ศพ – ตอนที่ 94 การต่อสู้ที่ดุเดือด

ตอนที่ 94 การต่อสู้ที่ดุเดือด

เลือดจากลิ้นของผมทำให้ผีผู้หญิงไม่สามารถป้องกันได้ ตอนนี้เธอจึงต้องทุกข์ทรมานที่หน้า

ส่วนผมและเฟิงเฉ่วหาน กำลังหายใจ และปรับตัวให้กลับมาอยู่ในสภาพปกติ

เลือดจากลิ้นของผมมีพลังหยางเยอะมาก เพราะมันมาจากพลังหยางของทั้งตัว

ทำให้ยัยผีที่มีพลังหยินเป็นฐานต้องทุกข์ทรมาน แถมตอนนี้ผิวหน้า ก็ถูกกัดไปจำนวนมากแล้ว

หลังจากผมพูดจบ เฟิงเฉ่วหานก็พูดตามทันที “ ใช่ยัยผีนี่ร้ายกาจมาก เราต้องระวังให้มากมากกว่าเดิมแล้ว ! ”

หลังจากพูดจบ เฟิงเฉ่วหานก็หยิบเก้าอี้มาหนึ่งตัว เพื่อนำมาเป็นอาวุธ

ยัยผียังลูบหน้าของตัวเอง และกรีดร้องออกมาอย่างต่อเนื่อง

 

แต่แล้ว ยัยผีก็หันมาจ้องด้วยหน้าตาดุร้าย และพูดกับผมด้วยความเจ็บปวด “ ผู้ชายสมควรตาย ไอ้ผู้ชายชั่ว ! ตาย ฉันจะฆ่าแก ! ”

เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย ยัยผีนี้ก็ตะโกนออกมา

และยกกรงเล็บของเธอขึ้น ระหว่างนั้น ใบหน้าที่อาบเลือด ก็ปรากฎขึ้นในสายตาของทุกคน

เมื่อมองดูใบหน้าแบบนั้นมันก็ทำให้ผมรู้สึกขยะแขยงมาก เปลือกตาและริมฝีปากต่างเน่าเละ

ถึงจะเป็นคนที่ทำงานเกี่ยวกับงานศพอย่างผม วินาทีที่ได้เห็นก็แทบจะอ้วกออกมาเช่นกัน

แต่สิ่งที่ผมไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นในคืนนี้ก็คือ หยางเฉ่วดูไม่เป็นอะไรเลย

นอกจากท่าทางจะดูเคร่งขรึมแล้ว เธอก็ไม่สนอะไรเลยสักนิด

 

ท่าทางแบบนี้ ถ้าไม่เป็นเพราะมีจิตใจแข็งแกร่งมาก ก็ต้องเป็นเพราะเห็นเรื่องน่าขนลุกมาจนชินแล้ว

หลังจากยัยผีตะโกนเสร็จ สิ่งที่ตามมา ก็คือพลังหยินที่หนาวเย็น

ยัยผีนี่โมโหแบบสุดๆแล้ว และไม่รู้ว่าตอนมีชีวิตเกิดอะไรขึ้น ถึงได้มีพลังชั่วร้ายที่เข้มข้นขนาดนี้

ขณะที่พลังหยินนั้นเข้ามา มันก็ทำให้คนรู้สึกใจสั่น และหายใจถี่ๆทันที

แต่มันยังไม่จบเท่านี้ หลังจากยัยผีนั้นยกกรงเล็บขึ้น เธอก็คำราม “ โฮก ” และพุ่งเข้ามาทันที

“ ระวัง ! ” หยางเฉ่วตะโกน ในเวลาเดียวกันก็ใช้มือเสกคาถาทันที

 

ส่วนผมและเฟิงเฉ่วหาน ก็ยกเก้าอี้ขึ้นมาคนละตัว เพื่อใช้สำหรับป้องกัน

ดูเหมือนคาถานั้นจะกลายเป็นลูกดอก มันพุ่งตรงเข้าใส่ยัยผีนั้นทันที

หน้าของยัยผีสยดสยองมาก เมื่อเห็นคาถาพุ่งเข้ามา ก็เคลื่อนตัว หลบอย่างรวดเร็ว

และการกระโดดหลบของเธอ ยังพุ่งกรงเล็บมาทางผมอีกด้วย

ดูเหมือนเลือดจากลิ้นของผมจะทำให้เธอโกรธจนถึงขีดสุด ตอนนี้เป้าหมายของยัยผี จึงกลายเป็นผมไปโดยปริยาย

เมื่อเห็นอีกฝ่ายเข้ามา ผมก็ยกเก้าอี้ขึ้นมาป้องกันทันที

 

แต่ผีผู้หญิงตนนั้นดุร้ายมาก เธอไม่ลังเลเลยสักนิด เธอใช้มือปัดเก้าอี้ของผมออกทันที

ทันใดนั้นเสียง “ ปัง ” ก็ดังขึ้น เก้าอี้ตัวนั้นถูกยัยผีปัดแตกเป็นเสี่ยงๆ วินาทีนั้นผมจึงรีบถอยหลังหลบออกไป

หลังจากผีสาวปัดเสร็จ เธอยังไม่ได้เอามือลง แต่ยังเข้ามาโจมตีผมอีกครั้ง

เมื่อเฟิงเฉ่วหานเห็นสถานการณ์ไม่ดี ก็ยกเก้าอี้โยนใส่ยัยผีนั้นทันที ในเวลาเดียวกันเขาก็เข้ามากั้นระหว่างพวกเรา

ในเวลานี้หยางเฉ่วเองก็ออกมาจากด้านหลัง เตรียมต่อสู้กับยัยผีนั้นทันที

ตอนนี้มีเฟิงเฉ่วหานกันเอาไว้ก็จริง แต่ผมเองก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ

สูดหายใจเข้าหนึ่งครั้ง มือหนึ่งหยิบเก้าอี้มาหนึ่งตัว ส่วนอีกมือก็หยิบยันต์แปดทิศออกมา

อ้อมไปอีกด้าน คิดจะลอบโจมตี ปล่อยอาวุธลับออกไป

 

แต่ผีผู้หญิงตนนี้ร้ายกาจมาก ดูแล้วเหมือนไม่ใช่ไฟที่กำลังมอดเลยสักนิด

เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน และยังไม่ได้เตรียมดาบไม้ ดาบเหรียญ ไม้บรรทัดดำ และอาวุธอื่นๆด้วย

พวกผมทำได้เพียงโจมตีระยะใกล้โดยใช้เก้าอี้เป็นโล่เท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะการร่วมมือของพวกเรา แต่เป็นการสู้เดียวๆ พวกเราก็คงไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเธอได้แล้ว

แต่ถึงแม้ตอนนี้พวกเราจะสู้แบบสามรุมหนึ่งอยู่ก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าจะต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย

ผีผู้หญิงตนนั้นเคลื่อนไหวเร็วมาก กรงเล็บทั้งสองข้าง ยังฟาดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง “ บึกบึกบึก ” ทุกครั้งที่โจมตีเธอยิ่งบ้าคลั่งมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ถ้าตอนนี้ประมาทแม้แต่เล็กน้อย ก็สามารถทำให้บาดเจ็บได้เลยละ

อีกอย่างกรงเล็บของผีสาวตนนี้แหลมคมมาก ถ้าโดนเข้าไป แค่นิดเดียวก็ทำให้เกิดแผลได้ แต่ถ้าโดนจังๆก็เตรียมตัวตายได้เลย

ดังนั้นทุกคนจึงระวังมาก และพยายามร่วมมือกันให้มากที่สุด

ด้วยวิธีนี้ ทำให้ความเร็วของยัยผีที่ได้เปรียบพวกเรานั้นหายไป และไม่เหมือนกับตอนแรกที่เข้ามาจู่โจม จนจับคอของพวกเราได้

สถานการณ์ก็เป็นแบบนี้ พวกเราสามคนสู้กับผีตัวเดียว ซึ่งการต่อสู้กันในตึกร้างได้ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว

 

เก้าอี้ที่อยู่ในห้องเรียนก็ได้ถูกนำมาใช้กว่าครึ่งแล้ว และระหว่างนั้นหยางเฉ่วเป็นคนที่โจมตีมากที่สุดในหมู่ของพวกเราสามคน

แม้ว่าการโจมตีของเธอจะเห็นผลมาก แต่ยันต์แผ่นนั้นก็ไม่สามารถทำร้ายยัยผีได้

ดังนั้นไม่ว่ามันจะร้ายกาจขนาดไหน แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร

ช่วงเวลานี้พวกเราเริ่มเหนื่อยจนหอบกันแล้ว ทั้งร่างเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ และร่างกายมีบาดแผลบ้างบางส่วน แต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่

ส่วนยัยผีนั้น กลับไม่เป็นอะไรเลยสักนิด เธอยังคงดุร้ายบ้าคลั่ง และเหมือนจะแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ

พลังโจมตีและความถี่ แทบไม่ลงลดเลยสักนิด

 

ในขณะที่ พวกเราและยัยผีต่อสู้กัน ผมก็เริ่มพูดว่า “ เป็น เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ แบบ แบบนี้พวกเราจะจบเห่กันก่อนพอดี ! ”

“ ต้องหาวิธีทำให้ฉันเข้าไปแปะยันต์ใกล้ๆมันให้ได้ ” หยางเฉ่วพูดเพิ่ม

ผลลัพธ์เสียงพึ่งจางหาย ยัยผีนั้นก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แปลแปลี่ยนเป็นภาพเงารางๆ  และปรากฎตัวขึ้นข้างๆของเฟิงเฉ่วหาน

จากนั้นก็ตะโกน “ โฮก ” ออกมา และเข้าไปหาเฟิงเฉ่วหานอย่างรวดเร็ว

“ ระวัง ! ” หลังจากพูดจบ ผมก็ยกเก้าอี้ขึ้นมาป้องกันทันที

“ แกร็ก ” และแล้วเก้าอี้ที่ได้รับการโจมตีมานาน เพียงแค่แป๊บเดียว ก็ถูกการโจมตีของอีกฝ่ายจนทำท่าว่าจะพังแล้ว

 

มือของผมยังถูกแรงกระแทกทำให้สั่น ระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้เริ่มชา และร่างกายของผมก็เริ่มก้าวถอยไปข้างหลังอย่างต่อเนื่อง

เฟิงเฉ่วหานประคองผมเอาไว้ พร้อมกับหน้าขมวดคิ้ว “ ยังทนไหวไหม ”

ผมฝืนความชาระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้และแขนเอาไว้ “ ยังพอไหว ! ”

“ ดี ! รอฉันแป๊บนึง ฉันจะเรียกเจ้านั้นออกมา ! ” เฟิงเฉ่วหานทำหน้าจริงจัง

หลังจากพูดจบ ก็หยิบขวดสีดำออกมาจากกระเป๋า

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ

 

เห็นได้ชัดว่า เฟิงเฉ่วหานกำลังคิดจะกินยานี่เข้าไปจริงๆ

เจ้าเด็กนี้มีความลับอยู่มากมาย แม้แต่ท่านนักพรตตู๋เอง ก็ยังไม่รู้ว่าก่อนอายุ 24 นั้นเฟิงเฉ่วหานได้เจอกับอะไรมาบ้าง

รู้เพียงแค่ว่าในร่างของเขามีวิญญาณอยู่สองดวง อีกหนึ่งดวงก็คือพี่ชายแท้ๆของเฟิงเฉ่วหาน ซึ่งมีนิสัยต่างกันลิบลับ

เฟิงเฉ่วหานต้องใช้ยาชนิดพิเศษ กดวิญญาณของพี่ชายเอาไว้

หรือใช้ยาชนิดพิเศษนี้ ปล่อยพี่ชายของเขาออกมา

แต่พลังที่พี่ชายหานเฉ่วเฟิงของเฟิงเฉ่วหานมีนั้นไม่ต้องสงสัยเลยสักนิด เพราะมันแข็งแกร่งมาก แม้แต่ท่านนักพรตตู๋ ก็ยังไม่อยู่ในสายตาของเขา

 

ถ้าเฟิงเฉ่วหานปล่อยพี่ชายหานเฉ่วเฟิงออกมาจริงๆ บางทีเขาอาจจะสามารถจัดการยัยผีตรงหน้านี้ได้

