“พวกเจ้าที่อยู่โลกด้านบนจะวางแผนอะไรกันข้าไม่สน” เยี่ยยวนหรี่ตาลงมองคนบนพื้น “แต่ถ้าพวกเจ้าบังอาจชนเข้ามาตรงหน้าข้า ข้าจะไม่มืออ่อนเด็ดขาด”
“อาจารย์!” สีหน้าของเหวินชิงเปลี่ยนไป ก่อนจะพูดแก้ตัวขึ้น “แต่ว่าท่านมหาเทพ…”
“ข้าไม่อยากรู้!” เยี่ยยวนพูดขัดอีกฝ่ายด้วยเสียงต่ำ ก่อนจะเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว “เหวินชิง เจ้าจำตอนที่เจ้าขอเข้าเป็นศิษย์ภายใต้ข้าได้หรือไม่ ตอนนั้นเจ้าบอกว่าอย่างไร”
เหวินชิงผงะ ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ สีหนัายิ่งซีดขึ้นไปอีก ทันใดนั้นความรู้สึกผิดก็ผุดขึ้นมาในใจ “ข้า…ข้าบอกว่าจะประคองความยุติธรรมในโลก คุ้มครองให้โลกมนุษย์มีแต่ความสงบสุข” เขายิ่งพูดยิ่งเสียงเบา ร่างกายก็ก้มต่ำลงไปอีกเล็กราวกับต้องการมุดเข้าแผ่นดิน
เยี่ยยวนมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะพูดขึ้นทีละคำ “ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ในวันนั้น ข้ายังจำได้ แต่เจ้ากลับลืมเองเสียได้”
“อา…อาจารย์ปู่ให้อภัยข้าด้วย!” เขาก้มกราบลงอีกครั้งด้วยสีหน้าละอายใจ “ศิษย์ผิดต่อคำสั่งสอนของอาจารย์”
“เจ้าไม่ได้ทำผิดต่อข้า” เยี่ยยวนกลับเอี้ยวตัวหลบการกราบของอีกฝ่าย คำพูดที่ออกมานั้นทำลายจิตใจเป็นอย่างมาก “คนที่เจ้าทำผิดด้วยมีเพียงคนเดียวคือตัวเจ้าเอง”
“…” ร่างกายของเหวินชิงสั่นสะท้านขึ้นมา ภายในใจเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน เวลานี้เขารู้สึกรังเกียจตัวเองขึ้นมาอย่างมาก หลายปีมานี้ เขาคิดว่าตนเองคำนึงรอบคอบ และเดาได้ว่ามูลค่าที่ต้องจ่ายออกไป แต่กลับไม่คิดว่าเขาได้สูญเสียสิ่งล้ำค่าที่สุดไปตั้งแต่แรกแล้ว จิตใจมุ่งมั่นในตอนต้นของตนเองนั้น หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
เยี่ยยวนไม่สนใจจิตใจที่ซับซ้อนของอีกฝ่าย เขาพูดต่อว่า “เรื่องของโลกด้านบนข้ายุ่งไม่ได้ แต่หากพวกเจ้าคิดจะก่อความวุ่นวายในโลกมนุษย์…” เขาหรี่ตาลง รังสีเย็นยะเยือกรอบตัวรุนแรงมากขึ้น “ตอนนั้นข้าสามารถล้มคนหนึ่งได้ ตอนนี้ก็ล้มคนที่สองได้เช่นกัน!”
เหวินชิงรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว ก่อนจะตอบกลับด้วยความเกรงขาม “ศิษย์ทราบแล้ว!”
“เอาของพวกนี้กลับไป” เขาสะบัดเส้นชีพจรเสวียนกำหนึ่งออกมา “นำเอาคำพูดของข้าไปบอกพวกเขา ควรจะทำอย่างไร ให้พวกเขาคิดกันเอาเอง”
เหวินชิงผงะ ก่อนจะรีบรับเส้นชีพจรเสวียนไว้ จากนั้นเขาเงยหน้าขึ้นเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ “อาจารย์ไม่ตามข้าขึ้นไปด้านบนหรือ”
“สถานที่แห่งความเลวร้าย ข้าจะขึ้นไปทำไมกัน”
“…” เขารู้สึกเหมือนมีดปักลงบนอกในทันใด แต่ก็พูดโน้มน้าวอย่างไม่ถอดใจ “แต่ว่า หากท่านอยู่โลกด้านบน พวกเราก็ไม่ต้อง…พวกเราล้วนคิดถึงท่านเป็นอย่างมาก หลายปีมานี้ พวกเขาก็ตามหาท่านมาโดยตลอด เพียงแต่ไม่คิดว่าท่านจะอยู่ในโลกมนุษย์ หากว่า…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว” เยี่ยยวนพูดขัด “ข้าไม่สนใจเกมของพวกเจ้า!”
