครียดออกมาทันที

ไม่รออะไรทั้งสิ้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงดัง “ปัง” ประตูไม้ที่ผุพังบานนั้น ก็ถูกคนด้านนอกเตะจนเปิดออก

จากนั้น ลมที่เย็นยะเยือกก็พัดพา ฝุ่นผงและเศษหญ้าเข้ามา

ในเวลาเดียวกัน ที่ประตูยังมีเสียงแหบแห้งของผีผู้หญิงดังขึ้น “ไอ้เด็กน้อย วันตายของแกได้มาถึงแล้ว!”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset