ตอนที่ 90 สวนสาธารณะเล็กๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของหยางเฉ่ว ผมและเฟิงเฉ่วหานก็รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย
คิดไม่ถึงว่าการไปจัดการผี จะทำให้หยางเฉ่วตื่นเต้นขนาดนี้
แน่นอนว่า วิชาของหยางเฉ่วนั้นสุดยอดมาก พวกเราจึงไม่ปฏิเสธ
ผมพยักหน้าให้เธอทันที และแสดงความเห็นด้วย
มีหยางเฉ่วอยู่ เวลาที่พวกเราต่อสู้กับสิ่งชั่วร้ายในตึกนั้น ก็จะมีโอกาสชนะเพิ่มขึ้น
แต่ไม่รอให้เราได้พูด หยางเฉ่วก็พูดกับพวกเราต่อ “แต่สิ่งชั่วร้ายที่อยู่ในตึกนั้นเป็นตัวอะไร พวกนายได้ตรวจสอบให้แน่ใจมาแล้วรึยัง”
ผมและเฟิงเฉยหานแสดงท่าทางทำอะไรไม่ถูก ได้ตรวจสอบที่ไหนกันละ แทบไม่ได้มองเลยด้วยซ้ำ
ผมสองคนจึงถอนหายใจ ส่ายหัวตามที่จิตใต้สำนึกบอก
ในเวลาเดียวกันผมก็พูดว่า “ยังไม่ได้ตรวจเลย แค่ได้ยินว่าก่อนหน้านี้ที่ตึกนั่นมีนักศึกษาหญิงคนหนึ่งกระโดดตึกฆ่าตัวตาย หลังจากนั้นก็เริ่มมีคนกระโดดตึกตาย ต่อมาทุกปีก็จะมีคนกระโดดลงมาตายสามคน และจนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว!”
“อือ! ถ้าอย่างงั้น ก็เป็นผีผู้หญิงที่อยากจะแก้แค้นซินะ” หยางเฉ่วพูดตาม
แต่เฟิงเฉ่วหานกลับส่ายหัว “ตอนนี้ยังไม่แน่ใจ นี่เป็นแค่สิ่งที่พวกเราได้ยินมาเท่านั้น ส่วนจะเป็นอย่างที่ว่าจริงไหม พวกเราเองก็ยังไม่มีหลังฐานที่แน่นอนเลยสักชิ้น!”
หยางเฉ่วเงียบไป แต่กลับยิ้มออกมาเล็กน้อย “ไม่เป็นไร รอให้พวกเราไปอีกรอบแล้วค่อยถาม! แล้วดูว่ามันเป็นวิญญาณที่ไม่ไปพุดไปเกิด หรือเป็นผีชั่วมาทวงแค้น ได้เจอกับพวกเรา ถือว่าเป็นโชคร้ายของมันแล้ว!”
หลังจากพูดจบ หยางเฉ่วก็ยกขวดเบียร์ขึ้น ใช้ฟันเปิดฝาขวดอย่างแรง
คนที่เห็นอย่างผมและเฟิงเฉ่วหานถึงกับตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าหยางเฉ่วด้านนอกที่ดูเป็นคนอ่อนโยน จะใช้ฟันกัดแรงๆแบบนั้น
“หยางเฉ่ว คืนนี้จะดื่มเบียร์อีกเหรอ” ผมถามด้วยความตกใจ
คืนนี้จะต้องไปล่าผี หยางเฉ่วไม่กลัวว่าดื่มแล้วจะเกิดเรื่องขึ้นรึไง
แต่หยางเฉ่วกลับแสดงท่าทางสบายๆ และยังเปิดขวดให้ผมกับเฟิงเฉ่วหาน “ไม่เป็นไร! ฉันจะดูแลพวกนายสองคนเอง เรื่องเล็กน้อยน่า!”
