ศพ – ตอนที่ 93 ผีผู้หญิงลงมือ

ตอนที่ 93 ผีผู้หญิงลงมือ

หลังจากได้ยินเสียงพูดโมโหของผู้หญิงดังมาจากด้านหลัง พวกเราสามคนก็ตกใจตามสัญชาตญาณ

ช่วงเวลานั้นผมตื่นตัว หันหลังกลับไปมองข้างหลังทันที

แต่เมื่อพวกเราสามคนหันไปมอง ก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง เพราะด้านหลังของพวกเราไม่มีอะไรอยู่เลย

เป็นเพียงประตูห้องเรียนที่ว่างเปล่า และตอนนี้ประตูบานนั้นกำลังโยกไปมาอย่างต่อเนื่อง

ผมพูดในใจ แปลก ! ก็เมื่อกี้เสียงดังมาจากข้างหลังของพวกเราชัดๆ

แต่พอมองไปที่ประตู กลับไม่มีอะไรอยู่เลยได้ยังไง

 

ขณะที่ผมกำลังสงสัย จู่ๆผมก็รู้สึกถึงลมเย็นๆที่อยู่ข้างตัว จากนั้นเงาของใครบางคนที่ใส่ชุดสีเหลืองก็ปรากฎขึ้น

ช่วงเวลานั้นผมยังไม่ทันตั้งตัว จู่ๆก็ได้ยินเสียงหยางเฉ่วที่อยู่ข้างๆพูดว่า “ ระวัง ! ”

ผลลัพธ์เสียงของหยางเฉ่วพึ่งขาดหาย ใบหน้าซีดขาว ที่เต็มไปด้วยความโกรธ และดวงตาสีขาวโพนของหญิงสาว ก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าของผม

ม่านตาขยายขึ้นอย่างรวดเร็ว วินาทีนั้นผมหน้าซีดในทันที

ในใจมีเสียงดัง “ กึก ” ตะโกนว่าซวยแล้ว

เห็นได้ชัดว่านี่ก็คือผีผู้หณิงในตึกร้าง จะต้องไม่ผิดตัวแน่

 

ดวงตาสีขาวโพนที่น่าขนลุกคู่นั้น กำลังมองมาที่ผมอย่างกับการมองเห็นในตอนกลางวัน เมื่อเห็นชัดจนแล้วมันแทบไม่ต่างอะไรกันสักนิด

การปรากฎตัวของเธอน่าขนลุกเกินไป เพราะอยู่ห่างจากผมเพียงครึ่งเมตรเท่านั้น

ในเวลาเดียวกันผมก็ตกใจตามสัญชาตญาณ แต่ทันใดนั้นยัยผีก็เอื้อมมือออกมา จับคอของผมอย่างแรง

“ ผู้ชาย ผู้ชายสมควรตาย…… ”

ดูเหมือนผีผู้หญิงตนนั้นจะเริ่มบ้าคลั่ง จนเกือบกรีดร้องออกมา และใบหน้าก็เต็มไปด้วยคำว่าทุเรศ

และการเคลื่อนไหวของเธอยังเร็วมาก เพียงชั่วพริบตา ในขณะที่พวกเรายังไม่ได้สติ

 

จู่ๆผมก็รู้สึกเย็นที่คอ ตอนนี้คอของผมได้ถูกยัยผีนั้นบีบเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

แต่มันยังไม่จบเท่านั้น ข้างตัวของผมคือเฟิงเฉ่วหาน

เมื่อเฟิงเฉ่วหานเห็นผมโดนบีบคอ ก็เตรียมลงมือช่วยชีวิตผมทันที

แต่ยังไม่ทันจะหยิบยันต์ออกมา จู่ๆยัยผีนี้ก็โบกมือ ไปที่เฟิงเฉ่วหาน

จากนั้นร่างกายของเฟิงเฉ่วหาน ก็เหมือนกับโดนพลังบางอย่างดูดเข้ามา จากนั้นยัยผีก็ยืดมือออกไป

เพราะระยะห่างจากกันค่อนข้างใกล้ เฟิงเฉ่วหานจึงทำอะไรไม่ได้มาก เพียงชั่วพริบตาเขาก็ถูกจับคอเอาไว้แล้ว

 

พลังของมือผีผู้หญิงเยอะมาก หลังจากถูกบีบคอ พวกเราสองคนก็รู้สึกหมดแรง และทรมานเอามากๆ

ตอนแรกผมและเฟิงเฉ่วหานยังพยายามดิ้นรน เพื่อให้ได้หลุดพ้นไปจากมือข้างนี้

แต่หลังจากนั้น ผมก็รู้สึกแค่เพียงความเย็นเริ่มเคลื่อนตัว จากคอ ไปจนถึงทั่วไปร่าง

ดูเหมือนตอนนี้มือและเท้าของตัวเอง กำลังถูกแช่แข็ง

พลังที่อยู่ในร่างต่างหมดลง ช่วงเวลานั้นพวกเราไม่มีแรงทำอะไรหรือต่อต้านอะไรได้เลย

ดวงตาทั้งสองข้างเหลือกขึ้น ส่งเสียง “ ฮือฮือฮือ ” ออกมาด้วยความทรมาน ตอนนี้พวกเราทำได้เพียงอยู่เฉยๆและร้องขอความเมตตาเท่านั้น

 

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเร็วมาก แทบจะไม่เกิดเสียงใดๆทั้งสิ้น จนกระทั่งผมและเฟิงเฉ่วหานถูกบีบคอ ก็ใช้เวลาไม่ถึงสองวินาทีด้วยซ้ำ

เพราะเป็นการเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน ดังนั้นตอนนี้ จึงเหลือเพียงหยางเฉ่วเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนไหวได้

เมื่อเธอเห็นผมและเฟิงเฉ่วหานถูกจับเอาไว้ วินาทีนั้นสีหน้าของเธอก็มืดมนลงทันที

หลังจากนั้นก็หยิบยันต์ออกมาหนึ่งแผ่น และรีบพุ่งเข้ามาหาทันที

ขณะเดียวกันก็ตะโกนว่า “ หยุดเดี๋ยวนี้ ! ”

แต่ยัยผีนั้นกลับไม่สะทบสะท้าน หันมามองหยางเฉ่ว และส่งสียงหัวเราะที่น่าขนลุกออกมา “ ฮ่าฮ่าฮ่า ”

แม้ว่าตอนนี้เธอจะไม่มีดาบไม้หรืออาวุธอื่นอยู่ในมือ แต่เธอก็ไม่กลัว และไม่คิดจะหยุดอยู่เท่านี้

 

ทันใดนั้น หยางเฉ่วก็กระโดดลอยตัวขึ้น คิดจะแปะยันต์ไปที่ตัวยัยผีนั้น

แต่ยัยผีนี้กำลังโกรธมาก แถมเธอแข็งแกร่งกว่าที่พวกเราคิดเอาไว้มาก

ขณะที่หยางเฉ่วกำลังลอยอยู่กลางอากาศ ทันใดนั้นเธอก็อ้าปากขึ้นอย่างรวดเร็ว และส่งเสียงกรีดร้อง “ อร๊าย ” ออกมาทันที

ทันใดนั้น ไอดำก็ทะลักออกมาจากปากของอีกฝ่าย

เมื่อผมและเฟิงเฉ่วหานเห็นภาพนี้ ถึงแม้จะขยับตัวไม่ได้ แต่ยังมีสติอยู่แจ่มชัด

เห็นได้ชัดว่าไอดำที่ออกมาไม่ใช่ของธรรมดาๆ นี่ก็คือพลังหยินจากในท้องของยัยผีนี้นั่นเอง

 

ถ้าโดนสิ่งนี้เข้าไปที่หน้า ผลลัพธ์ก็ไม่ต้องพูดถึงเลยละ

ถ้าเบาหน่อยก็จะสูญเสียการมองเห็น แต่ถ้าหนักกว่านั้นก็อาจจะเสียชีวิตได้เลย

หยางเฉ่วสามารถใช้คาถาที่ร้ายกาจได้ขนาดนั้น และไม่ใช่คนธรรมดาสามัญอะไร

ดังนั้นเมื่อเห็นสถานการณ์แบบนั้น เธอก็เลิกคิ้วขึ้น และตอบสนองต่อมันอย่างรวดเร็ว

ร่างกายที่อยู่กลางอากาศ หมุนตัว 360 องศา สามารถหลบพลังหยินที่เข้ามาที่หน้าได้อย่างหวุดหวิด

เมื่อเห็นหยางเฉ่วสามารถรับมือกับสถานการ์อย่างนั้นได้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ

คิดไม่ถึงว่าร่างกายของหยางเฉ่วจะยืดหยุ่นได้ถึงขนาดนี้ ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เธอยังสามารถหมุนตัวหลบได้

 

หลังจากยัยผีพ่ายแพ้ เธอยังหัวเราะ “ ฮึฮึฮึ ” ออกมา จากนั้นก็คำรามทันที

“ สมควรตาย สมควรตาย ! ” หลังจากพูดจบ เธอก็กรีดร้องออกมา

เพิ่มแรงบีบที่มือ ทำให้ผมและเฟิงเฉ่วหานทรมาณยิ่งกว่าเดิม

และในช่วงเวลานี้ ยัยผีนี้ ยังเคลื่อนดวงตาทั้งสองข้าง มาจ้องผมอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้นก็อ้าปาก เผยเขี้ยวที่แหลมคมให้เห็น

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็กลัวขึ้นมาทันที

 

ไม่ใช่ว่าจะต้องการสิ่งนี้หรือ บอกว่าขึ้นมาล่าผี แต่นี่แค่เจอหน้ากันเท่านั้น ก็ถูกผีจับตัวซะแล้ว แถมตอนนี้ยังจะต้องถูกผีกัดคอตายที่นี่เนี่ยนะ

ผมหวาดกลัว แต่ก็ยังไม่อยากจะตาย

เมื่ออันตรายมาถึง ในสมองของผมก็คิดบางอย่างผุดขึ้นมา

ก่อนหน้านี้เคยได้ยินอาจารย์พูดว่า ในร่างของคน เลือดของลิ้นมีพลังหยางอยู่ สามารถยับยั้งพลังหยินได้

ตอนนี้ถูกบีบคออยู่ ไม่สามารถขยับตัวได้เลยสักนิด แต่ผมยังสามารถควบคุมลิ้นและปากได้

เมื่อเห็นยัยผีจะกัดผม ผมเองก็ไม่รู้ว่าครั้งนี้เลือดที่ลิ้นของผมจะสามารถช่วยชีวิตตัวเองได้ไหม

 

แต่ไม่มีเวลามาคิดแล้ว ถึงจะรู้ว่าไม่มีใครช่วยได้แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้และยังพยายามจะสู้ด้วยตัวเอง

ผมกัดลงไป ทำให้ลิ้นเป็นแผลทันที

ช่วงเวลานั้น ผมสัมผัสได้ถึงเลือดอุ่นๆที่ไหลทะลักอยู่ในปาก

ยัยผีได้อ้าปากจนกว้าง เธอเล็งมากัดที่คอของผม

เฟิงเฉ่วหานกลัวมาก กระพริบตาถี่ๆ พยายามส่งเสียงแหบๆออกมา เพราะถูกควบคุมร่างกายเอาไว้ จึงทำได้เพียงดิ้นรน

เห็นได้ชัดว่าเขาอยากจะดิ้นรนให้หลุดพ้นจากการจับนี้ และเข้ามาช่วยผมให้พ้นจากอันตราย

 

ส่วนหยางเฉ่วที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็แสดงสีหน้าตกตะลึง

พวกเราคิดไม่ถึงจริงๆว่า พลังของยัยผีนี้จะมีเยอะขนาดนี้

แค่เจอหน้าเท่านั้นการต่อสู้ก็เกิดขึ้นทันที ทุกคนจึงยังไม่ได้ตั้งตัว ก็ถูกจู่โจมจนรับมือไม่ทันซะแล้ว

เมื่อเห็นผมกำลังจะถูกกัดคอ หยางเฉ่วก็อดไม่ได้ที่จะตะโกน “ ไม่ ! ”

แต่เธอเข้ามาช่วยไม่ทันแล้ว ปากของยัยผี ได้เข้ามากัดที่คอของผมอย่างรวดเร็ว

แต่ว่า ถึงตอนนั้นผมจะแสดงสีหน้าหวาดกลัว แต่ผมก็ยังแสดงท่าทางดุร้ายออกมาเล็กน้อย

ขณะที่ยัยผีกำลังเข้ามากัด ทันใดนั้นเสียง “ ถุย ” ก็ดังขึ้น ผมพ่นเลือดสดๆออกมาจากปากอย่างทันควัน

 

ระยะห่างของผีผู้หญิงกับผมใกล้กันมาก แล้วแบบนั้นเธอจะหลบมันได้ยังไง

ผลลัพธ์หลังจากผมพ่นเลือดออกไป พวกมันก็กระเด็นเข้ามาใส่หน้าของผีผู้หญิงเต็มๆ

เลือดจากลิ้นนั้นมีพลังหยาง เป็นสิ่งที่ใช้ปราบพลังหยินของผีได้

จากนั้น ยัยผีนั้นก็ตัวสั่น ดวงตาสีขาวโพนกระพริบอย่างต่อเนื่อง และยังกรีดร้องโหยหวนออกมาทันที

“ อร๊าย ! ”

ตัวของเธอเหมือนกับถูกไฟช็อต ถอยหลังไปตามสัญชาตญาณ และสั่นอย่างต่อเนื่อง

 

มือสองข้างที่ใช้จับคอผมและเฟิงเฉ่วหาน ก็คายออกในทันที

เธอถอยไปอย่างต่อเนื่อง ใช้มือลูบหน้าตัวเอง และกรีดร้องออกมาไม่หยุด

“ อร๊าย ! หน้าฉัน หน้าฉัน ! อร๊าย… ! ”

ดูเหมือนเลือดที่ลิ้นจะเปลี่ยนเป็นกรดซัลฟูริก กัดผิวหน้าของอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันเสียง

“ ซ่าซ่า ” ก็ดังขึ้น นอกจากนี้ยังมีไอดำไหลออกมาทีละนิดๆ……

หลังจากคอของผมและเฟิงเฉ่วหานถูกปล่อย วินาทีนั้นผมก็รู้สึกดีใจกับชีวิตที่เหลืออยู่ทันที

ขณะเดียวกันผมก็จับคอของตัวเอง อ้าปากสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ จนส่งเสียง “ ฮือฮือฮือ ”

 

จากนั้นก็ถอยหลัง ให้ห่างจากยัยผีนั้นอย่างรวดเร็ว

หยางเฉ่วรีบเข้ามาหา ประคองพวกเราสองคนจากทางด้านหลัง “ พวกนายไม่เป็นอะไรใช่ไหม ! ”

“ ไม่ ไม่เป็นไร ! ” เฟิงเฉ่วหานยังดูเจ็บปวดอยู่ เขาจับคอตัวเองเอาไว้ และพยายามพูดออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง

ส่วนผมกลับถุยน้ำลายปนเลือดออกมาหนึ่งครั้ง แล้วจ้องยัยผีที่กำลังกรีดร้อง “ อร๊าย… ” จากนั้นก็พูดออกมาอย่างรุนแรง “ แม่งเอ๊ย ! ยัยผีนี่โหดมาก…… ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset