ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด – ตอนที่ 141 ทดสอบขึ้นทะเบียนรอบสอง

ไม่คิดว่าการทำความสะอาดเส้นชีพจรของอาจารย์ปู่จะเห็นผลจริง ชายชรากินขนมโก๋ไปเพียงครึ่งชิ้น คาถาเสวียนซินที่เขาไม่บรรลุเสียที วันรุ่งขึ้นกลับบรรลุขั้นที่ห้า เส้นชีพจรของเขาราวกับแข็งแรงขึ้นมาไม่น้อย ตอนแรกชายชรามีความดีใจเล็กน้อย ถึงแม้ขั้นตอนจะยากเย็นไปเสียหน่อย แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าดีใจมากกว่า ความเจ็บปวดในการนั่งห้องน้ำก็ดูลดลงไปมาก!

ต่อมาอีกหลายวัน เขายังคงแอบขโมยกิน ไข่มุกข้าวเหนียวนำสายฟ้า ผลไม้อบแห้งที่ทำให้วิญญาณหลุดออกจากร่าง แป้งทอดระเบิด เนื้อแดดเดียวพ่นไฟ…

อวิ๋นเจี่ยว “…”

ไป๋อวี้ “…”

ชายแก่ที่เพิ่งรับรู้ว่าอาจารย์ปู่กำลังใช้ตัวเขาเป็นสิ่งทดลองแปลกประหลาด

เขาอยากจะยุติการทำร้ายร่างกายของตนเอง แต่ต่อมาเขากลับพบว่า น้ำที่ตนเองดื่ม ข้าวที่ตนเองกิน แม้แต่ผลไม้ที่เหยียบโดนโดยบังเอิญมักจะเกิดเหตุการณ์แปลกประหลาด ไม่ไฟไหม้ ก็ถูกไฟช็อต อีกทั้งบางครั้งยังกัดคนด้วย

ไป๋อวี้อยากจะร้องไห้ หากขอโทษอาจารย์ปู่ตอนนี้ยังทันหรือไม่

ในเวลานั้นเขาเกิดความเกรงกลัวต่ออาหารขึ้นมาอย่างมาก จนกระทั่งมีแนวคิดจะอดอาหาร ช่างเป็นการใช้ชีวิตเพื่อกินเสียจริง

ประเด็นคือทั้งที่เป็นอาหารชนิดเดียวกัน เหตุใดเจ้าหนูกินแล้วไม่เป็นไร เมื่อถึงมือตนเองกลับเปลี่ยนไป

ไป๋อวี้ยิ่งคิดยิ่งน้อยใจ เขาเป็นลูกศิษย์ที่เก็บมาเลี้ยงจริงๆ ด้วย

ดังนั้น เขาลองยกอาหารให้หยวนเจียง อีกทั้งยังบอกว่าอาจารย์ปู่ให้ ก่อนจะเห็นหยวนเจียงถูกสายฟ้าในขนมผ่าจนไหม้เกรียมใจดวงน้อยที่ถูกทำลายถึงรู้สึกดีขึ้น อืม เขาไม่ได้เป็นคนเดียวที่ถูกรังเกียจ รู้สึกดีขึ้นอย่างมากเลย

หยวนเจียง “…” MMP!

อวิ๋นเจี่ยวช่วงนี้สบายขึ้นอย่างมาก ตั้งแต่ไม่ต้องทำอาหารให้อาจารย์ปู่แล้ว นางก็มีเวลามากขึ้น ไม่รู้เป็นเพราะตำรามีไม่พอหรือไม่ จนกระทั่งตอนนี้ นางยังหาวิธีการใช้พลังลมปราณที่เหมาะสมกับตนเองไม่ได้

เดิมทีคิดจะไปขอยืมตำราจากสำนักเทียนซืออีกเสียหน่อย แต่เจ้าสำนักสวีกลับติดต่อมาก่อน

“สอบขึ้นทะเบียน?” อวิ๋นเจี่ยวผงะ พวกนางเหมือนจะเพิ่งสอบเสร็จไปไม่นาน ทำไมถึงสอบอีกครั้งเร็วขนาดนี้

“ใช่แล้ว” เจ้าสำนักสวีอธิบาย “พรุ่งนี้เป็นวันสอบขึ้นทะเบียน เจ้าสำนักและท่านอาวุโสของแต่ละสำนักล้วนเสนอชื่อให้สหายอวิ๋นเป็นผู้คุมสอบ ท่านมีการฝึกฝนที่ดี อีกทั้งยังเคยถ่ายทอดวิชาให้ลูกศิษย์มากมาย เป็นผู้ที่เหมาะสมในการคุมสอบที่สุด”