“…” ก…เกม?
“เรื่องที่ข้าอยู่ที่นี่ เจ้าไม่จำเป็นต้องบอกคนอื่น กลับไปเถอะ!”
“อาจารย์…”
เขายังอยากพูดอะไรบางอย่างต่อ แต่อีกฝ่ายกับหายตัวเข้าไปในป้ายบูชาแล้ว เหวินชิงทำได้เพียงถอนหายใจ ดูท่าทางอาจารย์ยังโกรธเคืองอยู่ แต่ว่าอย่างน้อยก็รู้แล้วว่าท่านอยู่ที่นี่ ตอนนี้จะรีบร้อนไม่ได้เด็ดขาด
เหวินชิงตั้งสติ กำเส้นชีพจรเสวียนหลากสีในมือแน่น จากนั้นมองโต๊ะบูชาที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง สักพักถึงได้กลายเป็นแสงสีขาวและลอยออกจากยอดเจดีย์
…
เทพเจ้าเหวินชิงลงมาโลกมนุษย์ครั้งนี้ ทำให้อารามที่ถูกผีร้ายทำลายไปกว่าครึ่งยิ่งทรุดโทรมลงไปอีก นอกจากเจดีย์สูงและห้องที่อวิ๋นเจี่ยวพักแล้ว อาคารอื่นล้วนกลายเป็นเศษซากปรักหักพัง
เมื่อวานทั้งสามคนทำงานกันทั้งวันก็ยังไม่สามารถเก็บกวาดห้องที่สามารถใช้ได้ออกมาสักห้องเดียว ทำให้ไป๋อวี้ได้แต่เพียงนอนอยู่มุมห้องที่พังถล่มลงมา ตอนนี้เป็นช่วงฤดูร้อนไม่ค่อยมีผลกระทบอะไรมาก แต่ก็เป็นเพียงตอนฟ้าโปร่ง หากเกิดฝนตกขึ้นมา พวกเขาแม้แต่ที่นอนก็คงไม่มี ส่งผลให้คอร์สเรียนพิเศษต้องหยุดลงเป็นการชั่วคราว
อวิ๋นเจี่ยวมองหน้าของตำราที่โผล่ออกมาจากกองหินทีละหน้าสองหน้านั้นก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ตำราพวกนั้นเป็นตำราสำหรับเรียน เดิมทีนางจะให้ไป๋อวี้ส่งต่อไปให้สำนักเทียนซือ แต่ตอนนี้กลับเสียหายไปทั้งหมด กระดาษก็ต้องเสียเงินซื้อนะ นางยังไม่ทันแม้แต่จะเก็บค่าใช้จ่ายอื่นๆ สำหรับการเล่าเรียนเลย!
“เป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ได้” นางนวดไปที่หว่างคิ้ว ข่มอารมณ์ขุ่นมัวของตนเองลง ก่อนจะมองไปยังไป๋อวี้ที่อยู่ด้านข้างแล้วพูดว่า “ชายแก่ หรือไม่ท่านเรียกคนมาช่วยหน่อยเถอะ ถามเจ้าสำนักสวีเลยก็ได้ พวกเขามีศิษย์จำนวนมาก อย่างน้อยเก็บกวาดห้องตำราออกมาก่อน” หยุดความเสียหายให้ทันเวลาคือเรื่องที่สำคัญที่สุด อย่างมากค่าเล่าเรียนรอบหน้าลดไปร้อยละสองให้พวกเขา
“ข้าก็คิด!” ไป๋อวี้เช็ดเหงื่อบนหน้าผากตนเอง “แต่ยันต์ส่งสารของข้าถูกทับอยู่ใต้ห้องตำรา ตอนนี้คิดจะติดต่อก็ติดต่อไม่ได้” นอกจากวาดใหม่อีกใบ แต่ว่ากระดาษและหมึกล้วนจมอยู่ภายใต้ซากอาคาร ถึงแม้จะขุดออกมาก็ใช่ว่าจะยังใช้ได้
อวิ๋นเจี่ยวสีหน้าดำทะมึน หันหน้าไปมองตัวต้นเหตุที่ยืนอยู่อีกฝั่ง ท่านเทพองค์นี้กระตือรือร้นอย่างมาก ไม่รู้ว่าเมื่อวานพักผ่อนที่ไหน วันนี้วิ่งมาช่วยตั้งแต่เช้า ท่าทางสำนึกผิดอย่างมาก ตอนนี้มีมากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นฝีมือของเขา
“คือ…ท่านเทพเหวินชิงใช่ไหม! ท่านใช้คาถาเสกให้ตำราในหอนี้ออกมาก่อนได้ไหม” อย่างอื่นค่อยเป็นค่อยไปได้ แต่ตำราไม่ได้ ทับนานมันจะพังเอานะ
“เอ่อ…” เหวินชิงผงะไป ภายในใจทั้งรู้สึกผิดทั้งลำบากใจ “ข้าก็อยากนะ แต่ว่าอาจารย์…” เขาเงยหน้ามองเจดีย์สูงอย่างหวั่นเกรง อาจารย์ปู่ไม่ให้เขาใช้คาถานะ
อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะโน้มน้าว “วางใจเถอะ ท่านใช้ได้เต็มที่ ไม่เป็นอะไรหรอก!”
“ไม่ได้จริงๆ !” เหวินชิงราวกับนึกอะไรขึ้นได้ ร่างกายของเขาสั่นเทา เขาไม่กล้าที่จะทำให้อาจารย์โกรธอีกแล้ว
“…” อาจารย์ปู่น่ากลัวขนาดนี้เชียวเหรอ
อวิ๋นเจี่ยวเห็นทีว่าโน้มน้าวไม่สำเร็จ นางจึงทำได้เพียงถอนหายใจแล้วพูดว่า “หากเป็นเช่นนี้ ก็ให้อาจารย์ปู่ลงมาช่วยเลยแล้วกัน” คงจะมานั่งขนกันแบบนี้ทุกวันไม่ได้ พวกเขาเป็นนักพรตฝึกฝนทางเต๋า ไม่ได้เป็นช่างก่อสร้าง
“อ้า! ฮะ?” เหวินชิงตะลึง ให้อาจารย์ลงมา เจ้ากำลังล้อเล่นอะไรกัน เมื่อคืนเขาคุกเข่าอยู่นอกเจดีย์กว่าสามชั่วยาม อีกทั้งคุกเข่าบนยอดเจดีย์อีกหนึ่งชั่วยาม อาจารย์ปู่ถึงยอมออกมาพบเขา เรื่องสร้างบ้านเล็กน้อยเช่นนี้ จะเชิญท่านลงมาได้อย่างไร
อวิ๋นเจี่ยวกลับหันไปหาไป๋อวี้แล้วพูดขึ้น “ชายแก่ ท่านไปเรียกอาจารย์ปู่ลงมา”
“ได้!” ไป๋อวี้พยักหน้าโดยไม่ต้องคิด
“พวกเจ้าทั้งสองอย่า…” เหวินชิงกำลังจะบอกให้พวกเขาล้มเลิกความคิดลมๆ แล้งๆ เพราะอาจารย์ปู่ไม่ปรากฏตัวอย่างแน่นอน
ไป๋อวี้กลับหันไปทางเจดีย์พร้อมกับตะโกนถามเสียงดังตามความเคยชิน “อาจารย์ปู่ เจ้าหนูถามว่าท่านจะกินอะไรในตอนเช้า”
ทันทีที่พูดจบ ร่างสีขาวก็ปรากฏต่อหน้าทันที ใบหน้ายังคงเย็นชา ดวงตาจ้องมองไปยังอวิ๋นเจี่ยวอย่างไม่ละสายตา ก่อนจะพูดขึ้นอย่างจริงจัง “ขนมกุยช่าย โจ๊กหมู ผัดหมี่…” เขาบอกชื่ออาหารมาห้าหกอย่าง อีกทั้งยังเสริมขึ้นอีกหนึ่งประโยคตอนท้าย “ชามใหญ่ เพิ่มเผ็ด”
เหวินชิง “…”
ไม่ นี่ไม่ใช่อาจารย์ของเขาแน่ๆ ทำไมท่านถึงปรากฏตัวง่ายเช่นนี้ อาจารย์ ท่านบอกข้ามา ท่านถูกเข้าสิงใช่หรือไม่ ถ้าใช่ท่านก็ลืมตาขึ้น!