ผมและเฟิงเฉ่วหานตกตะลึง คิดไม่ถึงว่านอกจากหยางเฉ่วจะดูสดใสแล้ว เธอยังกล้าทำตัวเป็นฮีโร่ด้วย
ผมและเฟิงเฉ่วหานหันมามองหน้ากัน ผู้หญิงคนเดียวยังกล้าทำแบบนั้น แล้วผมสองคนจะมานั่งลังเลกันได้ยังไง
พวกเราไม่สนใจเรื่องอื่นอีก รับขวดเบียร์มาดื่มทันที
แต่ผมสองคนยังไม่ลืม ว่าจุดประสงค์หลักที่มาที่นี่ในวันนี้คืออะไร
นั่นก็คือมาทำความรู้จักกับหยางเฉ่วให้มากขึ้น กำจัดความสงสัยที่มีต่อเธอ เช่นทำไมถึงรู้จักคาถาที่ร้ายกาจขนาดนั้น หรือทำไมถึงมาที่ตำบลของพวกเราเป็นต้น
หลังจากกินอาหาร และดื่มเบียร์กันไปนิดหน่อย
ผมก็เริ่มพูด “หยางเฉ่ว เธอเป็นคนที่ไหน ทำไมเมื่อสองสามวันก่อนเธอถึงไปที่ตำบลของพวกเรา”
หยางเฉ่วไม่ได้หันมามองผม เธอพูดออกมาเบาๆ “บ้านเกิดของฉันอยู่ไกลมาก พูดไปพวกนายก็ไม่รู้จัก! ส่วนเรื่องตำบลเล็กๆที่ทุรกันดารของพวกนาย พอดีช่วงสองสามวันนั้นฉันไปทำความเข้าใจกับคนรากหญ้า ไม่อย่างนั้นเจ้าโง่อย่างพวกนายสองคนคงถูกทหารผีจับวิญญาณไปแล้ว ”
เมื่อได้ยินคำตอบของหยางเฉ่ว ตอนนั้นผมรู้สึกพูดอะไรไม่ออก
ไม่พูดก็ชั่งซิ! แต่ยังไม่ลืมที่จะพูดจาว่าร้ายฉันกับเฟิงเฉ่วหานอีกนะ
ถึงอีกฝ่ายจะไม่พูด แต่ผมก็รู้อยู่แล้ว ผมจึงหาเรื่องพูดต่อ
ถ้าไม่ถามต่อ งั้นการมาครั้งนี้ก็ไม่มีความหมายแล้ว
แม้จะรู้สึกสงสัยและอยากรู้อยากเห็นมาก แต่การพูดกับเธอคนนี้ตามลำพัง ก็ถือว่าไม่เลวเลยละ
ภายนอกดูสดใส เร้าร้อนน่าหลงไหล เป็นผู้หญิงที่พูดตรงไม่รู้จักเขินอายเลยสักนิด
ดังนั้นผมและเฟิงเฉ่วหานจึงไม่ต้องพูดอ้อมโลก เพียงแค่พูดคุยกับเธออย่างสนุกสนานตามภาษาเพื่อนผู้หญิงเท่านั้น
แต่หยางเฉ่วเม้าเก่งจริงๆ แม้แต่เรื่องดาราที่ไม่ค่อยดัง เธอยังรู้ว่าเขาถูกนอกใจหรือมีลูกสองแล้ว……
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ ก็เป็นเวลา 1 ทุ่มตรง
ตอนนี้ยังไม่ดึกมากนัก ดังนั้นในมหาลัยจึงยังมีคนอยู่ จึงไม่สะดวกในการล่าผี อย่างมากก็ต้องให้เวลามาถึงช่วงห้าทุ่มก่อนพวกเราถึงจะเคลื่อนไหวได้
ดังนั้นเวลาที่เหลืออีกสองสามชั่วโมง พวกเราจึงไม่รู้จะไปที่ไหน
แต่หยางเฉ่วกลับพูดว่า แถวๆนี้มีสวนสาธารณะเล็กๆอยู่ ให้พวกเราไปเดินเล่นที่สวนนั้น ไปสูดอากาศให้ตัวเองผ่อนคลาย
ผมและเฟิงเฉ่วหานไม่รู้จะทำอะไร จึงตอบตกลงทันที
หลังจากพวกเราตามหยางเฉ่วมาถึงสวนสวนสาธารณะเล็กๆ ก็พบว่าพวกแม่ๆป้าๆกำลังเต้นแอโรบิคกันอยู่