ผมไม่พูดอะไร เพียงคุ้มกันเฟิงเฉ่วหานอยู่ข้างหน้า

ส่วนยัยผีนั้น ก็ค่อยๆเดินบีบเข้ามา ทำให้หยางเฉ่วรู้สึกรับมือไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ ผมก็กัดฟันอย่างแรง เดินขึ้นไปตั้งรับ เพื่อแบ่งเบาแรงกดดันจากหยางเฉ่ว

ส่วนเฟิงเฉ่วหานที่อยู่ข้างหลัง ก็เปิดขวดออก และกินยาเม็ดสีดำเข้าไปเรียบร้อย

และแล้วหลังจากที่เฟิงเฉ่วหานพึ่งกินยาเข้าไป ร่างกายก็เริ่มสั่นสองสามครั้ง

จากนั้นเสียง “ บึก ” ก็ดังขึ้น ร่างของเขาล้มลงไปกับพื้น ท่าทางเหมือนกับคนที่เป็นลมชัก เริ่มพ่นฟองน้ำลายสีขาวออกมาและชักอย่างต่อเนื่อง

 

หยางเฉ่วหันมามองอย่างอัตโนมัติ อดไม่ได้ที่จะตกใจ “ เฟิงเฉ่วหานเป็นอะไรไป ”

ผมทั้งท่าต้านทานการจู่โจมของยัยผี และหายใจอย่างหอบเหนื่อย จึงไม่สามารถอธิบายให้เธอฟังได้

เพียงได้แต่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ ไม่เป็นไร เขาแค่เรียกคนมาช่วย ! ”

หยางเฉ่วทำหน้ามึนงง พูดในใจว่าพ่นน้ำลายขนาดนี้ ยังบอกว่า “ เรียกคนมาช่วยอีกเหรอ ”

ผลลัพธ์คือเธอหันไปมองเฟิงเฉ่วหานแวบหนึ่ง ตามสัญชาตญาณ อย่างไม่ได้ตั้งใจ

แต่แล้ว ภายใต้สถานการณ์การต่อสู้ที่ดุเดือด เพียงแค่การป้องกันอ่อนลง ก็สามารถทำให้อีกฝ่ายลอบโจมตีได้แล้ว

ดังนั้น วินาทีที่หยางเฉ่วกำลังสนใจอย่างอื่นอยู่

 

ยัยผีนั้นก็ตื่นเต้นกับช่องว่างที่เกิดขึ้น เธอรีบคว้าโอกาส พุ่งกรงเล็บออกไป

กรงเล็บนั้นตรงเข้าหาหน้าอกของหยางเฉ่ว เป็นการโจมตีที่ฉลาดมาก และใช้แรงที่เยอะมาก

กรงเล็บนั้นเหมือนกับดาบคมๆ ถ้าโดนมันเข้าไป หยางเฉ่วจะต้องจบเห่แน่

เมื่อเห็นสิ่งนี้ สีหน้าของผมก็เปลี่ยนไปทันที รีบตะโกนว่า “ อันตราย ”

ตอนนั้นไม่รู้ตัวเองคิดอะไรอยู่ ผมไม่ลังเลเลยสักนิด ทำตามสิ่งที่จิตใต้สำนึกบอก

ดึงหยางเฉ่วเข้ามาข้างตัว จากนั้นก็จับตัวเธอหมุนและล้มลงไปกับพื้นทันที

แต่ผีผู้หญิงลงมือเร็วมาก กรงเล็บที่คมกลิบนั้นได้เข้ามาถึงแล้ว

 

“ แควก ” ทันใดนั้นเสื้อก็ขาดออก ผมรู้สึกถึงความเจ็บแล่นแป๊ดขึ้นมาจากหลังทันที

ผมร้องออกมาตามสัญชาตญาณ “ โอ๊ย ” เลือดจำนวนมากไหลออกมา จากด้านหลัง จนอาบไปทั่วทั้งหลังของผม

ส่วนตัวผม ได้ปกป้องหยางเฉ่วไว้ที่พื้น กดร่างของเธอเอาไว้

แต่หยางเฉ่วในตอนนั้น กลับแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา ดูเหมือนไม่อยากจะเชื่อ ว่าผมจะใช้ร่างกายของตัวเองปกป้องเธอจากการโจมตี

เธอจึงใช้ดวงตาที่เหลือเชื่อนั้น จ้องมาที่ผม……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset