ตอนที่ 92 ตามหาผี
หลังจากดาราอู๋ฮุ่ยฮุ่ยจากไป ที่นี่ก็เหลือเพียงพวกเราสามคนกับหนึ่งร่างที่ไร้สติ
ผมมองร่างที่นอนสลบอยู่ไม่ไกล ตาหัวโล้นที่หน้าอาบเลือด จากนั้นผมคิดจะเดินออกไป
แต่ทันใดนั้นหยางเฉ่วที่อยู่ข้างๆก็พูดว่า “ จะให้มันนอนอยู่ที่นี่แบบนี้เหรอ ถ้าเกิดอะไรขึ้น พวกเราสามคนก็มีส่วนผิดนะ ! ”
ผมกลับเงียบไป ผู้ชายชั่วๆแบบนี้ ฉันยังต้องไปดูแลมันอีกเหรอ
เฟิงเฉ่วหานพูดด้วยความเย็นชา “ ตายไปซะก็ดี ! ”
หยางเฉ่วกลับส่ายหน้า “ ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่ถ้าเจ้านี้ตายไปจริงๆ มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่นะ ! ”
เมื่อได้ยินหยางเฉ่วพูดแบบนั้น ผมและเฟิงเฉ่วหานก็เงียบทันที
พูดตามเป็นจริงแล้ว ผู้ชายชั่วแบบนี้สมควรตายจริงๆ
ตายไปหนึ่งคนก็ช่วยลด คนที่จะไปทำร้ายคนอื่นได้หนึ่งคน
แต่พวกเราทำงานในสายนี้ เดิมทีก็ไม่มีอำนาจไปยุ่งกับความเป็นความตายของคนอยู่แล้ว โดยเฉพาะคนธรรมดา
และเมื่อเห็นเจ้านี้เริ่มหายใจอ่อนลงเรื่อยๆ เลือดไหลจากจมูกไม่หยุด ไม่แน่อาจชีวิตสั้นกลายเป็นผีก็ได้ แล้วถ้าตอนนี้ทิ้งมันไปจริงๆ พวกเราสามคนเองก็อาจจะต้องติดคุก
หยางเฉ่วเห็นผมและเฟิงเฉ่วหานไม่พูด จึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ออกมา และโทรเรียกรถพยาบาลทันที
หลังจากทำเรื่องพวกนี้เสร็จ พวกเราสามคนก็ไม่อยู่ที่นี่ต่อ รีบเดินออกไปจากที่นี่ทันที
เมื่อมองดูเวลา ก็พบว่าตอนนี้ใกล้จะห้าทุ่มแล้ว ภายในมหาลัยคงไม่มีคนแล้ว การเข้าไปตอนนี้ จึงถือว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด
ดังนั้น พวกเราสามคนจึงตัดสินใจเดินออกมาจากสวนสาธารณะเล็กๆแห่งนี้ และตรงไปที่มหาลัยชิงชานทันที
เมื่อพวกเรามาถึงประตูมหาลัย ยามที่เฝ้าประตูคนนั้นก็ไม่มองพวกเราเลยสักนิด แถมยังยอมปล่อยให้พวกเราผ่านเข้าไปอย่างง่ายดายอีกด้วย
ตอนกลางคืนในมหาลัย อากาศเย็นเป็นพิเศษ และยิ่งเข้าไปใกล้ตึกเรียนเหล่านั้น ก็ยิ่งเย็นขึ้นเรื่อยๆ
ตอนที่พวกเราข้ามสนามกีฬา เดินผ่านตึกเรียน จนมาถึงตึกร้างหลังนั้น ก็รู้สึกว่าอุณหภูมิของที่นี่ลดลงอีกหลายองศา
และตึกร้างตรงหน้า ก็ยังดูมืดเป็นพิเศษด้วย
ผมหายใจเข้าลึกๆ และพูดออกมาตรงๆ “ พวกเราเปิดตากันก่อนเถอะ! ไม่งั้นอาจจะถูกซุ่มโจมตีได้ ”
ทุกคนพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นผมและเฟิงเฉ่วหานก็หยิบขวดเล็กๆออกมาจากกระเป๋า และใช้น้ำตาวัวเปิดตา
แต่หยางเฉ่วที่ยืนอยู่ข้างๆพวกเรา กลับหยิบยันต์เหลืองออกมาหนึ่งแผ่น
