“สหายอวิ๋นตอนนี้ทำอย่างไรดี หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พลังสีดำเหล่านั้นจะรุกรานเข้าสัมปชัญญะของเขาแล้ว” ชางหยางร้อนใจอย่างมาก มองไปยังคนบนกระดานไม้ด้วยสีหน้ากังวล “ตอนนี้ไม่อาจเดินเข็มวางข่ายพลังกำจัดได้ หาก…”
“ใครบอกเดินเข็มไม่ได้” อวิ๋นเจี่ยวหันไปมองเขา
“เอ๊ะ?” ชางหยางผงะ “แต่ว่าข้าทำตามบนตำรา ดูจากลักษณะเส้นชีพจรบนร่างกายเขา วางข่ายพลังกำจัด แต่ว่าข่ายพลังนี้ไม่แม้แต่จะเป็นรูปเป็นร่าง หรือว่า…วิธีเดินเข็มของข้ามีปัญหา?”
อวิ๋นเจี่ยวกวาดตามองเข็มเงินที่ยังไม่เอาออกบนตัวคนป่วย คิ้วของนางขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้น “การเดินเข็มไม่มีปัญหา แต่ข่ายพลังมี” สมกับที่รั้งท้าย ไม่มีการพัฒนาแม้แต่น้อย
“ฮะ?” ชางหยางนิ่งอึ้งไป
“แม้ว่าส่วนใหญ่ของการเดินเข็มวางข่ายพลังจะต้องดูจากเส้นชีพจรบนร่างกายของอีกฝ่าย แต่เส้นชีพจรของคนนี้ล้วนเป็นพลังสีดำพวกนั้น หากท่านยังใช้วิธีการเดินเข็มแบบเดิม ข่ายพลังที่วางคงไม่อาจประกอบขึ้นได้” นางเอื้อมมือไปย้ายตำแหน่งของเข็ม “เวลานี้เพียงแค่ปรับการเดินเข็ม ใช้พลังลมปราณห้าธาตุด้านนอกมากระตุ้นข่ายพลัง”
ทันทีที่คำพูดของนางสิ้นสุดลง ข่ายพลังระหว่างเข็มเงินนั้นก็ส่องประกายขึ้นมา รูปข่ายพลังสีขาวปรากฏขึ้นกลางอกของคนป่วย ตามการกวาดผ่านของแสงสีขาวนั้น พลังสีดำที่แผ่ซ่านไปยังเส้นชีพจรทั่วร่างกายนั้นราวกับถูกพลังบางอย่างชักนำไหลออกมาจากบาดแผล ก่อนจะลอยไปรวมตัวอยู่บริเวณใจกลางของข่ายพลัง
“ออก…ออกมาแล้ว!” ชางหยางเบิกตากว้าง สีหน้าเหลือเชื่อ เขาเหลือบมองเข็มเงินบนหน้าอกของอีกฝ่าย แต่กลับพบข่ายพลังที่ไม่คุ้นเคย “ข่ายพลังนี้คือ…”
“ยังคงเป็นข่ายพลังกำจัด เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการถ่ายพลังลมปราณเข้าไปเท่านั้น” อวิ๋นเจี่ยวตอบกลับ ก่อนจะพูดเสริม เมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้ “สอบปลายภาคข้อแรกเคยสอบเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ” มีการทบทวนไหม!
ชางหยางผงะ “…”
อาจารย์อย่าพูดถึงเลย ลูกศิษย์ยังอยู่ตรงนี้ ไว้หน้ากันหน่อย!
○| ̄|_
มองดูพลังสีดำรวมตัวบริเวณใจกลางข่ายพลังมากขึ้น เหตุการณ์เหมือนตอนที่รักษาจิ้งจอกน้อยและจี้เฉิน พลังสีดำนั้นรวมตัวกันเป็นก้อนกลมสีดำ เพียงแต่ครานี้มีขนาดเล็กกว่าสองครั้งก่อนอย่างมาก นางหยิบผ้าออกมาผืนหนึ่งห่อเอาไว้ กำลังจะเอาเข้ามาดูใกล้ๆ
เยี่ยยวนที่ยืนเงียบอยู่ด้านข้างกลับรั้งมือของนางเอาไว้ “อย่าแตะ!”
เอ๊ะ? นางผงะ ก่อนจะเห็นเขาสะบัดมือทีหนึ่ง พลังสีดำก้อนนั้นก็สลายหายไป
อวิ๋นเจี่ยวนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย คิดอยากจะถามอาจารย์ปู่ว่ามันคืออะไร แต่ที่นี่มีคนมากไป ไม่อาจถามได้
ชางหยางที่อยู่ด้านข้างยิ้มแข็ง ก่อนจะเสนอขึ้นมา “เฮอะๆๆๆ …สหายอวิ๋นเดินทางมาเหนื่อยๆ ไปนั่งดื่มน้ำชาที่ด้านหน้าก่อน?” เขาเปลี่ยนประเด็นทันที คิดแค่อยากจะพาอาจารย์ให้ออกห่างจากเหล่าลูกศิษย์ “ข้าว่าคนนี้คงไม่เป็นอะไรแล้ว”
“ได้” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า ก่อนจะกวาดตามองคนบนกระดานไม้อีกครั้ง พบว่าพลังสีดำบนตัวของอีกฝ่ายถูกกำจัดทิ้งไปหมดแล้ว ถึงได้เดินจากไปพร้อมชางหยาง ในขณะที่กำลังจะเดินเข้าโถงรับแขก นางก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น “จริงสิ ครั้งหน้าข้าส่งตำราข่ายพลังมาให้ท่านอีกเสียหน่อย!” ยังต้องเพิ่งพาท่านเปิดโรงเรียนการแพทย์ วิชาด้านข่ายพลังต้องเรียนเสริมหน่อย!
ชางหยาง “…”
ไหนบอกว่าจะไม่พูด!
(ಥ_ಥ)
…
“จะว่าไป คนป่วยรายนี้ข้าพบเขาที่หมู่บ้านหลีเจี่ยว” ชางหยางจิบน้ำชาคำหนึ่ง ก่อนจะเล่าเรื่องคนที่ถูกพลังสีดำคนนั้นอย่างละเอียด คนป่วยลักษณะเช่นนี้พบเจอได้น้อย เขาเป็นหมอรักษาพลังลมปราณมานานขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่พบ “แปลงยาทางนั้นเกิดเรื่องเล็กน้อย ข้าจึงไปจัดการ และบังเอิญได้พบกับเขา แต่เรื่องจากทางนั้นค่อนข้างห่างไกล ข้าจึงพาคนกลับมาด้วย”
เพียงแต่เขาลองมาหลายวิธี แต่กลับทำอะไรพลังสีดำเหล่านั้นไม่ได้ ทำได้เพียงไม่ให้สัมปชัญญะของอีกฝ่ายถูกรุกราน ต่อมานึกถึงตำราที่อวิ๋นเจี่ยวให้มานั้น มีเรื่องของการวางข่ายพลังกำจัดพลังร้าย แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะลงมือ คิดเพียงรอให้อวิ๋นเจี่ยวมาก่อน แต่เมื่อกี้เขาเห็นว่าอาการของอีกฝ่ายคับขันอย่างมาก ไม่มีทางเลือกจึงลองดู แต่สุดท้าย…เขากลับได้รับตำราข่ายพลังกลับมาเป็นกอง
o(╯□╰)o
ชางหยางมองดูตำราข่ายพลังเจ็ดแปดเล่มบนโต๊ะน้ำชาด้านข้าง อยากจะร้องไห้! ที่สำคัญคืออีกฝ่ายยังพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า วันนี้ออกมาเร่งรีบ กลับไปจะส่งมาให้อีก ชางหยางแทบจะพ่นน้ำชาใส่หน้าอีกฝ่าย แต่ก็ต้องควักเงินออกมาสิบตำลึง พร้อมกับรับตาราเหล่านั้นมาทั้งน้ำตา
“เจ้าบอกว่าโรคนี้ติดต่อได้ไม่ใช่เหรอ” อวิ๋นเจี่ยวถามขึ้น “มีคนป่วยแค่เขาคนเดียวเหรอ”
“นี่ก็เป็นเรื่องที่ข้าต้องรบกวนสหายอวิ๋น” ชางหยางอธิบาย “นอกจากคนผู้นี้แล้ว ยังมีชาวนาปลูกยาอีกหลายคนในหมู่บ้านหลีเจี่ยวก็มีอาการเช่นนี้ เพียงแต่ไม่สาหัสเท่าเขา แต่พวกเขาตกอยู่ในอาการสลบ พวกข้ารีบกลับมาจึงพาเขากลับมาเพียงคนเดียว ดังนั้นวันพรุ่งนี้ข้าจึงอยากให้ท่านตามข้าไปหมู่บ้านหลีเจี่ยว พร้อมทั้งสืบหาสาเหตุของโรค!”
“อืม” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า ตอนนี้นางยังไม่แน่ใจว่าพลังสีดำนี้คือพลังปีศาจหรือไม่ ไปสืบเสียหน่อยก็ดีเหมือนกัน หากไม่ใช่ก็แล้วไป แต่หากใช่…คงจะแย่!
“ขอบคุณสหายอวิ๋น” ชางหยางโล่งอก ทันใดนั้นรู้สึกมีความมั่นใจในการรักษาคนเหล่านั้น ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นสหายรีบพักผ่อน พรุ่งนี้ตอนเช้าพวกเราจะออกเดินทาง” พูดจบก็เรียกลูกศิษย์ด้านนอกเข้ามา “ชางผิง พาอาจารย์และแขกท่านนี้ไปพักผ่อน”
“รับทราบ อาจารย์!” ชางผิงรีบเดินนำทาง “ท่านทั้งสองเชิญ”
อวิ๋นเจี่ยวลุกขึ้นยืน ในขณะที่กำลังจะลากอาจารย์ปู่จากไป นางก็นึกบางอย่างขึ้นได้ ก่อนจะถามขึ้น “จริงสิ แปลงยาของพวกท่านเกิดอะไรขึ้น” ตอนวันสอบนั้น เจ้าสำนักสวีเหมือนจะบอกว่าเขากำลังยุ่งกับเรื่องของแปลงยา
ชางหยางขมวดคิ้ว ก่อนจะถอนหายใจ พร้อมพูดด้วยสีหน้าเสียดาย “เฮ้อ เรื่องเป็นเช่นนี้ แปลงยาทางหมู่บ้านหลีเจี่ยวนั้นเดิมทีเป็นสถานที่ที่ปลูกสมุนไพรวิเศษของหุบเขาหมอ แปลงยาบริเวณนั้นอุดมไปด้วยพลังลมปราณ เดิมทีปีหน้าจะเก็บเกี่ยวสมุนไพรวิเศษชั้นดีได้ แต่หลายวันก่อน บริเวณนั้นกลับเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่รู้สาเหตุ แปลงยาทั้งหมดพังทลายไปภายในค่ำคืนเดียว ดังนั้นข้าจึงรีบพาลูกศิษย์มุ่งหน้าไปดูว่าสามารถกอบกู้บางส่วนกลับมาได้หรือไม่”
เขายิ่งพูดยิ่งเจ็บใจ สมนุไพรวิเศษบริเวณนั้นล้วนปลูกมาหลายปี มีบางส่วนปลูกมาเป็นเวลานับสิบปีอย่างน้อย สมุนไพรเหล่านั้นสามารถช่วยชีวิตคนในเสวียนเหมินได้จำนวนมาก แต่กลับพังไปในคืนเดียว ไม่เพียงแค่เขา คนทั้งหุบเขาหมอ อีกทั้งเหล่าชาวนาที่ดูแลนั้นล้วนเสียดายอย่างมาก เพียงแต่ความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว พวกเขาก็ทำได้เพียงกอบกู้สุดความสามารถ
สาเหตุที่ตัดสินใจออกเดินทางพรุ่งนี้ ก็เป็นเพราะคำนึงถึงเหล่าสมุนไพรที่กอบกู้มาได้อย่างยากลำบากนั้นต้องเร่งการจัดการ มิเช่นนั้นคงจะเสียเปล่า
“อ่อ” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้าอย่างเข้าใจ ไม่ได้ถามอะไรต่อ ก่อนจะเดินออกจากประตูไป