อวิ๋นเจี่ยวตักน้ำแกงใส่ถ้วยใบหนึ่ง ยื่นออกไปให้คนที่ทำหน้าหยิ่งอยู่ตรงข้าม ชายหนุ่มรับไป กินด้วยท่าทางที่สง่างาม อยากจะกินสามถ้วยรวดเดียวไปเลย
กลิ่นหอมของอาหารทำให้ไป๋อวี้ดึงสติกลับมาได้ เขากลับเข้าสู่โต๊ะด้วยความรวดเร็วปานสายฟ้า ยื่นถ้วยของตัวเองไปให้อวิ๋นเจี่ยวอย่างเคยชิน “หอมจัง ข้าก็เอาด้วยถ้วยหนึ่ง ตักเห็ดเยอะๆ หน่อย” ความตกตะลึงหรือความเกรงขามอะไรล้วนลืมไปหมดสิ้น แม้แต่สายตาอันเยือกเย็นที่มองมาจากคนบางคนด้านข้างยังไม่อาจรับรู้ได้
ฮึ! ซื่อบื้อ!
╭∩╮(︶︿︶)╭∩╮
เยี่ยยวนเพิ่มความเร็วในการกินมากขึ้น
อวิ๋นเจี่ยวกลับไม่มีความสนใจในน้ำแกงมากเท่าไหร่ ตักให้ทั้งสองคนเสร็จก็หยิบตะเกียบ เพิ่งกินไปได้สองคำ เหมือนกับคิดบางอย่างได้กะทันหัน เอ่ยถามด้วยความสงสัย “อาจารย์ปู่ การฝึกฝนวิชาต้องนำเอาพลังลมปราณเข้าภายในร่างกายใช่หรือไม่ แล้วถึงจะใช้คาถาได้”
“แน่นอน” เยี่ยยวนยังไม่ทันตอบ ไป๋อวี้ก็ชิงตอบขึ้นมาก่อน “ถ้าไม่นำพลังลมปราณเข้าร่างกาย จะใช้มันได้อย่างไร ไม่ว่าวิชาใดก็ต้องใช้พลังลมปราณเป็นพื้นฐาน”
“อ่อ” อวิ๋นเจี่ยวสีหน้าไม่เปลี่ยน แต่คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย พร้อมเอ่ย “หากชักนำพลังลมปราณแล้วยังไม่เข้าไปจะทำยังไง”
“อะไรชักนำไม่…” ไป๋อวี้ชะงักท่าที่กำลังจะกินน้ำแกง เหมือนกับนึกอะไรขึ้นได้ ตาเบิกโตมองไปยังนาง “เจ้า…เจ้ายังไม่เริ่มฝึกเข้าทางเต๋าอีกเหรอ”
การชักนำพลังลมปราณเข้าร่างกายเป็นขั้นแรกของการฝึกฝน ตอนนั้นกว่าเขาจะทำได้ก็ใช้เวลาไปหลายเดือน อีกทั้งยังต้องอาศัยความช่วยเหลือจากอาจารย์ถึงจะทำได้ แต่ว่าเจ้าหนูเป็นผู้มีพรสวรรค์ ไม่มีทางที่นานขนาดนี้จะยังทำไม่ได้ อาจารย์ปู่มากินข้าวด้วยกว่าครึ่งเดือนแล้ว
“อืม ชักนำไม่ได้” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า นางลองทำตามในตำราหลายครั้ง ตอนแรกนึกว่าวิธีการของตนเองมีปัญหา แต่พอลองความเป็นไปได้ทุกอย่างแล้ว กลับพบว่าไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ว่านางจะทำอย่างไร แสงจากพลังพวกนั้นพอเข้าใกล้ตัวนางก็สลายหายไป ราวกับ… “ข้ามีปฏิกิริยาต่อต้านพลังลมปราณ”
“เป็นไปได้อย่างไร?” ชายแก่สีหน้าไม่เชื่อ “เจ้าไม่ใช่ผีสางหรือปีศาจ พลังลมปราณจะต่อต้านเจ้าได้อย่างไร” พูดจบก็มองไปทางอาจารย์ปู่ที่ตั้งใจกินน้ำแกงด้วยสายตาที่ไม่ค่อยแน่ใจ
เยี่ยยวนเงยหน้า มองไปยังศิษย์หลานทั้งสองคน คิ้วขมวดราวกับไม่พอใจเล็กน้อย นิสัยเสียที่คุยกันเรื่องฝึกฝนตอนกินข้าวแบบนี้ ต้องปรับปรุง
“ยื่นมือมา” เขาเอ่ยด้วยเสียงทุ้ม เห็นอวิ๋นเจี่ยวยื่นมืออกมา ถึงจะมือหนึ่งจับถ้วยน้ำแกงที่กำลังจะกินหมดของตนเอง มือหนึ่งจับไปที่เส้นชีพจรของอีกฝ่าย นาทีถัดมาอวิ๋นเจี่ยวก็รู้สึกถึงพลังที่คุ้นเคยวิ่งเข้าสู่ร่างกาย แต่ครั้งก่อนเข้าทางหว่างคิ้ว คราวนี้เข้าทางแขน พลังกลุ่มนั้นกำลังไหลเวียนในร่างกายนางอย่างรวดเร็ว
“เอ๊ะ?” สักพักเยี่ยยวนถึงหันมองอวิ๋นเจี่ยวด้วยความสงสัย “เจ้าไม่มีเส้นชีพจรเสวียน!”
“อะไรนะ!” อวิ๋นเจี่ยวยังไม่ทันถามว่าอะไรคือเส้นชีพจรเสวียน ทางไป๋อวี้กลับรีบลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าตื่นตกใจ “เป็นไปไม่ได้ ในโลกนี้ไม่มีคนที่ไม่มีเส้นชีพจรเสวียน จริงสิ นางใช้ยันต์ม่วงได้ จะไม่มีเส้นชีพจรเสวียนได้อย่างไร”
เยี่ยยวนคิ้วขมวดหนักขึ้น เส้นชีพจรเสวียนเป็นพื้นฐานของการฝึกฝน พลังลมปราณบนโลกจะสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ โดยผ่านเส้นชีพจรเสวียนเท่านั้น แต่เขาดูไม่ผิดแน่ ศิษย์หลานคนนี้ไม่มีเส้นชีพจรเสวียน ครั้งที่แล้วเขาส่งพลังเข้าร่างกายของนางตอนที่ไขปัญหา โดยหลักแล้วมีพลังนี้ นางน่าจะเข้าถึงทางเต๋าได้ง่ายมากขึ้นถึงจะถูก แต่ตอนนี้กลับหายไปอย่างไม่เหลือร่องรอย ที่นางพูดก็ไม่ผิด ร่างกายของนางต่อต้านพลังจริงๆ
ทันใดนั้นทั้งสองคนมองไปยังอวิ๋นเจี่ยวด้วยสายตาประหลาด น่าสงสาร เป็นครั้งแรกที่ได้ยินว่ามีคนไม่มีเส้นชีพจรเสวียน
อวิ๋นเจี่ยว “…” สายตาที่มองราวกับนางเป็นคนพิการนี่มันอะไร
-_-|||
นางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง กลับกันกับทั้งสองคนที่ตกตะลึง นางยอมรับได้อย่างเรียบเฉย เดิมทีนางก็ไม่ใช่คนของโลกใบนี้อยู่แล้ว ร่างกายมีความแตกต่างจากคนทั่วไปก็เป็นเรื่องปกติ อีกทั้งนางก็พอจะเดาได้ว่าทำไมนางถึงชักนำพลังเข้าร่างกายไม่ได้ แท้จริงแล้วก็คงไม่พ้นระบบภูมิคุ้มกันอันยิ่งใหญ่ในร่างกายนางกำลังทำงานต่อต้านเชื้อโรค (พลัง) ที่บุกรุกเข้าร่างกายเท่านั้นเอง
ในหัวของนางนึกย้อนไปถึงหลักการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ก่อนจะหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง “เช่นนั้นก็หมายความว่า ข้าไม่สามารถฝึกฝนทางเต๋าได้ใช่ไหม”
ทั้งสองคงอึ้ง คิดอย่างตั้งใจ ตามหลักแล้วคนที่ไม่มีเส้นชีพจรเสวียนไม่สามารถนำพลังเข้าร่างกายได้ นำพลังเข้าร่างกายไม่ได้ก็ไม่สามารถฝึกฝนได้ ฝึกฝนไม่ได้นางก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ภายในอาราม ไม่อยู่ในอารามพวกเขาก็ไม่มีอาหารอร่อยกิน…
ทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนไปพร้อมกัน สายตามองไปที่โต๊ะกินข้าวอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะตอบด้วยความมั่นใจอย่างพร้อมเพียง
“ได้!”
ต้องได้!
เยี่ยวยวนเอ่ยด้วยความจริงจัง “ทางแห่งเต๋ามีมากมาย ไม่มีเส้นชีพจรเสวียนใช่ว่าจะฝึกไม่ได้” อย่างมากเขาก็สร้างเส้นใหม่ให้นางเท่านั้น กว่าจะรับศิษย์หลานที่ถูกชะตาได้ จะปล่อยให้หนีไปไม่ได้เชียว
“ใช่” ไป๋อวี้พยักหน้าอย่างแรง “มีอาจารย์ปู่อยู่ ไม่มีเส้นเชีพจรเสวียนก็ไม่เป็นอะไร! เจ้าอาศัยอยู่ในอารามได้อย่างสบายใจ” อย่างมากก็แค่ไม่เข้าทางแห่งเต๋าด้วยพลังลมปราณ
ทั้งสองคนพูดโน้มน้าวไปถึงประโยชน์ต่างๆ ของการไม่มีเส้นชีพจรเสวียน
“ประโยชน์ของเส้นชีพจรเสวียน ก็เพียงแค่เป็นตัวชักนำพลังเท่านั้น ไม่มีประโยชน์อื่นใด ไม่ใช่สิ่งจำเป็น”
“ใช่ เส้นชีพจรเสวียนอะไรไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย ดูข้าสิ มีเส้นชีพจรเสวียน ฝึกฝนเป็นเวลานานหลายสิบปี ก็ยังทำได้แค่วาดยันต์ ซึมซับได้ยังไม่เท่าเจ้าที่อ่านแค่ห้าวันเลย”
“วิชาบนโลกใบนี้แบ่งออกเป็น ยา อาวุธ ยันต์ รักษา นอกจากคาถาแล้ว อย่างอื่นไม่จำเป็นต้องชักนำพลังเข้าร่างกาย”
“ใช่แล้ว เจ้าดูข้าสิ ไม่มีพลังลมปราณแต่ก็วาดยันต์ได้”
“การฝึกฝนอยู่ที่ใจ หากจิตใจซึมซับอย่างถ่องแท้ เจ้าก็จะเข้าถึงทางเต๋าได้”
“ใช่แล้ว เจ้าอยู่ที่นี่เถอะ เจ้าฉลาดเช่นนี้ จะมีเส้นชีพจรเสวียนหรือไม่ไม่สำคัญ”
“ผู้มีเส้นชีพจรเสวียน ล้วนเป็นผู้โง่เขลา”
“อาจารย์ปู่พูดถูก!”
อวิ๋นเจี่ยว “…” คนเราถ้าร้อนตัวขึ้นมา แม้กระทั่งตัวเองยังด่าเหรอ อีกอย่างนางพูดเมื่อไหร่ว่าจะไป
“ในเสวียนเหมินมีคนฝึกฝนด้านการรักษา” คิดถึงคำพูดของอาจารย์ปู่ ที่มีความเกี่ยวกับความชำนาญของนาง ก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที
“มีสิ” ไป๋อวี้แววตาฉายแววแพรวพราว นึกขึ้นได้ว่าเจ้าหนูเป็นหมอมาก่อน รีบพยักหน้า “คนในเสวียนเหมินอย่างพวกเรา ล้วนปราบมารขจัดสิ่งชั่วร้ายเป็นหน้าที่ของตน บางครั้งอาจบาดเจ็บจากการถูกสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ทำร้าย หมอธรรมดาก็คงรักษาไม่ได้ ต้องอาศัยหมอที่รักษาพลังลมปราณเท่านั้น”
แต่ว่าภายในเสวียนเหมิน หมอที่รักษาพลังลมปราณมีน้อยมาก เพราะว่าเมื่อเทียบกับผู้ฝึกฝนทางเต๋าทั่วไปแล้ว หมอรักษาพลังลมปราณไม่เพียงแต่ต้องเข้าใจถึงวิถีทางแห่งเต๋าอย่างถ่องแท้ ยังต้องมีวิชาการรักษาขั้นสูงอีกด้วย
“เจ้าก็เป็นหมอไม่ใช่เหรอ มีพื้นฐานทางการรักษาต้องฝึกได้เร็วมากเป็นแน่” เห็นนางมีความสนใจ เขาก็รีบพูดต่อ “ในอารามถึงแม้จะไม่มีตำราทางด้านการรักษา แต่…แต่อาจารย์ปู่ต้องสอนเจ้าได้แน่” เขารีบหันไปมองคนด้านข้าง
เยี่ยยวนก็พยักหน้าตอบรับ “ได้!” พูดจบ ก็ท่องคาถา พรึบ ตำราหลายเล่มวางอยู่บนโต้ะ
พอหรือไม่ ถ้าไม่พอข้ายังมีนะ
╭(╯^╰)╮
อวิ๋นเจี่ยว “…” อาจารย์ปู่แต่ก่อนเป็นคนขายหนังสือหรือเปล่า
ไป๋อวี้ “…” ลำเอียงต่อหน้าต่อตาเลย อย่างน้อยก็เหลือไว้ให้เขาเล่มหนึ่งไหม