“แต่ข้าไม่คุ้นเคยกับมาตรฐานและขั้นตอนการขึ้นทะเบียน” นางลังเล

“ไม่เป็นอะไร” เจ้าสำนักสวี “การขึ้นทะเบียนของสำนักเทียนซือจัดมาหลายปี มีขั้นตอนที่แน่นอนอยู่แล้ว ถึงจะเป็นผู้คุมสอบ แต่ท่านทำเพียงคุมการสอบของข่ายพลังและหมอรักษาพลังลมปราณเท่านั้น เนื้อหาของการสอบก็กำหนดไว้แล้ว ท่านอาวุโสท่านอื่นจะคอยช่วยเหลือท่านอยู่ด้านข้าง ที่จริงแล้วสหายอวิ๋นสามารถมาเป็นผู้คุมสอบได้ ก็ถือเป็นกำลังใจที่ดีสำหรับศิษย์เสวียนเหมินแล้ว”

“อ่อ เช่นนี้ก็ไม่มีปัญหา” อวิ๋นเจี่ยววางใจ ครุ่นคิดก่อนจะพูดเสริมขึ้น “เช่นนั้นต้องการให้ข้าออกข้อสอบให้เหล่าลูกศิษย์…”

“ไม่อยาก”

พูดยังไม่ทันจบ เสียงปฏิเสธอย่างแข็งขันก็ลอยออกมาจากยันต์ส่งสาร

“…”

“เฮอะๆๆ …” เจ้าสำนักสวีหัวเราะแห้ง “เรื่องนี้ไม่รบกวนสหายอวิ๋น พวกเราเตรียมไว้แล้ว” หากให้ท่านออกข้อสอบ คงจะเป็นการสอบที่ได้ศูนย์คะแนนทั้งหมดครั้งแรกในประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังเป็นแบบที่พวกเขาไม่รู้คำตอบที่ถูกต้องด้วย

“…เอาเถอะ!” อวิ๋นเจี่ยวได้เพียงพยักหน้า

หลังจากที่เจรจาเรื่องเวลาแล้ว ถึงได้จบสิ้นการสนทนาไป ไป๋อวี้ที่อยู่ด้านข้างเข้าใกล้ “เจ้าหนู เจ้าจะไปสำนักเทียนซือหรือ ข้าไปด้วยสิ ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยเจ้าได้”

“ไม่ได้!” อวิ๋นเจี่ยวปฏิเสธ

“ทำไม” ชายชราผงะ

นางพูดขึ้นอย่างจริงจัง “อารามของพวกเรามีคนไม่มาก หากท่านไปด้วย ทิ้งอาจารย์ปู่ไว้ในอารามคนเดียวเหมาะสมเหรอ”

“ไม่ เจ้าหนู!” ชายแก่ทำหน้าอยากจะร้องไห้ “เจ้าทิ้งข้าไว้กับอาจารย์ปู่เหมาะสมหรือ”

“…” เหมือนกับมีเหตุผลจนนางไม่อาจคัดค้านได้

หยวนเจียง “…” พวกเจ้าลืมข้าไปหรือไม่

อาจเป็นเพราะกินสิ่งที่อาจารย์ปู่ทำจนกลัว สุดท้ายชายชราจึงติดตามไปสำนักเทียนซือด้วย อาจเป็นเพราะการเรียนในเสวียนเหมินได้รับการพัฒนา การทดสอบในครั้งนี้มีจำนวนคนมากกว่าครั้งที่อวิ๋นเจี่ยวเข้าร่วมอย่างมาก

ทั้งสำนักเทียนซือเต็มไปด้วยผู้คน เพียงแค่แถวของคนที่มาสมัคร ก็แทบจะยาวไปถึงนอกเมืองเสวียนแล้ว อวิ๋นเจี่ยวมองดูฝูงชนบริเวณลานหน้าตำหนักอย่างตกตะลึง นางไม่คิดว่าจะมีคนเข้ามาจำนวนมากเช่นนี้ อีกทั้งเมื่อเทียบกับการทดสอบครั้งก่อน คนที่มาในครั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นคนใหม่ ซึ่งหมายความว่า ครั้งนี้เสวียนเหมินดึงดูดลูกศิษย์ใหม่จำนวนมาก

“ต้องขอบคุณสหายอวิ๋นอย่างมาก” เจ้าสำนักสวียิ้มตาหยี มองไปยังแถวที่ไร้จุดสิ้นสุด “หากไม่ใช่คาถาที่ท่านเขียน ก็คงไม่มีคนเลือกเข้าร่วมเสวียนเหมินจำนวนมากเช่นนี้”

“คาถา?” อวิ๋นเจี่ยวผงะ “คาถาอะไร”

“สหายอวิ๋นลืมแล้วหรือ” เจ้าสำนักสวีรีบอธิบาย “ครั้งก่อนท่านมาขอคาถาการฝึกฝนขั้นพื้นฐานกับข้าไม่ใช่หรือ อีกทั้งยังมีการเขียนอธิบายความเข้าใจลงไปด้วย”

“อ่อ ท่านหมายถึงบันทึกพวกนั้น?” เนื่องจากเส้นชีพจรเสวียน ช่วงก่อนนางยืมตำราพื้นฐานกับสำนักเทียนซือไปจำนวนหนึ่ง เพียงแต่เนื่องมาจากห้องตำราของชิงหยางถูกทำลายไปเพราะเหตุบางอย่าง ดังนั้นนางจึงขอยืมจากอีกฝ่าย อาจเป็นเพราะนิสัยเดิมของตนที่มักจะอ่านไปบันทึกไป ตอนที่คืนตำราจึงนำบันทึกพวกนั้นให้ไปด้วย

“ใช่ บันทึกพวกนั้น!” เจ้าสำนักสวีอธิบายด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ถึงแม้จะเป็นคาถาพื้นฐาน แต่หลังจากที่สหายอวิ๋นเขียนเช่นนั้น ทำให้เข้าใจได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ถึงแม้จะเป็นคนธรรมดา ขอแค่คนผู้นั้นรู้หนังสือก็สามารถฝึกฝนด้วยตนเองได้” ดวงตาของเขาลุกวาว พร้อมกับพูดด้วยความตื่นเต้นมากขึ้น “ข้าได้เจรจากับสำนักต่างๆ ตัดสินใจนำบันทึกของสหายอวิ๋นเหล่านั้นคัดลอกและแจกจ่ายออกไป ไม่คิดว่าจะได้รับความนิยมเช่นนี้ ดังนั้นจึงมีคนเลือกเข้าศึกษามากมาย ทำให้ผู้คนที่มาขึ้นทะเบียนในครั้งนี้มีมากเช่นนี้”

“อ่อ” กล่าวอีกนัยหนึ่ง นางทำให้ตำราที่ลึกซึ้งง่ายขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ และขยายจำนวนคนการลงทะเบียนทางอ้อม อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า ก่อนจะถามขึ้น “เช่นนั้น…พวกท่านเก็บค่าเล่าเรียนไหม” มีส่วนแบ่งของนางไหม

เจ้าสำนักสวี “…” ท่านล้อข้าเล่น?

“เรียนเจ้าสำนัก ลูกศิษย์ที่ท่านกำชับไว้มาถึงสำนักเทียนซือแล้ว ลูกศิษย์ที่ตำหนักหน้าได้ขึ้นทะเบียนชื่อของเขาแล้ว” ลูกศิษย์รายหนึ่งเข้ามารายงาน

สวีชิงเฟิงผงะ ก่อนจะนึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้ จึงรีบสั่งกำชับ “ดี เชิญคนไปยังตำหนักใหญ่”

“รับทราบ” ลูกศิษย์ถอยลงไป

เจ้าสำนักสวีอธิบายด้วยความตื่นเต้น “สหายอวิ๋น ครั้งนี้เชิญท่านมา นอกจากเรื่องของการทดสอบขึ้นทะเบียนแล้ว ยังมีอีกเรื่องอยากขอให้ท่านช่วย”

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด อวิ๋นเจี่ยว ศัลยแพทย์ปริญญาเอกจากคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ถึงคราวต้องกุมขมับเมื่อทำดีกลับไม่ได้ดี ช่วยเหลือคนแก่ที่หกล้มกลับโดนรีดไถและสาปแช่งให้เห็นผี! ยังไม่พอยันต์ที่ยายแก่คนนั้นสาปเธอยังทำให้เธอทะลุมิติไปยังโลกยุคโบราณและโดนล่อลวง (?) ให้เข้าเป็นศิษย์สำนักเต๋าที่ทำหน้าที่ปราบปีศาจผดุงคุณธรรมอีกด้วย เล่าลือกันว่าท่านปรมาจารย์เจ้าสำนักอารามชิงหยางนั้นสำเร็จเป็นเซียนและโบยบิน ขึ้นสวรรค์ไปเมื่อหลายแสนปีก่อน แต่หากเป็นอย่างนั้นจริงเงาร่างหล่อเหลาเปล่ง รัศมีเจิดจ้าที่กำลังนั่งเล่นควันธูปอยู่นี่คือใครกันเล่า?!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset