อวิ๋นเจี่ยวที่นั่งอยู่ด้านข้างกากบาทลงตอนท้ายของข้องสอบอย่างไม่เร่งรีบ พร้อมกับให้คะแนนหกสิบสองคะแนน ก่อนจะเงยหน้ามองคนทั้งสองภายในตำหนัก “หากเป็นเช่นนี้ พวกท่านก็เริ่มจากรายงานส่งมอบแล้วกัน”
“รายงานส่งมอบ?” ทั้งสามคนผงะไป ไม่เข้าใจความหมายของเธอ
อวิ๋นเจี่ยวกลับพูดขึ้นด้วยความจริงจัง “เกี่ยวกับสถานการณ์จำนวนผีในเมืองโยวหลิง การกระจายสมาชิกผี อัตราการเกิดใหม่ การวิเคราะห์สมาชิกผี รวมทั้งแผนการในอีกสิบปีข้างหน้าของเมืองผี พวกท่านน่าจะเตรียมไว้แล้ว? ส่งมาให้ข้าก็พอ!”
กลุ่มยมทูตสามคน: “…” อะไรกัน
Σ(°△°|||)︴
“วางใจเถอะ แค่เพียงข้อมูลคร่าวๆ ก็พอ ไม่จำเป็นต้องแม่นยำ” อวิ๋นเจี่ยวเกรงว่าพวกเขาฟังไม่เข้าใจ จึงพูดเสริมขึ้นอีหนึ่งประโยค “อย่างเช่นรายงานสรุปการดูแลเมืองผีของพวกท่าน!”
กลุ่มยมทูตสามคน: “…”
“เช่นนั้นเอกสารเกี่ยวกับแผนการการดำรงตำแหน่ง?”
“…”
อวิ๋นเจี่ยวผงะไป “พวกท่านคงไม่แม้แต่จะรู้จำนวนของวิญญาณในเมืองตนเองใช่หรือไม่”
“…”
นี่คือการดูแลอะไรกัน ยมโลกยุ่งเหยิงถึงเพียงนี้เชียว ไหนบอกว่าเป็นองค์กรทางการไง
อวิ๋นเจี่ยวตกตะลึงอย่างมาก เธอกวาดตามองทั้งสามคนขึ้นลง ก่อนจะพูดออกม “พวกท่าน…เป็นยมทูตได้อย่างไร”
“…”
สีหน้าของทั้งสามคนซีดลงไปกว่าเดิม พวกเขาโดนดูถูกหรือ
สักพักกว่ายมทูตผู้นำที่อยู่ตรงกลางจะตั้งสติได้ เขาพูดอย่างโกรธเคืองเล็กน้อย “ยมทูตของยมโลก โดยทั่วไปวัดจากพลัง พวกข้าฝึกฝนถึงขั้นที่เป็นยมทูตได้ จึงได้รับหน้ายมทูตเป็นธรรมดา เจ้าเป็นใครกัน บังอาจพูดจาเหลวไหลที่นี่”
“ข้าแค่ช่วยตา…เจ้าสำนักสอบถามสถานการณ์ปัจจุบันของเมืองโยวหลิงเท่านั้น” อวิ๋นเจี่ยวตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พวกข้าอยากรู้ว่าพวกท่านดูแลเมืองโยวหลิงอย่างไร”
อีกฝ่ายกวาดตามองเธอ ราวกับดูออกว่าเธอเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา สายตาที่มองมาจึงประกายความดูถูก “วิญญาณร้ายตกนรก วิญญาณดีบรรลุความหวัง เมื่อรอจนพวกเขาชำระหนี้ชาติก่อนจนหมดสิ้น จะสามารถไปเกิดใหม่เป็นมนุษย์ได้ ดังนั้นการไปมาของวิญญาณ สมุดบันทึกความตายเขียนไว้อย่างชัดเจน”
“อ่อ…” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า ก่อนจะพูดขึ้น “เช่นนั้นพวกท่านส่งสมุดความตายขึ้นมาดู”
“อะไรนะ!” ยมทูตทั้งสามผงะไป ต่างเบิกตาโพลง ราวกับได้ยินสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ ยมทูตที่พูดเมื่อครู่ยิ่งมีสีหน้าโกรธเคือง พลังวิญญาณบนตัวแผ่ออกมาอย่างต่อเนื่อง “สมุดบันทึกความตายเป็นสิ่งที่บันทึกคำตัดสินของวิญญาณทั่วหล้า จะมอบให้มนุษย์อย่างเจ้าได้อย่างไร!”
ยมทูตอีกสองคนก็โมโหขึ้นมาเช่นกัน พวกเขาหันไปทางไป๋อวี้ ก่อนจะพูดโต้แย้งขึ้น
“ท่านยมราชทำเช่นนี้ คิดอยากจะเก็บสมุดบันทึกความตายจากพวกข้าคืนไปงั้นหรือ”
“ยมโลกทั้งเจ็ดเมือง ยมราชถือครองป้ายคำสั่ง ยมทูตตัดสินความเป็นความตาย นี่เป็นกฎของยมโลกมานับพันหมื่นปี ท่านยมราชเพิ่งเข้ารับตำแหน่งก็คิดจะทำลายกฎนี้?”
“ท่านยมราช ถึงแม้ท่านจะมีการสนับสนุนจากท่านเทพโลกบน แต่ยมโลกคือยมโลก ท่านเทพของโลกบนจะเก่งกาจอย่างไร ก็ไม่ควรแทรกแซงเรื่องของยมโลก”
“ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีท่านยมราชท่านใดเก็บสมุดบันทึกความตายกลับคืน”
ทั้งสามยิ่งพูดยิ่งโมโห แต่ละคนทำท่าทางโกรธเคืองอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมองไปทางหยวนเจียงแบบไม่ตั้งใจ “ท่านยมราชหากคิดจะสร้างพันธมิตรกับโลกบน คงต้องถามความเห็นท่านยมราชเมืองอื่นด้วย!”
ทั้งสามคนยิ่งพูดยิ่งไถลไปไกล ในน้ำเสียงนั้นราวกับกำลังจะสื่อว่าไป๋อวี้ทรยศยมโลก หันไปเพิ่งพาสวรรค์
ชายแก่ขมวดคิ้วมุ่น ไฟโกรธลุกโชนเต็มท้อง เขากวาดตามองคนที่กำลังโมโหอยู่ทั้งสามคน หากบอกว่าสมุดบันทึกความตายไม่มีปัญหา เขาก็ไม่ใช่ ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นเสียงทุ้ม “ฟังจากที่พวกเจ้าพูด หากข้าอยากดูสมุดบันทึกความตายก็ไม่ได้?”
ทั้งสามคนผงะไป ก่อนจะแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นยมทูตที่อยู่ตรงกลางถึงได้เปิดปากพูดขึ้น “ท่านยมราชสามารถดูได้ เพียงแต่สมุดบันทึกความตายเป็นอาวุธยมโลก อีกทั้งอยู่กับพวกข้ามานาน คนทั่วไปไม่อาจใช้การได้”
“ใช่แล้ว!” ยมทูตที่อยู่ด้านข้างพูดเสริม “ท่านยมราช อาวุธยมโลกนี้มีพลังวิญญาณหนักมาก ท่านยังเป็น…ร่างมนุษย์ เกรงว่าจะรับไม่ไหว อีกทั้งยังจะทำให้อายุขัยของท่านลดลง”
“ใช่แล้วท่านยมราช” อีกคนก็พูดขึ้น “พวกข้าเป็นห่วงแทนท่าน ท่านเพิ่งรับต่อเมืองโยวหลิง ไม่รู้สถานการณ์ก็เป็นเรื่องปกติ ใช้เวลาเสียหน่อย เดี๋ยวท่านก็รู้เอง ไม่ต้องรีบร้อน”
พวกเขาพูดด้วยสีหน้าจริงใจและกังวล แต่ท้ายที่สุดคือไม่ยอมส่งมองสมุดบันทึกความตาย
ครานี้ไม่เพียงแต่ชายแก่ แม้แต่หยวนเจียงที่อยู่ด้านข้างก็ขมวดคิ้วมุ่น ดูท่าทางยมทูตทั้งสามคนนี้ไม่ได้เห็นไป๋อวี้เป็นยมราชเมืองโยวหลิง แม้ว่าหยวนเจียงจะอยู่ตรงนี้ แต่พวกเขาก็ไม่มีท่าทีจะยอมรับเขา
อีกทั้งพวกเขาเองก็ไม่มีวิธี อย่างไรก็ดี หยวนเจียงเป็นท่านเทพของโลกบน สามารถอยู่สนับสนุนให้ชายแก่ได้ แต่หากลงมือกับยมทูตของยมโลก คงส่งผลต่อความขัดแย้งระหว่างทั้งสองโลก เมื่อถึงเวลานั้นคงจะเป็นการยุ่งยาก อีกทั้งไม่เป็นประโยชน์ต่อแผนการของพวกเขาในตอนนี้
ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงตึงเครียดกันไปในทันใด
ยมทูตทั้งสามคนนั้นเห็นถึงสถานการณ์ สีหน้าของพวกเขายิ่งได้ใจมากขึ้น คนตรงกลางยิ้มจนตาหนีเป็นเส้นเดียว เขาพูดด้วยน้ำเสียงเสียดสี “ท่านยมราช หวังว่าท่านจะเข้าใจความลำบากใจของพวกข้า เมืองโยวหลิงมีวิญญาณมากมายรอให้พวกข้าตัดสินอยู่ สมุดบันทึกความตายขาดไปไม่ได้แม้แต่เค่อเดียว”
“สำคัญขนาดนั้น?” อวิ๋นเจี่ยวพูดขึ้นอย่างกะทันหัน เมื่อเทียบกับชายแก่ที่พยายามข่มความโกรธเอาไว้ เธอยังคงมีสีหน้าจริงจัง ราวกับไม่ได้รับผลกระทบจากบรรยากาศตึงเครียดแต่อย่างใด
ยมทูตกลับหัวเราะเสียงเย็น “แน่นอน!”
“อ่อ…” อวิ๋นเจี่ยวตอบรับ ก่อนจะลุกขึ้นยืน จากนั้นเดินไปทางชายแก่และหยุดอยู่ข้างตัวเขา “เจ้าสำนัก ข้าคิดว่าพวกเขาพูดมีเหตุผล”
“ฮะ?” ชายแก่ผงะ เจ้าหนูเป็นอะไรไป
อวิ๋นเจี่ยวกลับยังคงพูดต่อ “สมุดบันทึกความตายสำคัญอย่างแน่แท้ เมืองโยวหลิงไม่อาจขาดมันไปได้ แต่อย่างอื่น…” เธอกวาดตามองคนทั้งสามในตำหนัก ก่อนจะพูดต่อ “มีหรือไม่ ไม่สำคัญ”
“…” หมายความว่าอะไร ทั้งสามคนผงะ
เห็นเพียงแต่อวิ๋นเจี่ยวหยิบยันต์ออกมาหนึ่งใบแปะเข้าที่หน้าผากของไป๋อวี้ คนที่เหลือเห็นเพียงแสงสีขาวส่องสว่างขึ้น หน้าผากของชายแก่ก็ปรากฏผนึกลายดอกไม้ขึ้นมา ลักษณะเหมือนกับบนป้ายยมราช
นาทีถัดมา ยมทูตทั้งสามด้านล่างรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา ทันใดนั้นเหมือนมีอะไรบางอย่างถูกดุงออกมาจากร่างวิญญาณ กลายเป็นแสงลอยมาอยู่ตรงหน้าของชายแก่ จากนั้นค่อยๆ รวมกันเป็นลักษณะของตำราสีดำ
ด้านบนเขียนเอาไว้ว่า: สมุดบันทึกความตาย!
“…”
“ข้าว่าพวกท่านเข้าใจบางอย่างผิดไป!” อวิ๋นเจี่ยวตบเข้าที่ไหล่ของชายแก่ “เขา…เป็นเจ้านายของพวกท่าน! หากพวกท่านไม่มีสมุดบันทึกความตายก็ไม่สามารถทำงานได้ แสดงว่าพวกท่านไม่มีความสามารถ ดังนั้น…”
เธอมองยมทูตทั้งสามอีกครั้ง
“ขอโทษที พวกท่านถูกไล่ออก!”
หยวนเจียง: “…”
ยมทูตทั้งสาม: “…”
แบบนี้ก็ได้!
(⊙_⊙)