ศพ – ตอนที่ 99 ฟื้นคืนสติ

ตอนที่ 99 ฟื้นคืนสติ

หลังจากเสียงหยางเฉ่วดังขึ้น ดวงตาที่ปิดสนิทไม่ขยับของผีผู้หญิงที่ไม่ได้สลบอยู่นั้น ตอนนี้มันกลับเริ่มสั่นเล็กน้อย

จากนั้น ผีผู้หญิงก็เริ่มลืมตาขึ้นมาทีละนิด

เมื่อเห็นยัยผีได้สติ ผมก็อดไม่ได้ที่จะหวาดระแวง

ยังรู้สึกกลัวเธออยู่ จึงเตรียมตัวตั้งรับ เผื่อเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น

แต่ขณะที่มองตาของอีกฝ่าย ก็พบว่าตาที่เคยเหมือนปลาตาย ในตอนนี้กลับเผยให้เห็นนัยน์ตาสีดำ

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ใจที่ตื่นกลัวของผมก็ค่อยๆลดลง

 

นัยน์ตาสีขาวซีด ได้มีตาดำปรากฎขึ้น ลักษณ์แบบนี้หมายความว่าพลังชั่วร้ายได้หายไปหมดแล้ว ตอนนี้เธอได้สติกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์แล้ว

ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยืนมองยัยผีจากที่เดิมเท่านั้น

และหลังจากผีผู้หญิงลืมตาขึ้น ดูเหมือนเธอจะยังรู้สึกมึนๆอยู่

เธอดูหวาดระแวงเล็กน้อย รีบกวาดสายตามองรอบๆทันที

ขณะที่สายตาของเธอมาหยุดอยู่ที่พวกเราสามคน เธอกลับแสดงท่าทางตกใจ

เท้าทั้งสองข้างดันพื้นถีบตัวเองไปข้างหลังทันที ขณะเดียวกันก็พูดด้วยความหวาดกลัว “ พวก พวกคุณเป็นใคร อย่า อย่าเข้ามา อย่าเข้ามา…… ”

 

ขณะที่พูด ผีผู้หญิงก็ได้ถอยไปจนติดผนังแล้ว เธอนั่งขดตัว กอดขาทั้งสองข้างเอาไว้ ดูท่าทางหวาดกลัวมาก

แม้แต่ร่างกายก็ยังสั่นเทา เมื่อพวกผมสามคนเห็นท่าทางแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองหน้ากัน

แม้ว่าพลังชั่วร้ายของผีผู้หญิงจะจางหายไปแล้ว แต่ในใจก็ยังคงมีความหวาดกลัวเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่

ส่วนเรื่องความทรงจำหลังตายและกลายเป็นผีร้ายนั้น ก็อาจจะยังจำไม่ได้

ผมลดระดับเสียงลง จากนั้นก็พูดกับยัยผีว่า “ เธอไม่ต้องกลัวนะ พวกเราไม่ใช่คนเลว พวกเรามาเพื่อช่วยเธอ ! ”

เสียงของผมอ่อนโยนมาก หลังจากผีผู้หญิงได้ยิน ก็ไม่ได้ตอบกลับมาทันที

เธอเงียบไปพักหนึ่ง แล้วค่อยๆมองมาที่พวกเรา

 

จากนั้นก็ได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของเธอพูดว่า “ พวกคุณ พวกคุณเป็นตำรวจเหรอ ”

“ พวกเราไม่ใช่ตำรวจ แต่เป็นนักพรต พวกเรามาช่วยเธอ ! ” จู่ๆหยางเฉ่วก็พูดออกมา

แต่ผีผู้หญิงตนนั้นกลับงง “ นักพรต ”

มองจากท่าทาง และความคิดของอีกฝ่ายแล้ว เกรงว่าตอนนี้เธอยังไม่รู้ว่าตัวเองตายไปแล้ว

ทันใดนั้นหานเฉ่วเฟิงที่อยู่อีกด้านหนึ่งกลับเดินเข้ามา มองท่าทีของอีกฝ่าย และพูดออกมาทันที “ น้องสาว ดูเหมือนจะมีบางเรื่องที่เธอยังจำไม่ได้นะ ฉันจะทำให้เธอนึกออกเอง เธอตายไปแล้ว ตอนนี้ก็คิดให้ดีๆซะ ! ”

เมื่อผีผู้หญิงได้ยินคำพูดของหานเฉ่วเฟิง ทันใดนั้นร่างของเธอก็เริ่มสั่น ม่านตาขยายออก

บางทีวินาทีนั้น ความทรงจำก่อนตายของเธออาจผุดขึ้นมาในหัว

 

จากนั้น สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว หลังจากเสียง “ หือ ” ดังขึ้นเธอก็ร้องไห้ออกมาทันที

เสียงนั้นดังมาก เศร้ามาก และให้ความรู้สึกปวดใจมาก

เธอทั้งร้อง ทั้งพูดในเวลาเดียว “ ฉัน ฉันไม่อยากตาย ฉันไม่อยากตาย ย่า ปู่ขอ ขอโทษ ฮือฮือฮือ…… ”

“ ไม่ เหมือนฉันจะฆ่าคน ฆ่าไปเยอะมาก ไม่ ไม่ เขาโดนฉันผลักตกดาดฟ้า สมควร สมควร ฮ่าฮ่าฮ่า……. ”

ผีผู้หญิงเจ็บเจียนขาดใจ โศกเศร้าผิดปกติ บางครั้งก็ไม่พูดอะไรออกมา แต่หัวเราะเหมือนกับคนโง่อย่างต่อเนื่อง

เรื่องที่ทำไมผีผู้หญิงตนนี้ถึงเปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน พวกเราก็ไม่แปลกใจเลยสักนิด

 

เพราะหลังจากได้สติกลับคืนมา ความทรงจำตอนเป็นผีร้ายก็ย่อมผุดขึ้นมาอย่างกระทันหัน เมื่อความทรงจำที่แตกต่างกันระหว่างสองสิ่งมาปะทะกัน จึงทำให้เธอต้องใช้เวลายอมรับมันบ้าง

ตอนนี้ได้รับความเจ็บปวดและความทรงจำพวกนั้นกลับมาอีกครั้ง ทำให้เธอควบคุมตัวเองไม่ได้ และก็ไม่อาจหนีจากมันไปได้

ผมและเฟิงเฉ่วหานหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบคนละมวน และยืนพักผ่อนอยู่ข้างๆ

ส่วนหยางเฉ่วนั้นเข้ามาข้างตัวผีผู้หญิง เธอคุกเข่าลง ใช้มือสองข้างจับไปที่ไหล่ผีผู้หญิงเอาไว้ “ หยุดร้องได้แล้ว พวกเรามาที่นี่ ก็เพื่อช่วยเธอ ”

“ ไม่ ไม่เธอช่วยฉันไม่ได้ ฉันตายไปแล้ว ตายแล้ว……. ” ผีผู้หญิงตนนั้นยังร้องไห้ต่อ

 

แต่หยางเฉ่วมุ่งมั่นมาก “ การตายเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น เธอยังไปเกิดใหม่ได้ ยังเป็นคนได้อีกครั้ง ถ้าเธอมีเรื่องที่ยังอยากทำอยู่ พวกเราจะเป็นคนทำมันแทนเธอให้สำเร็จเอง ! ”

ผีผู้หญิงที่เคยร้องไห้และหัวเราะในเวลาเดียวกัน ราวกับคนบ้านั้น

วินาทีที่เธอได้ยินสิ่งที่หยางเฉ่วพูด จู่ๆเธอก็หยุดทันที

จากนั้นก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้น ดวงตาสองข้างเต็มไปด้วยความคาดหวังและความปรารถนา

เธอมองตาของหยางเฉ่ว หลังจากนั้นประมาณ 2 วินาที ก็พูดด้วยความคาดหวัง “ จริงเหรอ ”

หยางเฉ่วพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ จริงสิ ! ถ้าเป็นเรื่องที่พวกเราช่วยได้ พวกเราก็จะช่วยเธอให้สุดความสามารถ ! ”

 

เมื่อผีผู้หญิงได้ยินคำพูดนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะ ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

เธอพูดด้วยความท้อแท้ “ ฉัน ฉันอยากเจอคุณปู่ คุณย่า ฉันอยากจะขอโทษพวกเขา…… ”

“ เรื่องนี้ทำได้ พวกเราจะเป็นคนไปเจอแทนเธอเอง ! ” ผมยืนอยู่ข้างๆ ตอบกลับไปตรงๆ

ทันใดนั้นผีผู้หญิงก็ทำหน้าดีใจ “ จริงเหรอ ดีจังเลย ”

แต่เสียงพึ่งจางหาย เธอก็เผยสีหน้าสิ้นหวังอีกครั้ง “ แต่ แต่ดูเหมือนฉันจะออกจากที่นี่ไม่ได้ ! ทุกครั้งที่เดินออกจากตึกนี้ ก็จะถูกพลังบางอย่างดึงกลับมา ”

“ น้องสาว เธอลืมไปแล้วรึเปล่า ว่าพวกเราเป็นนักพรต ใช้ชีวิตอยู่กับเรื่องพวกนี้ ปัญหาที่เธอพูดมันไม่ได้เป็นปัญหาเลยสักนิด ! เธอเพียงแค่ตอบคำถามพวกเรานิดหน่อยเท่านั้น แล้วพวกเราจะรีบพาเธอไปเจอปู่กับย่าของเธอทันที ! ” หานเฉ่วเฟิงพูดได้อวดดีมาก ทำหน้าไม่แยแสเรื่องนั้นเลยสักนิด

 

แต่หลังจากผีผู้หญิงได้ยิน มันกลับได้ผล เธอกลับมามีความหวังอีกครั้ง

“ มีเรื่องอะไร พวกคุณถามมาได้เลย! ถ้าฉันรู้ ฉันจะบอกพวกคุณทุกอย่าง ! ” ผีผู้หญิงรีบพูด

เมื่อเห็นผีผู้หญิงมั่นใจ และเริ่มให้ความร่วมมือ

ผมก็ดับบุหรี่ทันที จากนั้นก็พูดกับยัยผีตรงๆ “ งั้นเธอชื่ออะไร เริ่มพูดเรื่องของตัวเองก่อน ! ทำไมถึงถูกขังในตึกนี้ และทำไมต้องฆ่าคนไปมากขนาดนั้น ”

เมื่อผีผู้หญิงได้ยินผมถามว่าทำไมต้องฆ่าคนเยอะขนาดนั้น เธอก็เงียบไปพักหนึ่ง แล้วเผยสีหน้าเสียใจและรู้สึกผิดออกมาทันที

ผ่านไป 3 วินาที เธอก็เริ่มพูดว่า “ ฉันชื่อเจ้าเชี่ยนเชี่ยน เป็นนักศึกษาในมหาลัยแห่งนี้ ส่วนเรื่องที่ทำไมฉันถึงฆ่าเพื่อนร่วมมหาลัยที่บริสุทธิ์เยอะขนาดนั้น ฉันจะเริ่มเล่าจากเรื่องอาจารย์ที่ปรึกษาโกวเจี่ยนของฉัน…… ”

 

จากนั้น ยัยผีเจ้าก็เริ่มเล่าเรื่องทั้งหมด

ภายในนี้ยังรวมถึง เรื่องที่ทำไมเธอถึงถูกผนึกวิญญาณเอาไว้ในตุ๊กตา

และเรื่องบริเวณลำคอ ทำไมถึงมีสัญลักษณ์ผีสามตาอยู่บนนั้นได้

เรื่องพวกนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 5 ปีก่อน

ตอนเจ้าเชี่ยนเชี่ยนยังเล็กแม่ของเธอเสียชีวิตเพราะรถคว่ำ เธอจึงมีปู่และย่าเลี้ยงเธอมาจนโต

เพราะตอนเรียนหนังสือเธอไม่มีใครช่วยสอนช่วยทบทวนบทเรียน  ตอนมัธยมปลายผลการเรียนของเธอจึงออกมาไม่ดี ดังนั้นเมื่อ 5 ปีก่อนเธอจึงเข้ามาเรียนที่มหาลัยศิลปะระดับกลางแห่งนี้ โดยวิชาที่เลือกเรียนเป็นวิชาเอกก็คือการเต้น

 

แม้ว่าคะแนนวิชาทั่วๆไปของเธอจะแย่ แต่เธอกลับหลงไหลการเต้น เมื่อมาเรียนที่นี่เธอก็ขยันมาก

ไม่เหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ที่ทุกๆวันเอาแต่เข้าผับเล่นเน็ตนัดเจอกัน แต่เธอกลับฝึกฝนอยู่ทุกๆวัน

ความฝันของเธอคือเป็นครูสอนเต้นที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง หลังจากเรียนจบก็จะเปิดคลาสสอนเต้น หลังเลิกงานก็จะกลับไปดูแลคุณปู่คุณย่า

แต่ใครจะไปคิด สถานที่ที่เริ่มความฝันของเธอ กลับเป็นสถานที่ที่เกิดฝันร้ายขึ้น

ตอนนั้นเธอมีครูที่ปรึกษาวัยกลางคนชื่อโจวเจี่ยนอายุประมาณ 40 กว่าๆคนหนึ่ง ดูท่าทางเป็นคนใจดี แต่ที่จริงเขามันเป็นคนหน้าเนื้อใจเสือ

 

เขาเห็นเจ้าเชี่ยนเชี่ยนรูปร่างหน้าตาดี ตรงสเปคของเขา ดังนั้นทุกครั้งที่มองเจ้าเชี่ยนเชี่ยนแววตาของเขาจะเปลี่ยนไป

แต่เจ้าเชี่ยนเชี่ยนสนใจแต่การเรียนเต้น เธอจึงไม่ได้ใส่ใจเขา

ผลลัพธ์ก็ดีเหลือเกิน เจ้านี้ยิ่งทะลึ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

ทุกครั้งที่ใช้ข้ออ้างช่วยเจ้าเชี่ยนเชี่ยนซ้อมเต้น เขาก็ถือโอกาสแตะเนื้อต้องตัวเจ้าเชี่ยนเชี่ยน จับตรงโน้นจับตรงนี้ หรือแม้แต่ทำเรื่องที่ลามกกับเธอ…….

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset