ตกดึก
สำนักชิงหยางมืดสนิท สถานที่ที่ควรจะเป็นแหล่งรวมพลังลมปราณ วันนี้กลับหนาวเย็นเป็นพิเศษ ภายในอารามขนาดใหญ่ มีเพียงตำหนักหลักที่สว่างไสว
บริเวณที่นั่งหลักตรงกลาง มีชายแก่ในชุดสีดำนั่งอยู่ ท่าทางของเขาดูกระสับกระส่าย สีหน้าลังเล เดี๋ยวพิงไปทางซ้าย เดี๋ยวเปลี่ยนไปทางขวา ดูแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก สักพักหันมองไปยังคนที่นั่งดื่มน้ำชาด้วยสีหน้าเรียบเฉยด้านล่าง
“เจ้าหนู หรือไม่พวกเราเปลี่ยนที่กัน ข้านั่งข้างล่างเถอะ ข้ารู้สึกว่านั่งตรงนี้ประหลาดอย่างไรไม่รู้”
“เหลวไหล!” อวิ๋นเจี่ยววางถ้วยน้ำชาในมือลง ส่วนมืออีกข้างยังคงแก้ไขข้อสอบบนโต๊ะอย่างไม่หยุดหย่อน พลางอ่านข้อสอบพลางพูด “ท่านเป็นเจ้าสำนักชิงหยาง ที่นั่งนี้ควรเป็นของท่าน” ให้นางนั่งได้อย่างไร ถึงแม้ชิงหยางจะไม่มีแขกมา แต่ก็ไม่อาจนั่งซี้ซั้วได้
“…” ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่เขาไม่รู้สึกว่าตนเองเป็นเจ้าสำนักเลย
ชายแก่ยิ่งลังเล ท่านั่งราวกับปาท่องโก๋ บิดไปบิดมา อีกทั้งยังมองออกไปนอกตำหนักเป็นครั้งคราว ยิ่งคิดยิ่งกังวล “เจ้าหนู พวกเขาจะมาจริงหรือ อาจจะไม่มีใครมาเลยก็ได้นะ”
“วางใจเถอะ” อวิ๋นเจี่ยวมองเขาทีหนึ่ง “สีเถิงเป็นคนไปประกาศเอง บอกแล้วว่าวันนี้ยามจื่อ ไม่มีทางมาสาย ส่วนเรื่องนี้…ท่านเจอพวกเขาเร็วเท่าไหร่ ก็จะรู้สถานการณ์เร็วขึ้นเท่านั้น” เจ้านายที่โผล่กลางคัน เจอหน้ากับลูกน้องเร็วหน่อยจะดีกว่า
“ศิษย์หลานพูดถูก” หยวนเจียงพูดเสริม “เจ้ารับป้ายยมราชแล้ว เจ้าก็คือเจ้านายของเมืองโยวหลิงอย่างถูกต้อง พวกเขาน่าจะได้รับข่าวแล้ว พวกเราเจอพวกเขาเองจะดีกว่าปล่อยพวกเขามาลองเชิง”
“แต่พวกเขาคือยมทูต!” ไป๋อวี้ยังคงเป็นกังวล ยมทูตไม่ใช่ผีธรรมดา แต่เป็นวิญญาณที่มีฐานะรองลงมาจากยมราชเท่านั้น “หากมีเรื่องขึ้นมา…”
“วางใจเถอะ พวกเขาไม่ทำแบบนั้นหรอก!” อวิ๋นเจี่ยวพูดอย่างมั่นใจ แค่เพียงป้ายยมราชอยู่บนตัวชายแก่ ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางลงมืออย่างง่ายดาย อย่างน้อยก็ไม่กล้าต่อหน้า “อีกทั้ง อาจารย์อาหยวนก็อยู่!” อย่างไรก็ดี หยวนเจียงเป็นถึงท่านเทพของสวรรค์ ถึงแม้ร่างทองจะยังไม่ฟื้นคืนกลับมา แต่แผลของเขากลับหายดีนานแล้ว พลังของเขาก็ไม่ต่ำ รับมือกับยมทูตได้อย่างแน่นอน
ชายชรายังคงมองหยวนเจียงด้วยความกังวล อวิ๋นเจี่ยวจึงพูดเสริมขึ้น
“อีกทั้ง แม้แต่อาจารย์ปู่ท่านยังไม่กลัว จะกลัวยมทูตทำไม”
“เอ่อ…” เหมือนจะมีเหตุผล จู่ๆ ก็ไม่กลัวแล้วคืออะไรกัน
กำลังพูดอยู่ บริเวณรอบข้างก็หนาวขึ้นมาทันที อุณหภูมิลดลงอย่างกะทันหัน
“มาแล้ว!” หยวนเจียงพูดเตือน
นาทีถัดมาพลังวิญญาณจำนวนมากปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน ตำหนักที่สว่างไสวมืดลงไปในทันที แม้แต่เปลวไฟสีเหลืองส้มด้านข้างก็แปรเปลี่ยนเป็นสีเขียว
ชายชรารู้สึกตัวแข็งทื่อ เขานั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้ พลังวิญญาณภายในตำหนักเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ นาทีถัดมาตรงกลางตำหนักปรากฏร่างขนาดใหญ่ขึ้นสามร่าง รูปร่างของพวกเขามีลักษณะกึ่งโปร่งใส สูงใหญ่จนแทบจะชนกับกำแพงด้านบนตำหนัก กินพื้นที่ไปกว่าครึ่ง หน้าตาของพวกเขายิ่งน่ากลัว ไม่เหมือนกับผีธรรมดาที่ขาดแขนขาดขา แต่พลังที่แผ่ออกมาจากบนตัวของพวกเขา ทำให้ผู้พบเห็นเกรงขามขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
สายตาเย็นชาของพวกเขาหยุดอยู่บนตัวของคนที่นั่งอยู่บนที่นั่งหลัก ก่อนจะพูดขึ้น “ท่านคือนายคนใหม่ของโยวหลิง!”
ทั้งสามร่างที่ปรากฏตัวขึ้นราวกับไม่ได้มีชายแก่อยู่ในสายตา เขามองอย่างผู้เหนือกว่า พลังทั้งตัวซัดเข้าไปหาคนทั้งสามภายในตำหนักราวกับจงใจ
สีหน้าของหยวนเจียงดำลงในทันที ก่อนที่พลังแข็งแกร่งกว่าจะซัดกลับไป ยมทูตทั้งสามยังไม่ทันได้ตอบสนอง ก็ถูกกดลงไปอยู่บนพื้น แม้แต่ร่างใหญ่นั้นก็หดเล็กลงไปราวกับลูกบอลที่ถูกอัดทับ กลับกลายเป็นขนาดเท่าคนธรรมดา เปลวไฟสีเขียวบนผนังก็กลับเป็นสีส้มเหมือนเคย
“ฮึ!” หยวนเจียงส่งเสียงเย็นในลำคอ
คิดจะแสดงอำนาจ ทำอย่างกับใครไม่เคย
ยมทูตทั้งสามตกตะลึง พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองหยวนเจียงอย่างเหลือเชื่อ “ท่าน…ท่านเป็นคนของโลกบน!” ยมราชคนใหม่เป็นมนุษย์ไม่ใช่หรือ ทำไมที่นี่ถึงมีท่านเทพอยู่! อีกทั้งยังเป็นท่านเทพชั้นสูงด้วย!
“ยมทูตทั้งสาม มีอำนาจเหลือล้น” หยวนเจียงยิ้มอย่างเป็นมิตร แต่สายตานั้นกลับตรงกันข้าม “ข้าเพิ่งเคยได้ยินว่ายมทูตใช้ร่างคาถาพบท่านยมราช”
สีหน้าของทั้งสามคนซีดเผือด สบตาที่เต็มไปด้วยความลนลาน อีกทั้งถูกพลังรอบด้านกดทับจนลุกไม่ขึ้น สักพักยมทูตที่ดูอายุมากกว่าข่มความตะลึงภายในใจ พูดขึ้น “ขออภัยท่านยมราช! ก่อนที่พวกข้ามาพบลืมแปลงร่างกลับ ถึงได้เป็นเช่นนี้!” สายตาของพวกเขาเปล่งประกาย ยังไม่รู้ว่าท่านเทพนี้มีความสัมพันธ์อะไรกับยมราช จึงทำได้เพียงข่มความไม่พอใจลง
หยวนเจียงไม่ได้พูดอะไรต่อ มองไป๋อวี้ทีหนึ่ง ก่อนจะเก็บพลังของตนกลับมา
ไป๋อวี้มีความมั่นใจขึ้นหลายร้อยเท่า เขาเข้าถึงบทบาทในทันใด ใช้สีหน้าท่านเทพของเขา มองดูทั้งสามคนทีหนึ่ง ก่อนจะใช้น้ำเสียงที่อีกฝ่ายพูดเมื่อครู่นี้ถามกลับไป “พวกเจ้าคือยมทูตโยวหลิง?”
อาจเป็นเพราะหยวนเจียง ทั้งสามคนยังคงความตกตะลึง พร้อมกับรีบตอบกลับ “เรียนท่านยมราช พวกข้าเป็นยมทูตของเมืองโยวหลิง”
ชายแก่ลูบคลำหนวดเครา กวาดตามองทั้งสาม “ข้าได้ยินว่าเมืองโยวหลิงมียมทูตทั้งหมดหกคน เหตุใดมีเพียงพวกเจ้าสามคน”
คนทั้งสามที่เพิ่งลุกขึ้นยืน สีหน้าเปลี่ยนไปทันที เงยหน้ามองไป๋อวี้ที่ทำหน้าได้ใจ ทันใดนั้นรู้สึกลังเลไม่รู้จะเปิดปากอย่างไร สุดท้ายเป็นคนที่อยู่ตรงกลางพูดขึ้น “ขออภัยท่านยมราช เมืองโยวหลิงมีเรื่องวุ่นวายมาก อีกทั้งท่านยมราชคนก่อนจากไปนาน มีเรื่องค้างคามากมาย พวกเขาไม่อาจ…มาได้ ดังนั้นจึงให้ข้ามาลากับท่าน เมื่อพวกเขาว่างจากงานจะมาเข้าพบท่าน”
เขาพูดด้วยความเคารพ บนใบหน้าปรากฏสีหน้าหนักใจอย่างพอดี แสดงราวกับเป็นเรื่องจริง คนในตำหนักกลับมีสีหน้าดำลงไป ยุ่งอะไรกัน คงจะเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น
พวกเขาไม่ให้ความสำคัญกับยมราชที่โผล่ออกมาอย่างกะทันหัน อีกทั้งเขายังเป็นมนุษย์ธรรมดา เพียงแต่สามคนที่มานี้แค่กำลังแสดง แต่อีกสามคนแม้แต่แสดงยังไม่ทำ
ถึงแม้จะพอเดาได้ว่าอาจเกิดเหตุการณ์แบบนี้ แต่ชายแก่ยังคงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เขาหันไปมองอวิ๋นเจี่ยว
เจ้าหนู ต่อไปแสดงอย่างไร