ในฐานะที่เป็นศิษย์ซื่อบื้อคนเดียวในสำนักชิงหยาง เป็นครั้งแรกที่ไป๋อวี้รู้สึกถูกอัจฉริยะทำร้าย นิ่งอึ้งไปสักพัก จนกระทั่งถูกอวิ๋นเจี่ยวลากมายังที่โต๊ะกินข้าว เขาก็ยังคงไม่ได้สติ
ถึงแม้ชิงหยางของพวกเขามีอัจฉริยะเป็นเรื่องที่ดี แต่…นี่มันทำร้ายกันเกินไปแล้ว!
ห้าวัน…แค่ห้าวัน! ไม่ใช่ห้าเดือน ไม่ใช่ห้าปี ยิ่งไม่ใช่สิบปี นางใช้เวลาแค่ห้าวันก็สามารถซึมซับคาถาเสวียนซินได้ทั้งเล่ม นี่นางไม่ใช่แค่อัจฉริยะเท่านั้น แต่เป็นลูกสาวของธรรมแห่งสวรรค์แล้ว!
ไม่รู้ว่าตอนที่นางเริ่มฝึกฝนอย่างจริงจังจะรวดเร็วขนาดไหน ไป๋อวี้มองไปยังอวิ๋นเจี่ยวด้วยสายตาอิจฉา อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “เจ้าจะเริ่มฝึกฝนเมื่อไร”
อวิ๋นเจี่ยวตะลึง ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ วางถ้วยในมือลง “ข้ายังมีคำถามสำคัญอีกหนึ่งคำถามที่ยังไม่เข้าใจเท่าใด อยากจะถามท่านว่ารู้หรือไม่”
“อะไร? อะไร?” ไป๋อวี้อึ้ง ก่อนที่จะถามอย่างตื่นเต้น นางยังมีคำถามที่ยังไม่เข้าใจ ความมั่นใจของเขากลับขึ้นมาเล็กน้อย “คำถามอะไร? ถามมาๆ ข้าจะตอบอย่างไม่กั๊ก ฮ่าๆๆ!”
“ข้าศึกษาวิชาพื้นฐานในหอเก็บตำรามาบางส่วน ตำราพวกนี้ถึงแม้จะแตกต่างกัน แต่โดยรวมแล้วพูดถึงการฝึกฝนด้วยพลังลมปราณ ไม่ว่าจะเป็นการวาดยันต์ ทำยา ปราบมารล้วนเป็นเช่นนี้ สิ่งสำคัญที่ต้องใช้คือพลังลมปราณ”
“อืม! ถูกต้อง” ชายแก่พยักหน้า “การฝึกฝนพลังลมปราณทำให้คนหลุดจากกายเนื้อ หลุดพ้นทางโลก มันเป็นพื้นฐานของการฝึกวิชาแห่งเสวียนเหมิน”
“นั่นก็หมายความว่า การฝึกฝนวิชาที่พวกท่านว่า ต้องใช้การควบคุม วิธีการใช้พลังลมปราณอย่างสมเหตุสมผลด้วยหลายวิธี หรือเรียกว่า การเกิดการตอบสนองที่ผิดปกติภายใต้เงื่อนไขต่างๆ จากการควบคุมพลังลมปราณ?”
“เอ่อ ใช่…มั้ง?” ถึงแม้จะฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่รู้สึกเหมือนที่พูดก็ไม่ผิด
“งั้นข้ามีคำถาม!” อวิ๋นเจี่ยวนั่งตัวตรง ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “พลังลมปราณที่ว่าเป็นพลังงานอะไร วิธีการแสดงออกเป็นแบบไหน สภาพแวดล้อมและหลักการในการเกิดคืออะไร”
“ฮะ?”
“ดูจากคำอธิบายจากตำราแล้ว ในเมื่อมันสามารถเปลี่ยนโครงสร้างของร่างกายคน งั้นก็แสดงว่าพลังงานพวกนี้มีรูปแบบที่หลากหลาย และมีความไม่แน่นอนอย่างมาก อีกทั้งยังเปลี่ยนแปลงได้ง่าย งั้นทำไมเมื่อเอามันเข้าสู่ร่างกาย ก็สามารถทำให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาตอบสนองอย่างดีทำให้ร่างกายแข็งแรงได้ พอแยกออกมากลับเกิดปฏิกิริยาแบบร้ายกลายเป็นการโจมตีได้ นี่มันเกี่ยวข้องกับโครงสร้างของคนหรือไม่”
“…” เจ้าพูดอะไรอยู่
“จากตำราพวกนั้นล้วนบอกว่า ขั้นแรกของการฝึกฝนคือการซึมซับพลังลมปราณจากฟ้าดิน แต่ไม่ได้บอกอย่างชัดเจนว่าซึมซับที่ไหน วัตถุนั้นมีอยู่โดยทั่วไปเหมือนกับอากาศหรือไม่”
“…”
“ถ้ามันมีอยู่ทั่วไปเหมือนกับอากาศ งั้นมันถือเป็นไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน…หรือว่าสารอื่นๆ?”
“…”
“ตามที่ข้าเข้าใจ มันถือเป็นสารอีกประเภทหนึ่งที่แตกต่างจากสารพวกนี้ แต่ปัญหาคือ ถ้าเกิดว่ามันมีอยู่ทุกที่ ทำไมถึงต้องใช้วิชาเฉพาะถึงจะซึมซับสารเหล่านี้ได้ แต่อากาศคนกลับหายใจเข้าได้ทุกเวลา การมีชีวิตของคนต้องอาศัยออกซิเจนเป็นหลัก แต่สารอื่นๆ ก็ยังคงเข้าสู่ร่างกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วพลังพวกนี้หลบหลีกการหายใจเข้าของคนได้ยังไงกัน”
“…”
“หรือว่าร่างกายคน มีการทำงานที่ต่อต้านสารพวกนี้อัตโนมัติ? แล้วเรื่องการฝึกฝนวิชา ก็เพื่อปิดการทำงานนี้?”
“…”
“สำหรับจุดนี้ข้าก็ยังไม่เข้าใจสักที ท่านอธิบายให้ข้าฟังได้ไหม”
ไป๋อวี้ “…” ในหัวเต็มไปด้วยคำถามมากมาย เขาคือใคร เขาอยู่ที่ไหน เมื่อกี้เขาได้ยินอะไร
Σ(°△°|||)︴
อวิ๋นเจี่ยวรออย่างเงียบๆ เป็นเวลาห้านาที แต่กลับเห็นอีกฝ่ายอ้าปากกว้างนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ เมื่อไม่ได้คำตอบจากเขาสักที สายตาฉายแววผิดหวัง ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ช่างเถอะ!” เงยหน้ามองไปยังเจดีย์สูงที่อยู่ไม่ไกลนัก “ข้าไปถามอาจารย์ปู่ดีกว่า!” เขาน่าจะรู้
พูดจบก็ลุกขึ้นยืน อีกทั้งยังเดินไปที่ตู้ด้านข้างหยิบตำราหนามาหนึ่งปึก คิดไปคิดมาหยิบถ้วยน้ำแกงไก่ที่ยังไม่ได้กิน แล้วหันหลังเดินออกจากประตูไป จะไปมือเปล่าคงไม่ดี
ตาชายแก่ยังไม่ทันได้สติ สักพักมองกระดูกไก่ที่กินเหลืออยู่ตรงหน้า ถึงได้ดึงสติกลับมาได้ ก่อนจะวิ่งตามออกไป
“เดี๋ยว เจ้าหนู! อย่างน้อยก็เหลือน้ำแกงให้ข้าสักถ้วยสิ ข้ายังไม่ได้กินเลยนะ!”
——————
ไป๋อวี้วิ่งตามนางมายังชั้นบนของเจดีย์ แต่ก็ไม่ทันการอวิ๋นเจี่ยววางน้ำแกงกระดูกไก่แสนหอมถ้วยนั้นไว้บนโต๊ะบูชาเรียบร้อยแล้ว เขาได้ยินเสียงประท้วงอย่างหนักมาจากท้องของตัวเอง ก่อนที่จะดึงแขนอวิ๋นเจี่ยวพร้อมเอ่ย “เจ้าหนู เจ้าทำอะไร คนอื่นล้วนบูชาด้วยควันธูป มีที่ไหนที่บูชาอาจารย์ปู่ด้วยน้ำแกง” ถ้ามันเปื้อนขี้เถ้าน่าเสียดายแย่
อวิ๋นเจี่ยวตะลึง ก่อนจะมองถ้วยน้ำแกงที่วางอยู่บนโต๊ะบูชา “ถ้วยนี้ไม่ได้เหรอ” แต่ว่าไม่มีไก่แล้ว
ชายแก่เอ่ยต่อ “นี่เป็นเรื่องการฝึกฝน ปกติแล้วต้องซึมซับด้วยตนเอง สิ่งที่คนอื่นสอนล้วนมีขีดจำกัด หากเจ้ามีคำถามจริง อย่างมากเมื่อเจ้าศึกษาสำเร็จแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปเยี่ยมเยียนอาจารย์อีกหลายท่าน” ให้คนพวกนั้นดูว่าชิงหยางมีอัจฉริยะแบบไหน อืม เขาไม่ได้จะอวดแต่อย่างใด “เจ้าอย่าเห็นว่าในอารามนี้มีแค่ข้าคนเดียว แต่ข้าก็ยังมีเพื่อนเก่าแก่อีกหลายคนในเสวียนเหมินเหมือนกัน”
“เพื่อนที่แม้แต่ผีร้ายยังมองไม่เห็นเหรอ” อวิ๋นเจี่ยวถาม
ฉึบ…
ไป๋อวี้ถูกมีดปักที่หน้าอกอีกครั้ง อย่าพูดถึงเรื่องนี้ได้ไหม เปิดตาทิพย์แล้วเก่งกาจมากหรือไง!
“ข้าพูดจริงๆ นะ!” ไป๋อวี้มองน้ำแกงด้วยสายตาอาวรณ์ กลืนน้ำลายเบาๆ คิดแค่อยากจะรีบยกน้ำแกงถ้วยนั้นกลับไป “อีกทั้งเจ้าได้เจออาจารยปู่ก็ถือว่าเป็นวาสนาอันยิ่งใหญ่แล้ว เมื่อไม่กี่วันก่อนท่านเพิ่งปรากฏตัว ถึงแม้ท่านจะให้ความสำคัญกับเจ้าแค่ไหน ก็คงไม่ลงมาจากสวรรค์อีกรอบหรอก”
ลงจากสวรรค์? อวิ๋นเจี่ยวมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด ไม่สนใจเขาและคุกเข่าลงไป พร้อมเอ่ยอย่างเสียงดัง “อาจารย์ปู่ ศิษย์มีเรื่องขอชี้แนะ!”
“ก็บอกแล้วว่าอาจารย์ปู่ไม่…”
“เรื่องใด” เขาพูดยังไม่ทันจบ บนโต๊ะบูชานั้นก็มีแสงสว่างออกมา ก่อนที่ร่างสีขาวจะปรากฏขึ้นในทันตา ใบหน้าที่งดงามนั้นปรากฏความงงงวย มองตรงไปยังอวิ๋นเจี่ยวที่อยู่บนพื้น
ไป๋อวี้ “…” แม่เอ้ย! อาจารย์ปู่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรหรือเปล่าเนี่ย?
อาจารย์ปู่ลอยมาทางอวิ๋นเจี่ยวโดยตรง สายตาไม่แม้แต่จะมองไป๋อวี้
“อาจารย์ปู่ คาถาเสวียนซินเล่มนั้นข้าอ่านจบแล้ว” อวิ๋นเจี่ยวเอ่ย
อาจารย์ปู่ที่ลอยอยู่กลางอากาศตะลึงไปสักพัก ดวงตาฉายแววประหลาดใจ แต่นาทีถัดมาก็พยักหน้าด้วยความชื่นชม “อืม ไม่เลว” เขาดูคนไม่ผิดจริงๆ
ในใจกำลังคิดว่าหรือจะให้ไปอีกหลายเล่ม แต่ทันใดนั้นกลับเห็นอวิ๋นเจี่ยวยกตำราหนาขึ้นมาหนึ่งปึก วางที่เข่าทีละเล่ม พลางวางพลางอธิบายอย่างจริงจัง
“อาจารย์ปู่ นี่เป็น ‘รายงานการศึกษา’ ของข้า นี่เป็น ‘หลักการวิชา’ ที่ข้าสรุป นี่เป็นรายงานเกี่ยวกับ ‘ความเป็นไปได้ในการขยายของคาถาเสวียนซิน’ แล้วก็ ‘การอธิบายอย่างละเอียดของคาถาเสวียนซิน’ ข้าไม่รู้ว่าที่ข้าเข้าใจถูกหรือไม่ เพราะฉะนั้นในนี้ยังแนบคำถามเกี่ยวกับคำศัพท์เฉพาะเกี่ยวกับพลังลมปราณ จุดตันเถียน ห้าธาตุที่ข้าไม่เข้าใจ หวังให้ท่านช่วยตอบข้อสงสัยของข้าที!”
พูดจบก็ยกตำราหนาปึกนั้นยืนขึ้นมา ก่อนที่จะยัดใส่มือคนตรงข้าม
เยี่ยยวนที่ถูกศิษย์หลานยัดตำราใส่มือ “…”
ไป๋อวี้ที่มองการกระทำอย่างอึ้งๆ “…”