ไป๋อวี้คิดไม่ผิดที่รับเจ้าหนูอวิ๋นเจี่ยวเข้ามาตั้งแต่แรกเจอ ขนาดท่านอาจารย์ปู่ยังมาปรากฎตัวให้พบเจอ นางกับเสวียนเหมินช่างมีวาสนาต่อกันเป็นอย่างมาก ต้องเป็นผู้ที่ถูกลิขิตมาให้ต้องฝึกฝนทางเต๋ามาตั้งแต่เกิด อาจารย์ปู่ยอมถ่ายทอดวิชาอันล้ำลึกอย่าง ‘คาถาเสวียนซิน’ ให้ แสดงว่าพรสวรรค์ของนางต้องหายากมากเป็นแน่ อาจจะใช้เวลาไม่กี่ปี นางก็สามารถที่จะฝึกฝนจนบรรลุทางเต๋าได้สำเร็จ
ไป๋อวี้รู้สึกภารกิจอันใหญ่หลวงตกอยู่ที่ตัวเองในทันใด ดังนั้นเขาจึงให้ความสำคัญกับเรื่องการฝึกฝนของอวิ๋นเจี่ยวมากกว่าตัวนางเองเสียอีก เขาเก็บกวาดห้องที่ดีที่สุดในอารามให้นางได้ใช้สำหรับศึกษาคาถา เปลี่ยนท่าทีจากหมอผีที่วันๆ ไม่ทำอะไรกลายเป็นคนที่แม้แต่เรื่องกระจุกกระจิกก็รับมาทำเอง ตั้งแต่ซักเสื้อผ้า ทำอาหาร ตากผ้า จนกระทั่งเก็บกวาดอาราม ไม่ให้นางลงมือทำเองแม้แต่น้อย
แม้แต่อาหารแสนอร่อยที่อวิ๋นเจี่ยวเคยทำในแต่ละวัน เขาก็กัดฟันยอมที่จะกินข้าวต้มเปล่าสามมื้อ ไม่ยอมให้นางต้องเสียสมาธิแม้แต่น้อย
ความอยากทางปากท้องมันจะมีอะไร เจ้าหนูเป็นผู้ที่ต้องฝึกฝนคาถาเสวียนซินเพื่อพัฒนาชิงหยาง จะมาเสียสมาธิกับเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ได้อย่างไร นอกจากนี้เพื่อให้นางซึมซับวิชาในตำราได้อย่างรวดเร็ว เขายังไปรื้อค้นคลังสมบัติอันน้อยนิดของตัวเอง นำยาวิเศษสำหรับรวมพลังลมปราณที่ตัวเองไม่เคยกล้านำออกมาใช้ให้นาง พร้อมพูดกำชับนางด้วยความจริงจัง
กิน! กินให้เต็มที่! ขอแค่เป็นประโยชน์ต่อการฝึกฝนของนางเป็นพอ ถ้าไม่พอกินเขาจะไปหาวิธีอื่น อย่างมากเขาแค่ขายหน้า ไปขอยืมมาจากเพื่อนเก่าเพื่อนแก่เพิ่มเท่านั้น
พูดจบก็ไม่รออวิ๋นเจี่ยวตอบ หันหลังกลับเข้าห้องของตนทันที เขาผสมหมึกแดงและเตรียมกระดาษเหลือง ตั้งหน้าตั้งตาวาดยันต์อย่างจริงจัง ดูท่าเขาต้องพยายามหลอก…เอ้ย ขายยันต์วิเศษเพิ่มขึ้น อย่างนี้ถึงจะซื้อยาได้อีกหลายขวดมากขึ้น
วิชาแห่งเต๋าไม่ได้ศึกษากันได้ง่ายๆ บางคนจนตายแล้วยังไม่สามารถเข้าใจได้ นอกจากนี้ยังต้องมีพรสวรรค์ อย่างตัวเขาเองศึกษามาครึ่งชีวิต ตอนนี้ก็ยังทำได้เพียงแค่วาดยันต์พื้นฐาน เปิดตาทิพย์ไม่ได้ด้วยซ้ำ วิชายิ่งล้ำลึกมากเท่าไหร่ยิ่งยากแก่การศึกษามากเท่านั้น แล้วนี่ยังเป็นคาถาเสวียนซิน ได้ข่าวว่าตอนที่ท่านอาจารย์แห่งตระกูลปี้ฝึกฝนวิชานี้ ใช้เวลานานนับสิบปีกว่าจะเข้าใจคาถานี้ได้อย่างถ่องแท้ จากนั้นใช้เวลาฝึกฝนอย่างตั้งใจอีกสิบกว่าปีถึงจะสำเร็จเซียนได้
ไป๋อวี้เตรียมพร้อมกับการฝึกฝนของอวิ๋นเจี่ยวอย่างยิ่ง สำนักชิงหยางหลายสิบรุ่นมานี้ กว่าจะมียอดอ่อนที่ดีเช่นนี้ไม่ง่าย เขาต้องเตรียมพร้อมล่วงหน้าเป็นธรรมดา ดีที่กว่าเจ้าหนูจะศึกษาจนเข้าใจ กระทั่งฝึกฝนยังเป็นเวลาอีกนาน ยังมีเวลาเหลือ
เขาราวกับเห็นภาพสำนักชิงหยางกลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งในหลายปีให้หลัง เขาไม่ละอายใจต่ออาจารย์และบรรพบุรุษที่ถ่ายทอดวิชาให้แล้ว สำนักชิงหยางมีผู้สืบทอดแล้ว
ไป๋อวี้มีความรู้สึกมากมายเกิดขึ้นในใจ ยันต์ที่วาดอยู่ยิ่งวาดอย่างขะมักเขม้น ขนาดวาดติดต่อกันมาสองวันยังไม่มีความเหน็ดเหนื่อย รู้สึกเพียงดอกไม้ในอารามส่งกลิ่นหอมขึ้น ก้อนเมฆขาวขึ้น ข้าวต้มเปล่าอร่อยมากขึ้น รอยร้าวบนผนังดูน่ารักขึ้นเป็นพิเศษ รวมไปถึงอวิ๋นเจี่ยวที่มือหนึ่งกำลังถือมีด มือหนึ่งกำลังเชือดไก่ด้วยสีหน้าเย็นชาก็ดูอ่อนโยนใจดีมากขึ้นอีกด้วย
เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน!
เจ้าหนู?
(⊙_⊙)
ไป๋อวี้วางพู่กันลง ก่อนจะขยี้ตาแรงๆ และมองออกไปอีกครั้ง เห็นอวิ๋นเจี่ยวกำลังยืนอยู่ที่สวนด้านหน้า ในมือหนึ่งกำลังถือไก่ป่าที่เลือดหยดย้อย ส่วนอีกมือกำลังถือมีดผ่าลงไปที่ท้องของไก่อย่างรวดเร็ว ถลกหนังเลาะกระดูก ท่าทางคุ้นชินราวกับเคยซ้อมทำมาหลายรอบ
เพียงชั่วครู่ ไก่ตัวนั้นก็กลายเป็นสามส่วน กระดูกส่วนกระดูก เนื้อส่วนเนื้อ หนังส่วนหนัง วางอย่างเป็นระเบียบอยู่บนแผ่นหินบนพื้น ต่อกันเป็นลักษณะไก่สามตัวด้วยลำดับที่ไม่เปลี่ยนแปลง
“เจ้าหนู!” ไป๋อวี้รีบจนไม่เดินอ้อมไปออกทางประตู เขาวางพู่กันลงและปีนออกมาจากทางหน้าต่าง สีหน้าตกตะลึงมองคนบางคนที่เดิมควรศึกษาวิชาอยู่ในห้อง ชี้นิ้วไปที่นางแล้วชี้ไปที่ไก่บนพื้น “เจ้า…เจ้ากำลังทำอะไร”
