“เช่นนั้นก็ไม่ผิด!” อวิ๋นเจี่ยวพูดขึ้น “พลังชีวิตของคนเหล่านี้ไม่ใช่เรียกไม่กลับมา หากแต่ว่าถูกคนจงใจกักขังเอาไว้”
“กักขังพลังชีวิต!” คนที่เหลือต่างตกใจ “นี่…เป็นไปได้อย่างไร” พลังชีวิตเป็นชีวิตของคนหนึ่งคน นอกจากฝ่าฝืนเปลี่ยนโชคชะตา มิเช่นนั้นใครจะกักขังพลังชีวิตของคนได้ ถึงแม้จะมีคนทำเช่นนี้ แต่นี่ไม่ใช่แค่คนสองคน แต่เป็นคนทั้งเมืองทางตะวันตก ผีแม่ทัพไม่อาจกักขังพลังชีวิตมากมายขนาดนี้ได้เพียงครั้งเดียว
“หากข้าเดาไม่ผิด” อวิ๋นเจี่ยวพูดต่อ “สิ่งที่กักขังพลังชีวิตนี้ น่าจะอยู่ในเมืองทางตะวันตก!”
ดังนั้นเมื่อคนเหล่านี้มาถึงสำนักเทียนซือ เนื่องจากระยะห่างมากเกินไป เส้นด้ายที่เชื่อมนั้นก็ขาดไป
“ถึงแม้จะไม่เหมือนคำสาปสาวหวา แต่หากพวกเขายังอยู่ในเมืองทางตะวันตก พลังชีวิตบนตัวของพวกเขาก็จะถูกดูดออกไปอย่างช้าๆ” นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมตอนแรกมีเพียงสิบกว่าคนที่สลบ แต่ตอนนี้กลับเพิ่มมากขึ้นถึงสามสิบกว่าคน
“มิน่า…” ลูกศิษย์ตระกูลอวี๋เหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ ก่อนจะพูดอย่างตกตะลึงว่า “มิน่าตอนแรกที่พวกข้าไปรับคนที่สลบเหล่านั้นมาสำนักเทียนซือ ล้วนเป็นคนที่อาศัยอยู่ในเมือง”
เนื่องจากเหตุการณ์ในครั้งก่อน เมืองทางตะวันตกที่เดิมก็มีคนน้อยลงจำนวนมาก บางคนเกรงกลัวไม่กล้าที่จะอยู่ต่อ ดังนั้นมีคนมากกว่าครึ่งที่ย้ายหนีไป เหลือเพียงแต่ตระกูลใหญ่ที่ไม่สะดวกในการย้ายออก หลงเหลือไว้เฝ้าเมือง ดังนั้นคนที่สลบล้วนเป็นคนในเมืองทั้งสิ้น
เจ้าสำนักสวีขมวดคิ้วมุ่น ไม่คิดว่าชือเซียวนั้นตายไปแล้วยังเหลือวิธีการนี้อีก ดังนั้นจึงหันไปพูดกับอวิ๋นเจี่ยว “สหายอวิ๋น ท่านช่วยข้าหาตำแหน่งของพลังชีวิตที่ถูกกักขังได้หรือไม่” เส้นด้ายที่เชื่อมต่อนั้นมีเพียงสหายอวิ๋นที่มองเห็น หากนางยอมไปเมืองทางตะวันตก คนเหล่านี้อาจยังมีหวัง
ทันทีที่เขาพูดจบ เหล่าลูกศิษย์ของตระกูลอวี๋ก็เข้าใจในทันที สายตาลุกวาวขึ้น ก่อนจะจ้องมองมายังนาง อวิ๋นเจี่ยวถูกมองจนผงะ ทำได้เพียงพยักหน้า…เฮ้อ…ในเมื่อรับรักษาแล้วถือว่าเป็นคนไข้ของตนเอง อย่างไรก็ตามต้องรักษาให้ถึงที่สุด ดังนั้นนางจึงไม่ได้ปฏิเสธ “ได้”
นางรู้สึกได้ว่าการที่ตนเองสามารถมองเห็นเส้นด้ายพวกนั้น สาเหตุมาจากเส้นชีพจรเสวียน เหมือนกับว่าพอติดเส้นชีพจรเสวียนของอาจารย์ปู่แล้ว ทำให้ตาทิพย์ของนางอัพเกรดขึ้นด้วย
ทุกคนต่างดีใจ รีบเตรียมตัวเดินทาง เจ้าสำนักสวีเองก็รีบเรียกท่านอาวุโสมาสี่ห้าท่านให้เตรียมตัวไปพร้อมกัน ถึงแม้ชือเซียวจะตายแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าเขาได้วางกับดักอะไรไว้ในสถานที่กักขังหรือไม่ ดังนั้นเรียกคนไปมากก็ทำให้สบายใจขึ้นเล็กน้อย
——————
เพื่อสะดวกต่อการขนย้ายผู้บาดเจ็บ ระหว่างสำนักเทียนซือและเมืองทางตะวันตกมีการวางข่ายพลังขนส่งตั้งแต่ต้น คราวนี้พวกอวิ๋นเจี่ยวไปถึงอย่างรวดเร็ว เวลาเพียงพริบตาเดียว ทุกคนก็มาถึงจวนตระกูลอวี๋ในเมืองทางตะวันตกแล้ว
“เป็นอย่างไรบ้างสหายอวิ๋น” เจ้าสำนักสวีถามอย่างร้อนรน “หาสิ่งที่เชื่อมโยงนั้นได้หรือไม่”
อวิ๋นเจี่ยวเงยหน้าขึ้น มองไปยังด้ายเงินเต็มท้องฟ้า อาจเป็นเพราะมีคนจำนวนมาก ทำให้บนท้องฟ้าของเมืองทางตะวันตกราวกับมีฝนตกเป็นเส้นด้าย บนฟ้าเต็มไปด้วยด้ายเงินที่ขวักไขว่กันไปมา
“…ได้”
ทุกคนดีใจ ทุกคนล้วนมองนางอย่างมีหวัง
“เฮ้อ…ตามข้ามา ข้าจะพยายามหาต้นทาง” อวิ๋นเจี่ยวถอนหายใจ จากนั้นเดินนำพวกเขาออกจากจวนตระกูลอวี๋ นางเดินตามทิศทางของเส้นด้าย พวกเขามีกันทั้งหมดเจ็ดคน นอกจากลูกศิษย์ตระกูลอวี๋หนึ่งคนที่ชำนาญเส้นทางแล้ว นอกจากนั้นห้าคนล้วนเป็นท่านอาวุโสที่เจ้าสำนักสวีพามาจากสำนักเทียนซือ
เมื่ออวิ๋นเจี่ยวเดินออกมาจากจวนตระกูลอวี๋ เส้นด้ายนั้นก็ยิ่งชัดเจน แผ่นหลังของทุกคนภายในเมืองล้วนเชื่อมด้วยเส้นด้าย ดูแล้วหมือนกับเชือกที่ผูกไว้บนตัวของตุ๊กตา เมื่อนางมองอย่างละเอียด พบว่าเส้นด้ายเหล่านั้นล้วนมุ่งไปยังทิศทางเดียวกัน
ดังนั้นนางจึงเดินตามทิศทางของเส้นด้ายไปทางตะวันตก เมื่อยิ่งเข้าใกล้เส้นด้ายก็ยิ่งมีมากขึ้น เพียงแต่บริเวณโดยรอบนั้นกลับยิ่งเปลี่ยวร้าง จนกระทั่งเส้นด้ายทุกเส้นรวมกันเป็นเส้นเดียวนางถึงหยุดเดิน ก่อนจะชี้ไปข้างหน้า “น่าจะอยู่ตรงนั้น”
ลูกศิษย์ตระกูลอวี๋คนเดียวที่มาตกใจ มองไปยังข้างหน้าก่อนจะพูดขึ้น “ข้างหน้านั้นเป็นเขตเมืองเก่า”
“ทำไม…ที่นั่นมีอะไรหรือ” เจ้าสำนักสวีถามขึ้น
“ก็…ไม่เชิง” ลูกศิษย์ตระกูลอวี๋ขมวดคิ้ว ก่อนจะอธิบาย “เพียงแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อนเขตเมืองเก่าเกิดดินถล่ม ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ค่อยมีคนมาทางนี้แล้ว”
“ดินถล่ม?” เจ้าสำนักสวีผงะ รู้สึกมีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็คิดไม่ออกจึงทำได้เพียงพูดเตือน
“เข้าไปก่อน ทุกคนระวังตัว”
เหล่าท่านอาวุโสพยักหน้า ก่อนที่จะเดินเข้าไปทางนั้น ไม่ถึงชั่วครู่ก็พบซากปรักหักพังเป็นแถบ ราวกับถูกทิ้งร้างไว้เป็นเวลานาน ระหว่างกำแพงที่พังทลายนั้นมีวัชพืชเติบโตขึ้น พวกเขาเดินต่อเพียงไม่กี่ก้าว ก็พบว่าบนพื้นมีหลุมใหญ่และมีความกว้างราวสิบกว่าเมตร หลุมนั้นลึกมาก สามารถมองเห็นกำแพงที่พังถล่มอยู่ในนั้นได้รางๆ
“สถานที่ที่กักขังพลังชีวิตน่าจะอยู่ด้านล่าง” อวิ๋นเจี่ยวก้มมอง เห็นเพียงแต่ด้ายขาวนั้นมุ่งลงไปยังด้านล่างของหลุม
“ภายในหลุมนี้ค่อนข้างมืด ทุกคนใช้ยันต์ตัวเบาลงไป ระวังกับดัก!” เจ้าสำนักสวีพูดเตือน ก่อนจะหันไปหาลูกศิษย์ตระกูลอวี๋คนนั้น “เจ้าอยู่ด้านบน”
ลูกศิษย์คนนั้นพยักหน้า ทุกคนต่างหยิบยันต์ตัวเบาออกมา แต่อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้พกของแบบนี้มา กำลังคิดจะขอใบหนึ่งจากเจ้าสำนักสวี แต่คนด้านข้างกลับยื่นมาให้ก่อน “ให้…สหายอวิ๋น!”
อวิ๋นเจี่ยวผงะไปเล็กน้อย หันหน้าไปพบเจียวเหิงอีที่ยิ้มอย่างใจดี “ขอบใจ!” นางรับมาโดยอัตโนมัติ
“ไม่ต้องเกรงใจ!” ท่านอาวุโสเจียวยิ้มอย่างมีเมตตามากขึ้น ถูมือไปมาอย่างเก้อเขินก่อนจะพูดขึ้น
“จริงสิ…สหายอวิ๋น ข่ายพลังที่ท่านพูดครั้งที่แล้วข่ายพลังปราบมารอันสุดท้ายนั้น ข้ายังไม่เข้าใจข่ายพลังเพิ่มเติมท่านว่าคือ…”
“ยังไม่เป็นหรือ” เขายังพูดไม่ทันจบ อวิ๋นเจี่ยวก็พูดแทรกขึ้นมา
“อืมๆ” เจียวเหิงอีพยักหน้ารัวๆ
“ไม่เป็นไร” อวิ๋นเจี่ยวแปะยันต์ตัวเบาไว้บนตัว ก่อนจะพูดขึ้น “ทำแบบทดสอบอีกหลายชุดเดี๋ยวก็เป็นเองหรือไม่ข้ากลับไปออกข้อสอบให้ท่านอีกสักสองสามชุด”
“…” เอ๊ะ?
“ตกลงตามนี้! อย่าลืมจ่ายค่าเรียนเสริม!”
“…”
ไม่…ข้าไม่ได้หมายถึงอย่างนี้!
w(゚Д゚)w
หัวใจของเขาเย็นวาบ ก่อนจะส่งสายตาขอความช่วยเหลือให้คนด้านข้าง แต่กลับพบว่าพวกเขาล้วนกระโดดลงไปในหลุมแล้ว
ไปเร็ว! ไปเร็ว! ไปให้ไว! ตัวใครตัวมัน!
พวกเขาไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น!
****
พวกเขาใช้ยันต์ตัวเบา กระโดดลงมาใช้เวลากว่าห้านาทีถึงจะถึงก้นหลุม แม้ว่าจะเป็นเวลากลางวัน แต่ภายในหลุมกลับมืดสนิท อวิ๋นเจี่ยวกำลังจะมองหาร่องรอยของเส้นด้ายเหล่านั้น กลับได้ยินเสียงของท่านอาวุโสท่านหนึ่งพูดขึ้น “เอ๊ะ! นั่นคืออะไร”
คนที่เหลือหันไปมอง พบว่าบนผนังหินบริเวณไม่ไกลกำลังส่องประกายแสงสีแดงแปลกประหลาด แสงนั้นแม้จะติดๆ ดับๆ ดูเหมือนไม่มีระเบียบ แต่ก็ราวกับมีกฎเกณฑ์อะไรบางอย่าง
“อยู่ตรงนั้น!” อวิ๋นเจี่ยวชี้ไปยังผนังหิน
“นั่นคือที่กักขัง!”
ในสายตาของอวิ๋นเจี่ยว เส้นด้ายจำนวนมากมายกำลังรวมตัวเข้าไปในผนังหินนั้น