ไม่รอให้พวกเราถามอะไร ผมก็เห็นหยางเฉ่วเสกคาถาทันที จากนั้นก็พูดดังๆว่า “ ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง เปิด ! ”
เสียงพึ่งขาดลง ยันต์ในมือของเธอก็ระเบิดดัง “ ปัง ” เริ่มลุกไหม้ และกลายเป็นผุยผงทันที
จากนั้น ผมก็เห็นม่านตาของหยางเฉ่วขยายใหญ่ และหดเล็กลงทันที
ช่วงเวลานั้นผมมองเห็นไม่ค่อยชัด เลยบอกให้หยางเฉ่วเปิดตา แต่ทำไมเธอถึงเสกคาถาละ
ผลลัพธ์เฟิงเฉ่วหานที่ยืนอยู่ข้างๆผม กลับพูดขึ้นมาด้วยท่าทางตกใจ “ นี่ นี่หรือว่า จะเป็นคาถาเปิดตา ”
เมื่อได้ยินคำว่า “ คาถาเปิดตา ” ใจของผมก็มีเสียงดัง “ กึก ” หันไปมองหยางเฉ่วด้วยความตกใจ
แค่ได้ยินชื่อก็รู้ว่า มันคือคาถาที่ใช้เปิดตา
ก่อนหน้านี้ ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน ว่ามีคาถาที่ใช้เปิดตาได้ด้วย
จากความรู้ของผม มีแค่เพียงการใช้น้ำตาพิเศษของวัวและใบส้มโอเท่านั้น
หยางเฉ่วพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “ อือ ใช่คาถาเปิดตา ! ทำไม ร้ายกาจมากละซิ ”
ขณะที่พูด หยางเฉ่วก็ยิ้มหยีตาให้พวกเราทันที
เฟิงเฉ่วหานดูตกใจมาก เขาหายใจเข้าลึกๆและพูดว่า “ คิดไม่ถึงว่าแม้แต่คาถาเปิดตาเธอก็ทำได้ เก่งสุดๆเลย ! ”
“ อย่าพูดมากอยู่เลย ฉันพกยันต์เปิดตามาด้วยน่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะให้พวกนายสักสองสามแผ่นนะ น้ำตานี่ทั้งเหม็นทั้งเหนียว ฉันใช้เสร็จทีไรก็อยากอ้วกทุกที ! ” หยางเฉ่วพูดอย่างเปิดเผย
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ผมและเฟิงเฉ่วหานก็ทำหน้าลำบากใจเล็กน้อย
คำพูดนี้ไม่ใช่เรื่องโกหก น้ำตาพิเศษของวัวถึงจะสามารถลดพลังไฟในตาของคนได้ และทำให้พวกเรามองเห็นวิญญาณที่ล่องลอยไปมา
แต่กลิ่นของมันก็ไม่โอเคจริงๆนั่นแหละ มันเหม็นมากๆ ทุกครั้งที่เช็ดมันออกก็จะได้กลิ่นเหมือนเลยละ
ถ้ามีโอกาส ได้เรียนคาถาเปิดตาจากหยางเฉ่วก็คงดีไม่น้อย
ไม่อย่างนั้นพวกเราคงต้องทุกข์ทรมานทุกครั้งที่เปิดตา และวิธีนี้ก็ยุ่งยาก เพราะพกพาไม่ค่อยสะดวก
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ผมและเฟิงเฉ่วหานก็ได้แต่กระพริบตาอย่างเงียบๆ
ขณะที่เปลือกตากำลังรู้สึกเย็น ผมยังมองเห็นรอบๆสลัวๆ แต่เพียงชั่วพริบตาทุกอย่างก็สว่างขึ้นมาทันที
แต่ตรงหน้าของพวกเรากลับมีหมอกหนาเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง นอกจากนี้ในหมอกพวกนี้ ยังมีไอสีเหลืองอ่อนปะปนอยู่ด้วย
หมอกพวกนั้นคือพลังหยินที่ควบแน่น จนกลายเป็นหมอกในเวลานี้ เมื่อเห็นสิ่งนี้จึงรู้ว่าผีผู้หญิงในตึกร้ายกาจถึงขนาดนี้
เฟิงเฉ่วหานที่อยู่ข้างๆก็พูดว่า “ ผีตัวเดียวมีพลังหยินแรงขนาดนี้ เกรงว่าพลังของเจ้านี้ต้องเยอะมากแน่ๆ เมื่อทุกคนเข้าไปแล้ว คุยกันได้ก็คุย พยายามอย่าใช้กำลัง ไม่อย่างนั้นจะต้องเจอศึกใหญ่แน่ ”
ผมและหยางเฉ่วพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เดินเข้าไปในตึกร้างพร้อมกัน
แต่ขณะที่พวกเราเดินเข้ามาในตึกเพียงหนึ่งก้าว ทันใดนั้นลมกระโชกแรงก็พัดเข้ามา อากาศร้อนอบอ้าวในฤดูร้อน จู่ๆก็เย็นยะเยือกขึ้นมาทันที
พวกเราขนลุกไปทั้งตัว อดไม่ได้ที่จะเริ่มหนาวสั่น
มองไปรอบๆด้วยความตกใจ แต่ก็ไม่เห็นอะไร จึงเริ่มเดินตรงไปชั้นบน
ตึกร้างหลังนี้มีทั้งหมดเก้าชั้น ชั้นล่างสองสามชั้นชื้นมาก จนมีพืชขึ้นรกเป็นจำนวนมาก ทำให้บรรยากาศดูรกร้างไปเลยทีเดียว
เพราะไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งนั้นอยู่ที่ไหน แต่สิ่งที่พวกเรามั่นใจในตอนนี้คือ ยิ่งเดินขึ้นไป ก็ยิ่งรู้สึกถึงพลังหยินที่เข้มข้น
เจ้าสิ่งนั้นจะต้องอยู่ในห้องใดห้องหนึ่งของตึกนี้แน่ พวกเราระมัดระวังมาก และเดินกันช้ามากๆ
ตั้งแต่ชั้นแรกจนถึงชั้นห้า พวกเราก็ตรวจดูแต่ละห้องอย่างละเอียด
หลังจากตรวจมาจนถึงชั้นแปด พวกเราก็ยังไม่พบร่องรอยใดๆ
ตอนนี้พวกเรายืนหยุดอยู่ที่หน้าบันได มองขึ้นไปบนบันไดที่มืดมิด จากนั้นเสียงผมก็ดังขึ้น “ ทุกคนเตรียมพร้อมไว้ เจ้าสิ่งนั้นต้องอยู่ชั้นบนนี้แน่ ตั้งสติกันให้ดีละ ! ”
ท่าทางของทุกคนดูจริงจังขึ้นมาทันที จากนั้นพวกเราก็เดินขึ้นไปบนชั้นเก้า
ยิ่งเดินขึ้นไป รอบๆก็ยิ่งเย็นขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะเมื่อพวกเราขึ้นมาถึงชั้นเก้า ก็พบว่าที่นี่มีพลังหยินเข้มข้นเป็นพิเศษ แบบที่เรียกได้ว่าเกือบควบแน่นกัน จนกลายเป็นหยดน้ำเลยก็ว่าได้
แต่พวกเรายังไม่เห็นเจ้าสิ่งนั้น จึงทำได้เพียงเดินเข้าไปตรวจห้องทุกห้องที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น
เพราะห้องพวกนี้ต่างถูกสร้างมาเพื่อใช้เป็นห้องเรียน และด้านในยังว่างเปล่า ดังนั้นจึงมองเพียงครั้งเดียว ก็มั่นใจในทันทีว่ามีเจ้าสิ่งนั้นอยู่รึเปล่า
ทุกคนต่างใจเต้นตึกๆ มองไปรอบๆด้วยความหวาดระแวง
แม้แต่ต้นหญ้าขยับ ก็ยังทำให้พวกเราหวาดกลัวจนสุดขีดได้
ห้องแรก ห้องสอง ห้องสาม หลังจากพวกเราค้นหามาสุดทางก็มาถึงหกห้องติดกัน แต่ก็ยังรู้สึกใจสั่น
เพราะบนชั้นนี้ยังมีห้องเรียนเหลืออยู่ห้องหนึ่ง ถ้าพูดอีกอย่างก็คือ เจ้าสิ่งนั้น น่าจะอยู่ในห้องเรียนนั้นแน่
พวกเราสามคนมองหน้ากัน ต่างอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ
ผมกดความกลัวลง จากนั้นผมก็เดินอยู่หน้าสุด ค่อยๆเข้าใกล้ห้องเรียนห้องนั้นอย่างช้าๆ
แต่หลังจากพวกเรามาถึงประตูห้องเรียนห้องนั้น ก็ต้องพบกับสิ่งที่น่าตกใจ ห้องเรียนห้องนี้ไม่เหมือนกับห้องอื่นๆ
เพราะห้องเรียนห้องนี้มีประตูติดไว้ เป็นสีแดงสด มันจึงทำให้พวกเรารู้สึกแปลกใจมาก
ตึกนี้ร้างไปแล้วชัดๆ แถมทั้งตึกนี้ กลับมีเพียงแค่ห้องนี้ห้องเดียวเนี่ยนะที่มีประตู
ผมสงสัยในใจ แต่ตอนนี้จะมาคิดมากไม่ได้ ยัยผีนั้นจะต้องอยู่ในห้องนี้แน่นอน
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ใช้มือจับไปที่ประตู
แต่ใครจะรู้ ผมยังไม่ได้ใช้แรง จู่ๆประตูบานนี้ก็เปิดออก
เพราะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ชื้นมาเป็นเวลาหลายปี ประตูไม้จึงผุพัง
วินาทีที่เปิดออก มันก็ส่งเสียง “ แอ๊ด ” ออกมาเบาๆ
ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ แค่เสียง “ แอ๊ด ” เบาๆ ก็ทำให้พวกเราสามคนเสียสติ หัวใจเต้นแรงไปในทันที
ในเมื่อมาแล้ว จะกลัวไปก็เท่านั้น
ดังนั้นผมจึงกัดฟัน ทำเป็นใจกล้า ใช้เท้าถีบประตูห้องทันที
ทันใดนั้น “ ปัง ” ประตูห้องก็ได้กระแทกเข้ากับผนัง
วินาทีนั้นผมหยิบยันต์ออกมา กระโดดเข้าไปทันที
เฟิงเฉ่วหานและหยางเฉ่วที่เดินตามมาข้างหลังไม่กล้าชักช้า รีบเดินตามผมเข้ามาทันที
แต่หลังจากที่พวกเราเข้ามาในห้อง ก็รู้สึกมึนงง และนิ่งอึ้งในทันที
ไม่ใช่เพราะเราเห็นผีร้ายในห้องนี้จำนวนมาก แต่เป็นเพราะห้องเรียนสุดท้ายที่เข้ามา
พวกเรากลับเห็นตุ๊กตาหลากหลายสีที่พังไปแล้ว ทั้งตัวเล็กตัวใหญ่วางเรียงรายเต็มไปหมด
ตุ๊กตาพวกนี้มีจำนวนเยอะมาก จนอาจพูดได้ว่ามีอยู่หลายร้อยตัวเลยก็ว่าได้
และห้องเรียนห้องนี้ก็แปลกมาก ตึกหลังนี้ เหมือนจะถูกปรับปรุงบ้าง เพราะมีทั้งพัดลมเพดาน โต๊ะเรียน และกระดานดำ
และพวกตุ๊กตาเหล่านี้ ก็กำลังแขวนอยู่ที่พัดลม วางไว้บนโต๊ะเรียน หรือบางตัวก็ถูกแปะเอาไว้ที่กระดานดำ
เมื่อเห็นภาพนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุก
แต่สิ่งที่แปลกที่สุดก็คือ พวกเราเดินหามาทั้งตึกแล้ว แต่ก็ยังไม่เจอผีตัวนั้นเลย
“ ทำไมไม่มี ” เฟิงเฉ่วหานมองรอบๆด้วยความแปลกใจ
หยางเฉ่วเองก็เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว หยิบตุ๊กตาที่เต็มไปด้วยฝุ่นขึ้นมาหนึ่งตัว จากนั้นก็พูดว่า “ แปลกจัง ทำไมเอาตุ๊กตาเยอะขนาดนี้มาวางเอาไว้ที่นี่ละ…… ”
เสี้ยววินาทีที่หยางเฉ่วพูดจบ ทันใดนั้นก็มีลมเย็นพัดเข้ามาในห้อง จนเกิดเสียง “ ฟูฟูฟู ”
ไม่เพียงเท่านี้ น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธของผู้หญิง ยังดังขึ้นมาจากด้านหลังของพวกเรา “ อย่ามาแตะต้องตุ๊กตาของฉัน…… ”