ลำโพงขนาดใหญ่ถูกเปิดจนสุด สถานที่แห่งนั้นจึงคึกคักขึ้นมา ราวผับลานดิสโก้กลางแจ้งเลยละ
ตอนนี้ไม่มีที่จะไป พวกเราสามคนเองก็เบื่อมาก จึงหาพื้นที่ที่มีคนน้อยและนั่งลงตรงแปลงดอกไม้แห่งหนึ่ง พักผ่อนด้วยการสูบบุหรี่ และมองดูน้าๆป้าๆเต้นแอโรบิคกันด้วยความน่าเบื่อหน่าย
ประมาณสี่ทุ่ม พวกป้าๆก็เริ่มทะยอยกลับไป ตอนนี้ในสวนสาธารณะจึงมืดนิด และเงียบสงัดไร้เสียงผู้คน
แต่ตอนนั้นเอง จู่ๆไม่ไกลจากด้านหลังของพวกเรา ก็มีเสียงของผู้ชายดังขึ้น “ฉันรอเธอมาครึ่งชั่วโมงแล้ว บทนี้เธอจะเล่นไหมฮะ”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ พวกเราสามคนก็หันไปมองตามสัญชาตญาณ
พบว่าที่ด้านหลังแปลงดอกไม้ มีชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่
ผู้ชายคนนั้นเป็นคนหัวโล้นวัยกลางคน แสดงท่าทางดุร้ายมาก ส่วนผู้หญิงสามารถมองเห็นได้เพียงใบหน้าด้านข้างเท่านั้น แต่เธอก็ดูสวย เมื่อมองรูปร่าง ก็พบว่าเป็นคนตัวสูงมาก
ผมและเฟิงเฉ่วหานไม่ได้สนใจ เพียงหันไปมองแค่แวบเดียวเท่านั้น จากนั้นก็สูดบุหรี่ของตัวเองต่อไป
แต่เมื่อหยางเฉ่วที่อยู่ข้างๆเห็นเข้า เธอก็ดูตื่นเต้นขั้นมาทันที รีบคว้าชุดของผมและเฟิงเฉ่วหานเอาไว้ “อร๊าย! นั่นฮุ่ยเอ๋อ ฮุ่ยเฮ๋อ……”
หยางเฉ่วตื่นเต้นมาก แต่ผมและเฟิงเฉ่วหานเคยได้ยินชื่อฮุ่ยเอ๋อที่ไหนกันละ ผมจึงกลอกตาใส่เธอทันที
แต่ไม่รอให้พวกเราได้พูด ทันใดนั้นก็ได้ยินผู้หญิงคนนั้นพูดกับตาหัวโล้นด้วยความรีบร้อน “ขอโทษค่ะผู้กำกับจาง ระหว่างรถติด บวกกับที่นี่หายาก ดังนั้น ดังนั้นฉันจึงมาสายค่ะ!”
“ฮึ! ไม่ต้องพูดแล้ว สคริปที่ฉันให้เธอไปเธออ่านแล้วใช่ไหม” ตาหัวโล้นพูด
ทันใดนั้นผมก็เริ่มรู้สึกอยากรู้อยากเห็น ดูเหมือนฐานะของสองคนนี้คือผู้กำกับและนักแสดง
แต่ผมไม่ได้ติดตามเรื่องดารา จึงไม่รู้จักพวกเขา
หรือว่าที่หยางเฉ่วตื่นเต้นขนาดนั้น จะเป็นเพราะเห็นดาราอย่างงั้นเหรอ
ผมและเฟิงเฉ่วหานไม่ได้ส่งเสียงอะไร แอบซ่อนตัวเฝ้ามองดูอยู่หลังแปลงดอกไม้อย่างเงียบๆ
จากนั้นพวกเราก็ได้ยินดาราสาวคนนั้นพูดว่า “ดูแล้วค่ะผู้กำกับจาง ฉันชอบผู้หญิงหมายเลขสี่มากเลยคะ ถึงจะเกิดมาจน แต่ก็พยายามดิ้นรนมากๆ ตัวละครที่เข้มแข็งและมองโลกในแง่ดีแบบนั้น ฉันชอบมากเลยค่ะ ถ้าผู้กำกับจางให้โอกาสฉัน ฉันจะตั้งใจแสดงออกมาให้ดีที่สุดค่ะ!”
เมื่อตาหัวโล้นได้ยิน ก็เผยรอยยิ้มที่ค่อนข้างหื่นกามออกมาทันที “โอกาสน่ะมีเยอะแยะ แต่ต้องดูว่าเธอจะสามารถคว้ามันไว้ได้ไหม!”
ขณะที่พูด ตาหัวโล้นก็เข้าไปจับผมของดาราสาวคนนั้น
เมื่อเห็นฉากนี้ แม้แต่ไอ้โง่อย่างผมก็เข้าใจ
ไอ้หัวโล้นนี้คิดจะฟันดาราสาวคนนั้น ถึงว่านัดออกมาในสวนสาธารณะเล็กๆมืดๆแบบนี้ ที่แท้ก็มีความลับที่บอกเจ้าตัวไม่ได้
วินาทีนั้นผมตื่นตัวขึ้นมาทันที ถึงจะไม่เคยได้ยินชื่อของยัยดาราคนนี้มาก่อน และไม่รู้ว่าเธอเป็นดาราระดับไหน
แต่เมื่อคิดถึงตอนที่เห็นข่าวว่ามีการทำเรื่องแบบนี้ในวงการบันเทิง แถมตอนนี้พวกเรายังได้เห็นการถ่ายทอดสดของเหตุการณ์นี้ ผมจึงรู้สึกไม่สบอารมณ์
แต่ดูเหมือนดาราสาวคนนั้นจะแสดงท่าทางปฏิเสธ เธอถอยหลังไปหนึ่งก้าว “ผู้กำกับจาง ฉันจะตั้งใจมากๆ ถ้าผู้กำกับจางให้โอกาสฉัน ต่อไปฉันจะขอบคุณผู้กำกับจางอย่างดีเลยค่ะ!”
“ฮึฮึฮึ ไม่ต้องขอบคุณในอนาคตหรอก ฉันจะดูวันนี้!” ชายหัวโล้นพูดอีกครั้ง ขณะที่พูดเขาก็เดินไปข้างหน้า ในเวลาเดียวกันก็เอื้อมมือออกไปจับหน้าอกของดาราสาวคนนั้น
ผลลัพธ์คือ ดาราหญิงคนนั้นปัดมือของตาหัวโล้นออก และแสดงท่าทางจริงจัง “ผู้กำกับจาง ระวังการกระทำของตัวเองด้วยนะคะ!”
สีหน้าของตาหัวโล้นเปลี่ยนไป “ฮุ่ยเอ๋อ อย่ามาทำเป็นลีลาหน่อยเลย ถ้าไม่มีคนสนับสนุนเธอ เธอก็จะกลายเป็นคนไม่สำคัญในสายตาของคนอื่นๆ! ผ่านไปสิบปีก็เป็นได้แค่ตัวประกอบ ถ้าเธอมีฉันดูแล บทของผู้หญิงหมายเลขสี่ ฉันจะยังเก็บไว้ให้เธอได้”
หลังจากพูดจบ ตาหัวโล้นก็เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
ดาราสาวรู้สึกหวาดกลัว เธอยังถอยไปด้านหลัง “ผู้กำกับจาง บทนี้ฉันไม่เล่นแล้ว คุณ คุณไปหาคนอื่นเถอะ!”
หลังจากพูดจบ ดาราที่ชื่อฮุ่ยเอ๋อก็หมุนตัวคิดจะวิ่งหนี
แต่ตาหัวโล้งนั้นหน้าไม่อาย แสดงสีหน้ามืดมน
พูดฮึอย่างเย็นชาออกมา จากนั้นก็จับมือของดาราคนนั้นเอาไว้
จากนั้นพวกเราก็ได้ยินเสียงฮุ่ยเอ๋อร้อง “อร๊าย” ร่างกายถูกกระชาก เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของชายหัวโล้นทันที
และยังถูกอีกฝ่ายกอดเอาไว้จนแน่น ใช้ริมผีปากที่ทั้งบวมและมัน เข้ามาจูบเธอ
อู๋ฮุ่ยฮุ่ยดิ้นรนสุดชีวิต “ผู้ ผู้กำกับจาง ผู้กำกับจาง ฉันจะตะโกนเรียกคนแล้วนะ……”
แต่ตอนนั้นตาหัวโล้นกลับยิ่งตื่นเต้น เขาทำหน้าหื่นกามทันที
จากนั้นก็อุ้มฮุ่ยเอ๋อเข้าไปในที่มืด และพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น “ที่ทุรกันดารแบบนี้ เธอตะโกนไปก็ไม่มีใครได้ยินหรอก ฉันว่าที่นี่วิวดีนะ ตอนทำพวกเราก็ทำที่นี่เถอะ! เสร็จแล้ว บทผู้หญิงหมายเลขสี่ ไม่ซิ แม้แต่หมายเลขสามฉันก็ให้เธอได้……”