“เชือดไก่ไง!” นี่ยังไม่ชัดเจนเหรอ อวิ๋นเจี่ยวเช็คมีดไปมา ก่อนจะหันไปมองเขา “จริงสิ อยากกินแบบผัดหรือแบบต้ม”
“ก็ต้องผัดสิ…เอ้ย!” เขาตอบคำถามอย่างไม่ทันคิด สักพักถึงจะรู้ตัวพร้อมเอ่ยอย่างรีบๆ “เจ้า…เจ้าทำไมมาอยู่ตรงนี้ ไก่นี่มันอะไรกัน”
“เก็บมาจากหน้าประตูเมื่อกี้” อวิ๋นเจี่ยวชี้ไปทางประตูใหญ่ก่อนจะอธิบาย “เมื่อกี้ข้าออกไปตากผ้าห่มแล้วเห็นพอดี ดูจากแผลของไก่ตัวนี้น่าจะถูกสัตว์กินเนื้อบางชนิดกัดตาย เวลาที่ตายไม่เกินกว่าสองชั่วโมง ข้าเลยเก็บติดมือกลับมาด้วย กินข้าวต้มเปล่าไปห้าวัน ได้เวลาเปลี่ยนรสชาติแล้ว จะได้ไม่เสียดายของ”
“ที่แท้ก็เช่นนี้ งั้นก็ถือว่า…ไม่ใช่!” ชายแก่เกือบจะถูกพาหลงประเด็น “เจ้าไม่ใช่ว่าต้องศึกษาคาถาเสวียนซินอยู่ในห้องเหรอ ทำไมออกมาเร็วเช่นนี้”
“ท่านหมายถึงตำราสีฟ้า?”
“ใช่สิ!” ชายแก่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลใจพร้อมเอ่ย “นั่นเป็นวิชาอันล้ำลึกแห่งเสวียนเหมิน เจ้าต้องตั้งใจศึกษาเป็นอย่างมากถึงจะซึมซับคาถาได้ ไม่อาจจะท้อถอยกลางคัน ไม่งั้น…”
“อ่านจบแล้ว”
“ใช่ ต้องอ่านให้จบ…เจ้าพูดว่าอะไรนะ” ชายแก่ตกใจ นึกว่าตัวเองหูฝาด
อวิ๋นเจี่ยวล้างทำความสะอาดกระดูกไก่และเนื้อไก่อีกครั้ง แล้วโยนหนังไก่ที่ติดขนทิ้งไป ถึงจะพูดซ้ำอีกรอบ “ตำราเล่มนั้นข้าอ่านจบแล้ว”
“ทั้ง…ทั้งหมด?” ไป๋อวี้เบิกตากว้าง สีหน้าเหลือเชื่อ ง่ายขนาดนี้เหรอ
“อืม” พูดจบนางก็หยิบตำราเล่มนั้นออกมาจากกระเป๋าข้างลำตัว ยื่นออกไป
ไป๋อวี้ยื่นมืออกมารับ ก่อนจะเปิดไปหน้าแรก เพิ่งอ่านได้สองบรรทัดก็รู้สึกเกิดอาการเวียนหัวขึ้นมา ก่อนที่จะควบคุมสติไม่ได้ เขาก็รีบปิดตำราลง อาการเวียนหัวนั้นถึงจะหายไป
ตำรานี้ถ่ายทอดมาจากอาจารย์ปู่ไม่ผิด คาถาที่ลึกซึ้งมักจะซ่อนพลังที่ลึกล้ำอยู่ภายใน มีเพียงซึมซับเนื้อหาข้างหน้าให้ได้ ถึงจะอ่านต่อไปได้ มิเช่นนั้นจะทำให้เสียสติ และทำร้ายจิตเดิมของตนเอง
แต่เมื่อกี้เจ้าหนูพูดว่าอะไร นางอ่านจบแล้ว?
เจ้าหนูความจำดีเขาก็รู้อยู่ แต่นี่ไม่ใช่เป็นเพียงการท่องจำ นางต้องเข้าใจเนื้อหาอย่างถ่องแท้ อีกทั้งยังต้องซึมซับความลึกล้ำในนั้นถึงจะอดทนจนถึงสุดท้ายได้
นี่ใช้เวลาเท่าใด ห้าวัน?
นางก็อ่านจบแล้ว…ก็อ่านจบแล้ว…อ่านจบแล้ว…จบแล้ว…แล้ว!
Σ(°△°|||)︴
ชายแก่อึ้ง ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเป็นเวลานานก็ยังไม่มีการตอบสนอง อวิ๋นเจี่ยวที่อยู่ด้านข้างเชือดไก่เสร็จ หิ้วมีดพร้อมลุกขึ้น หันหลังเดินไปทางห้องครัว แต่หางตาเห็นถึงรอยร้าวที่มันจะกว้างเท่ากับอ่างล้างหน้าบนผนัง
“ผนังนี่เป็นอะไร” หลายวันก่อนยังไม่มีหนิ
ชายแก่ตอบออกไปอย่างไม่ตั้งใจ “ร้าวตั้งแต่เมื่อคืนก่อน!”
“ร้าวจากตรงกลาง?” อวิ๋นเจี่ยวมองเขาอย่างสงสัย
“เจ้ามองข้าทำไม” ชายแก่ถูกมองจนรู้สึกสั่น “ข้าไม่ได้ทำนะ!” เขาแก่ขนาดนี้แล้ว จะผลักยังผลักไม่ได้เลย
“ช่างเถอะ!” อวิ๋นเจี่ยวมองเขาด้วยสายตาแบบที่ ทำไมถึงทำให้ตนเหน็ดเหนื่อยแบบนี้ “กินเสร็จค่อยมาซ่อม!”
พูดจบก็หันหลังเข้าครัว ก่อไฟผัดไก่และต้มน้ำแกงกระดูกไก่อย่างชำนาญ
เพียงชั่วครู่ กลิ่นหอมของอาหารก็ลอยออกมา ชายแก่กลืนน้ำลายเบาๆ ก่อนจะมองไปยังคนในห้องครัว เดินเข้าไปใกล้ด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “เจ้าหนู…เจ้า…เจ้าอ่านตำราเล่มนี้จบแล้วจริงเหรอ”
“อืม” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า
“ทั้งเล่ม? ห้าวัน?”
อวิ๋นเจี่ยวชะงักท่าที่กำลังจะผัดไก่ ก่อนจะหันหลังไปมองชายแก่ด้วยสายตาฉงนแบบฉบับของคนเรียนเก่ง “ตำราหนึ่งเล่มอ่านห้าวัน ช้ามากเหรอ”
แต่พอนึกถึงตอนนั้นที่นางสอบข้ามชั้นเรียน สามวันอ่านจบตำราเรียนแพทย์ สี่วันอ่านจบการผ่าเฉพาะส่วน ตำราพวกนั้นหนากว่าตำราเล่มเล็กนี้เยอะเลย พอคิดได้เช่นนี้ ครั้งนี้ก็ช้ากว่าจริงๆ นางจึงได้อธิบายเพิ่มว่า “ข้าเรียนแพทย์มา นี่ไม่ตรงกับความถนัดของข้า เสียเวลาไปหอเก็บตำราหาข้อมูล จึงได้ช้าไปหน่อย”
“…”
ช้า…ช้าไป…หน่อย?!
ไป๋อวี้รู้สึกกำลังจะกระอักเลือดเล็กน้อย ความเร็วเช่นนี้ยังจะบอกว่าช้า! คิดไปถึงท่านที่ใช้เวลาหลายปีกว่าจะซึมซับคาถาเสวียนซินได้อย่างอาจารย์ตระกูลปี้ ถ้าเขารู้คงจะโกรธจนร่วงลงมาจากสวรรค์เป็นแน่