ศพ – ตอนที่ 91 ตาหัวโล้นบ้าคลั่ง

ตอนที่ 91 ตาหัวโล้นบ้าคลั่ง

 

ตอนแรกคิดว่าเป็นการนัดมาคุยกันลับๆของคนในวงการบันเทิงเท่านั้น แต่ตอนนี้ ดูเหมือนสถานการณ์จะเลวร้ายกว่านั้นมาก

ตาหัวโล้นนี่คิดจะทำอะไร จะข่มขื่นเธองั้นเหรอ

ขณะที่พวกเราสามคนกำลังตกใจ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องที่หวาดกลัวมากๆของฮุ่ยเอ๋อ เธอดิ้นรนอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เธอแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว “ผู้ ผู้กับ จาง อย่า อย่าทำแบบนี้ ละครเรื่องนี้ฉันไม่เล่นแล้ว ฉันไม่เล่นแล้ว……”

ตาหัวโล้นนั่นหน้ามืดตามัวแล้ว ตอนนี้จะยอมหยุดได้ยังไง เขาใช้แขนสองข้างที่อวบอ้วนโอบอุ้มฮุ่ยเอ๋อเอาไว้แน่น

 

และใช้ปากที่มันและหนา เข้าไปกดจูบฮุ่ยเอ๋ออย่างต่อเนื่อง

“ไม่เล่นงั้นเหรอ! ยังไงวันนี้เธอก็ต้องเล่น ไม่เล่นก็ต้องเล่น! เธอดูซิตอนนี้ฉันเอางานมาให้เธอทำนะ”

หลังจากพูดจบ เขาก็โยนร่างของฮุ่ยเอ๋อลงกับพื้น ย่อตัวลงเตรียมทำขั้นตอนต่อไป

ดาราสาวเป็นผู้หญิงวัยรุ่นรูปร่างบอบบาง จะสามารถต่อต้านเขาได้ยังไง

เมื่อเห็นว่าหนีไม่ได้ เธอจึงเริ่มแหกปากตะโกนเรียกขอความช่วยเหลือ แต่พึ่งตะโกนว่า “ช่วย” เท่านั้นคำว่า “ด้วย” ยังไม่ทันพูดออกมา ก็ถูกตาหัวโล้นนั่นปิดปากซะแล้ว!

 

“อีกระหรี่ อย่าลีลาให้มันมากนัก ถ้าเธอยอมฉันดีๆ ต่อไปฉันจะทำให้เธอดังเป็นพลุแตก! และละครเรื่องนี้ฉันจะให้เธอรับบทผู้หญิงหมายเลขหนึ่งเลขสองเลย” ตาหัวโล้นพูดออกมาอย่างดุร้าย และในปากยังมีน้ำลายหยดออกมาอย่างต่อเนื่อง ราวกับหิวกระหายจนแทบทนไม่ไหวแล้ว

แต่ฮุ่ยเอ๋อยังคงส่ายหัว เธอใช้มือทั้งสองข้างผลักเขาออกจากตัว ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงร้องไห้ออกมา “ฮือฮือฮือ”

เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ ผมก็ทนดูต่อไปไม่ไหว

ถ้าทั้งสองคนต่างยอมซึ่งกันและกัน ทำข้อตกลงกันได้ ผมก็จะทำเป็นไม่เห็น ไม่เข้าไปยุ่งกับพวกเขาเด็ดขาด

 

แต่ตอนนี้มันต่างออกไป เห็นชัดๆว่าตาหัวโล้นนี่กำลังข่มขืนผู้หญิง

ถ้ายังไม่ออกไปช่วย คืนนี้ดาราสาวนี่ต้องจบเห่แน่

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ผมก็ไม่ลังเลอีกต่อไป แสดงสีหน้าเคร่งขรึม และด่าออกไปทันที “สารเลว!”

หลังจากพูดจบ ผมก็ไม่ได้สนใจเฟิงเฉ่วหานและหยางเฉ่ว พุ่งออกไปทันที

ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ เป็นเวลาสั้นมากๆ

ที่จริงถ้าผมไม่ทำแบบนี้ หยางเฉ่วและเฟิงเฉ่วหานก็ต้องลุกออกมาอยู่ดี แต่คิดไม่ถึงว่าผมจะออกมาเร็วขนาดนี้

 

เมื่อทั้งสองคนเห็นผมพุ่งออกไป ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ รีบลุกตามมาทันที

ตอนนี้ผมตรงออกมาจากแปลงดอกไม้ มองการกระทำชั่วๆของตาหัวโล้นและตะโกนออกไปว่า “หยุดเดี๋ยวนี้!”

เสียงตะโกนของผม ทำให้ตาหัวโล้นที่เพลิดเพลินอยู่นั้นหยุดชะงักทันที เขาหันมามองตามสัญชาตญาณ

ฮุ่ยเอ๋อที่ถูกกดเอาไว้ ก็ส่งสายตาอ้อนวอนมาทางผม

ผมไม่หยุดเพียงเท่านั้น ยังเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ

วินาทีที่ตาหัวโล้นหันมา ผมก็เดินมาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ผมไม่รอช้าง้างหมัดต่อยหน้าเขาอย่างแรง

 

ขณะเดียวกันก็ตะโกนออกมาว่า “ไอ้ชั่ว!”

“ปัก” ทันใดนั้นหมัดก็พุ่งเข้าใส่หน้าตาหัวโล้นจังๆ

ตาหัวโล้นนั้นไม่ได้ระวัง วินาทีนั้นจึงถูกผมต่อยอย่างแรง จากนั้นเขาก็กรีดร้องออกมา

“โอ๊ย!” พร้อมกับเลือดที่ไหลทะลักออกมาจากจมูก

ร่างกายของเขาถอยออกไปสองสามก้าว ไม่รอให้เขาได้ยืนดีๆ ผมเข้าไปเตะเขาอีกครั้งทันที

ตาหัวโล้นกรีดร้องออกมาอีกครั้ง ร่างกายเซไปเซมา และล้มลงไปกับพื้นทันที

แต่ผมยังไม่รามือ ผู้ชายทุเรศแบบนี้ ถ้าไม่สั่งสอน มันก็จะไม่หลาบจำ

 

ดังนั้นหลังจากเตะไปครั้งหนึ่ง ผมก็เดินเข้าไปอีกครั้ง เล็งร่างของตาหัวโล้นให้ดีและเริ่มกระทืบทันที

แต่เฟิงเฉ่วหานก็ตามมาทัน อย่าคิดว่าปกติเจ้าเด็กนี้เป็นคนเย็นชา ทำตัวดูเท่ไปวันๆ

เวลาลงมือเขาโหดกว่าผมมาก หลังจากเข้ามาเขาก็ใช้เท้าทั้งสองข้างกระทืบเป้าของตาหัวโล้นทันที

ช่วงเวลานั้นตาหัวโล้นกรีดร้องเหมือนหมูถูกเชือด บวกกับเท้าทั้งสองข้างยังกระหน่ำเข้ามาอย่างแรง ทำให้เขาดิ้นอยู่พบพื้นอย่างต่อเนื่อง

“อย่า อย่ากระทืบ อย่ากระทืบมัน!”

“ไปพูดกับแม่…โน้น!”

 

“วันนี้ฉันจะกระทืบแกให้ตาย!”

“ฉันผิดไปแล้ว ฉันผิดไปแล้ว ไม่กล้าทำอีกแล้ว ไม่กล้าทำอีกแล้ว!”

“……”

แต่ผมและเฟิงเฉ่วหานยังไม่ยอมหยุด ยังคงกระทืบไอ้ผู้กำกับชั่วนี้ต่อไป

ส่วนดาราสาวนั้น ก็เริ่มร้องไห้ออกมา

อาจเป็นเพราะกลัวมาก ตอนนี้เธอจึงนั่งอยู่บนพื้นไม่ยอมลุก

กอดขาตัวเองเอาไว้และร้องไห้ “ฮือฮือฮือ” อย่างไม่หยุดหย่อน ท่าทางเหมือนจะเสียใจมาก

 

ในเวลานี้หยางเฉ่วกำลังปลอบเธออยู่ข้างๆ เมื่อผู้หญิงต้องมาเผชิญกับสถานการณ์อย่างนั้น ใครๆก็ย่อมหวาดกลัวกันทั้งนั้น

โชคดีที่พวกเราเห็นเข้า ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์คงไม่ต้องพูดถึงเลยละ

ตาหัวโล้นทนการกระทืบไม่ไหว หลังจากโดนอัดมาได้ไม่กี่นาทีก็สลบไป

แต่ผมยังกระทืบมันอีกสักสองสามครั้ง แต่เฟิงเฉ่วหานกลับเข้ามาห้ามผม “หยุดได้แล้วติงฝาน ถ้ากระทืบต่อมีหวังเจ้านี้ได้ตายกันพอดี!”

“ฮึ! สมควรตาย ไอ้ชั่ว!” ผมด่าออกมาดังๆ จากนั้นก็หยุดกระทืบ

 

หลังจากนั้น พวกเราก็หมุนตัวกลับมาหาดาราสาว

ดาราสาวยังคงร้องไห้อยู่ ท่าทางดูเศร้ามากๆ

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆสองครั้ง จากนั้นก็นั่งลงตรงหน้าของดาราสาว และพูดกับเธอว่า “โอเคแล้วสาวน้อย เธอปลอดภัยแล้ว รีบกลับบ้านซะ!”

พวกเราไม่รู้จักกัน ผมจึงทำได้เพียงเท่านี้ ดังนั้นผมจึงคุยกับเธอเบาๆแค่นิดหน่อย

แต่เสียงพึ่งจางหาย จู่ๆดาราสาวคนนั้นกลับเงยหน้าขึ้น

จนถึงตอนนี้ ผมพึ่งได้เห็นใบหน้าเต็มๆของเธอ

 

เป็นใบหน้าที่ยอดเยี่ยมมาก ผิวขาวใสมาก ขนตางอนยาว ริมฝีปากแดงระเรื่อ หน้าตาดีสุดๆ

แต่เธอในตอนนี้ กลับดูเศร้ามาก ดวงตาแดงก่ำ น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง

เธอมองผมอย่างเงียบๆ และก็ไม่ได้พูดอะไร

เมื่อผมเห็นเธอไม่พูดอะไร จึงรู้สึกอึดอัด แต่ทันใดนั้นผมก็คิดได้ว่ามีกระดาษทิชชู่ที่ใช้เหลือจากตอนเข้าห้องน้ำ

ผมเอื้อมมือไปหยิบ “เอ่อสาวน้อย เธอเช็ดน้ำตาก่อนซิ!”

ขณะที่พูด ผมก็หยิบกระดาษทิชชู่ออกมา

 

ผลลัพธ์หลังจากหยิบออกมา ก็พบว่ากระดาษทิชชู่ถูกผมทำจนยู่ยี่หมดแล้ว มันน่าเกลียดจนผมรู้สึกอายมาก

แต่เมื่อหยางเฉ่วที่อยู่ข้างๆเห็นสิ่งนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะกลอกตาใส่ผม

นี่มันถูกบี้จนกลายเป็นอะไรไปแล้ว นายยังกล้าหยิบออกมาให้เธอเช็ดหน้าอีกเหรอฮะ

ส่วนดาราสาวเงียบไปพักหนึ่ง แต่เมื่อเห็นผมทำท่าเขินอาย จู่ๆเธอก็หัวเราะออกมา

หยิบกระดาษทิชชู่ในมือของผมไป จากนั้นก็ยืนขึ้น “ขอบคุณมากค่ะ คุณติงฝาน!”

หลังจากพูดจบ เธอก็เช็ดน้ำตาที่หน้าตัวเอง

แต่ผมกลับนั่งอึ้ง พวกเราไม่รู้จักกัน แต่ทำไมเธอถึงรู้ชื่อฉันได้ละ

 

“เธอ เธอรู้ชื่อฉันได้ยังไง” ผมพูดด้วยสีหน้าตกใจ

ดาราสาวคนนั้นคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย “เมื่อกี้ได้ยินเขาเรียกคุณแบบนั้นน่ะ!”

หลังจากพูดจบ เธอก็ชี้ไปที่เฟิงเฉ่วหาน

ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง จากนั้นผมถึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก นึกว่าเธอมีญาณทิพย์รู้ได้ซะอีก

จากนั้น จิตใจของดาราสาวก็ดีขึ้นมาก

เธอจ้องตาหัวโล้นที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น จากนั้นก็พูดกับพวกเราว่า “ฉันชื่อว่าอู๋ฮุ่ยฮุ่ยค่ะ ขอบคุณพวกคุณมาก แต่พวกคุณ พวกคุณช่วยฉันเก็บเรื่องนี้เป็นความลับได้ไหมคะ และอย่าไปแจ้งตำรวจด้วยค่ะ”

 

พวกเราเงียบไปพักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็พยักหน้ารับ

คนที่ก่อเรื่องอยู่ในวงการบันเทิง ถึงเธอจะเป็นดาราหน้าใหม่ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ถ้าเรื่องในคืนนี้แพร่ออกไป ต่อไปการงานของเธอ ก็จะมีอุปสรรคเยอะขึ้น

เมื่อฮุ่ยเอ๋อเห็นพวกเราพยักหน้า จึงยิ้มออกมาเล็กน้อย “ขอบคุณมากค่ะ! เอ่อคือ ฉัน ฉันขอตัวก่อนนะคะ!”

ทุกคนไม่คุ้นเคยกัน เมื่อได้ยินเธอพูดแบบนั้น พวกเราจึงพยักหน้า และเปิดทางให้เธอทันที

ฮุ่ยเอ๋อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้น และรีบจากไปจากที่นี่ทันที หลังจากนั้นร่างของเธอก็หายไปจากแสงไฟของถนน

 

ผมมองทางที่ฮุ่ยเอ๋อจากไป คิดว่าเรื่องนี้คงเป็นเรื่องเล็กๆ

เพราะพวกเราไม่ได้ทำงานในวงการเดียวกัน ต่อไปก็คงไม่ได้ติดต่อกันอีก

แต่พวกเราจะไปรู้อะไร ในวงการบันเทิงมันยุ่งเหยิงมาก นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นของ อู๋ฮุ่ยฮุ่ยและพวกเราเท่านั้น……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset