“อาจารย์ปู่” จนกระทั่งถึงห้องแจก อวิ๋นเจี่ยวถึงได้ถามคนด้านข้างอย่างสงสัย “พลังสีดำพวกนั้นคือ…”
“พลังปีศาจ” เยี่ยยวนพูด
“พลังปีศาจจริงด้วย!” อวิ๋นเจี่ยวตกตะลึง ถึงแม้จะคาดเดาไว้ตั้งแต่แรก แต่เมื่อได้ยินคำตอบก็ยังคงตกใจ เธอเห็นพลังปีศาจอย่างจริงจังคือตอนที่เสิ้งหวนเปิดผนึกเหวปีศาจแดง พลังสีดำที่หลั่งไหลออกมาจากที่นั่นราวกับสามารถจับต้องได้ พลังเหล่านั้นเหมือนกับพลังสีดำที่ถูกเธอใช้ข่ายพลังขับออกมา
“ไม่ต้องกังวล!” เยี่ยยวนมองเธอ ห่อนจะอธิบาย “พวกนั้นเป็นเพียงพลังปีศาจที่หลงเหลืออยู่เท่านั้น มีเพียงคนธรรมดาที่ร่างกายอ่อนแอถึงจะถูกรุกราน หากเป็นลูกศิษย์เสวียนเหมินที่มีพลังจะไม่ถึงขั้นตาย”
“อะไรคือพลังปีศาจที่หลงเหลือ” เธอถาม
“ก็คือลักษณะของพลังปีศาจที่สลาย” เยี่ยยวนพูด “พลังปีศาจที่สลายไม่แตกต่างจากพลังวิญาณหรือพลังมารมาก ไม่มีพิษภัยอะไร”
ความกังวลใจของอวิ๋นเจี่ยวไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย เธอยังคงพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “แต่ว่า…พวกเขาถูกพลังปีศาจที่หลงเหลือได้อย่างไร พลังปีศาจมาจากไหน หรือว่ามาจากเหวปีศาจสีแดง…”
ถึงแม้ผนึกของเหวปีศาจสีแดงจะเปิดออกเพียงมานาน อีกทั้งจื่อเฉินที่ฟื้นขึ้นมานั้นไม่ได้ขยับออกห่างจากตาข่ายพลังแม้แต่น้อย แต่ว่าพลังปีศาจที่ผนึกอยู่ด้านในนั้นรั่วไหลออกมาไม่มากก็น้อย หรือว่าจะเป็นพลังปีศาจเหล่านั้น?
อวิ๋นเจี่ยวยิ่งคิดยิ่งกังวล ก้มหน้าลงครุ่นคิด ร่างกายของเธอหดลงไปไม่น้อย มองดูแล้วราวกับคนทั้งคนตกอยู่ในอาการห่อเหี่ยว
เยี่ยยวนมองดูคนตรงหน้า ศิษย์หลานกำลังเสียใจที่ไม่ได้ปิดผนึกพลังปีศาจได้อย่างทันท่วงที? เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย สงสารศิษย์หลายขึ้นมา เขาไม่อยากเห็นศิษย์หลานในลักษณะเช่นนี้ จึงเอื้อมมือไปลูบหัวของเธอ ดึงความสนใจของเธอกลับมาได้สำเร็จ “ไม่ต้องคิดมาก!”
“อืม?” อวิ๋นเจี่ยวที่ครุ่นคิดอยู่นั้นเงยหน้าขึ้นมา มองไปยังสายตาเป็นห่วงของอีกฝ่าย หมายความว่าอะไร
เขาพูดปลอบใจเสียงต่ำ “ถึงแม้โลกปีศาจและสามโลกจะมีสิ่งกีดขวางที่ไม่อาจก้าวข้ามได้ แต่ปีศาจเกิดจากใจ สรรพสิ่งภายในสามโลกล้วนเป็นปีศาจได้ ไม่เพียงแต่เหวปีศาจสีแดงมีพลังปีศาจ เจ้าไม่ต้องโทษตัวเอง!” ไม่ต้องเสียใจ มีข้าอยู่!
“…” โทษตัวเองอะไรกัน เธอเปล่า!
“เพียงแค่พลังปีศาจเท่านั้น” เยี่ยยวนเดินขึ้นหน้า เอื้อมมือคิดจะรั้งคนเข้ามาในอ้อมกอด “ข้าช่วยเจ้าขับไล่เอง”
“ไม่ใช่ อาจารย์ปู่…” อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจความหมายของตน จึงกดมือของอีกฝ่ายลง ก่อนจะอธิบายอย่างตั้งใจ “ปัญหาไม่ได้อยู่ที่พลังปีศาจ ข้าหมายถึงว่า หากพลังปีศาจเหล่านั้นไม่ได้มาจากเหวปีศาจสีแดง มันจะแย่กว่าเดิม!”
เยี่ยยวนมองดูมือที่ถูกกดลงไปของตนเองด้วยความฉงน “…อืม?”
ศิษย์หลานปฏิเสธการปลอบของเขา!
(⊙_⊙)
“พูดอย่างนี้ เดิมทีพลังปีศาจเป็นสิ่งที่ยากแก่การสลาย” อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้สังเกตถึงความปิดปกติของเขาแม้แต่น้อย เธอยังคงวิเคราะห์อย่างตั้งใจ “ข้าจำได้ว่าในตำราบอกไว้ หากคิดจะสลายพลังปีศาจ นอกจากใช้ข่ายพลังผนึกมันไว้บริเวณใกล้กับแหล่งพลังลมปราณ อาศัยพลังลมปราณค่อยๆ สลายมันทิ้งเหวปีศาจสีแดงเป็นเช่นนี้ เพียงแต่บริเวณนั้นผนึกมาหลายพันปี แต่พลังปีศาจกลับยังไม่สลายไป และไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน นอกจากนี้ยังมีอีกทางคือ…เจ้าของพลังปีศาจนั้นเก็บกลับไปเอง”
“ซึ่งหมายความว่า…” เธอเงยหน้ามองอาจารย์ปู่ สีหน้ายิ่งเคร่งขรึม ก่อนจะพูดขึ้น “หากพลังปีศาจที่หลงเหลือบนตัวคนเหล่านี้ไม่ได้มาจากเหวปีศาจสีแดง เช่นนั้นจึงมีความเป็นไปได้เพียง…มาจากเผ่าปีศาจที่แท้จริง!”
“…”
สักพัก…คนที่ต้องการจะปลอบใจแต่ไร้ผลนั้น ทำได้เพียงตอบกลับมาเพียงคำเดียว
“…อ่อ” เสียใจ!
(︶︿︶)
“อาจารย์ปู่ ไม่คิดอย่างนั้นหรือ”
“แล้วแต่”
“…” แล้วแต่คืออะไร
“เจ้าจะไปไหน”
“ข้าไม่วางใจ จะไปเตือนชางหยางก่อน”
“…”
“อ่อ จริงสิ อาจารย์ปู่เมื่อกี้พูดอะไรนะ”
“ไม่มี!”
“…” เอาเถอะ ท่านสบายใจก็พอ
——————
อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่การรักษาธรรมดาแล้ว หลังจากที่ตระหนักได้ว่าโลกมนุษย์อาจต้องเผชิญกับเผ่าปีศาจ เธอจึงตัดสินใจบอกเรื่องนี้กับชางหยาง
ชางหยางเองก็ตกตะลึง ส่งผลให้ตำราข่ายพลังในมือล่วงลงไปบนพื้น
“ท่าน…ท่าน…สหายอวิ๋น ท่านแน่ใจว่า…เป็นเผ่าปีศาจ?” นี่เป็นสิ่งที่มีเพียงในเรื่องเล่าเท่านั้น!
“ตอนนี้เป็นเพียงแค่การคาดเดาของข้า” อวิ๋นเจี่ยวพูด “ข้ามั่นใจเพียงพลังสีดำบนตัวของคนผู้นั้น คือพลังปีศาจที่หลงเหลือ!”
สีหน้าของชางหยางก็เคร่งขรึมขึ้นมา เขาครุ่นคิดก่อนจะเดินไปข้างโต๊ะหนังสือ จากนั้นหยิบยันต์ส่งสารบนโต๊ะขึ้นมา “ข้าจะแจ้งต่อเจ้าสำนักสวี”
พูดจบก็กระตุ้นยันต์ส่งสาร พร้อมทั้งบอกเล่าเรื่องการคาดเดาของอวิ๋นเจี่ยวกับเจ้าสำนักสวีอีกครั้ง
เจ้าสำนักสวีตาสว่างขึ้นในทันที หากคนอื่นพูด เขาคงต้องคิดทบทวนถึงความเป็นไปได้ แต่ว่า…อวิ๋นเจี่ยวเป็นคนพูด เช่นนั้นไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ก็ต้องส่งคนไปสืบเสียหน่อย
ทั้งสามคนหารือกันถึงแผนการรับมือและการสืบหาเบาะแส จากนั้นชางหยางจึงตัดการส่งสารไป พร้อมหันไปพูดกับอวิ๋นเจี่ยว “สหายอวิ๋น กว่าเจ้าสำนักสวีจะรวบรวมคนได้คงต้องพรุ่งนี้ แต่สถานการณ์ในตอนนี้คับขัน ทางแปลงยานั้นยังมีคนธรรมดาจำนวนมาก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่อง ดูท่าพวกเราคงรอถึงพรุ่งนี้ไม่ได้แล้ว คืนนี้พวกเราเริ่มออกเดินทางกัน”
“ได้!” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า
ชางหยางเดินออกจากประตูไป ก่อนจะเลือกลูกศิษย์มาหลายคนอย่างรวดเร็ว อวิ๋นเจี่ยวอาศัยเวลานี้ วางข่ายพลังขนส่งเชื่อมไปยังหมู่บ้านหลีเจี่ยว
เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว พวกเธอก็มาปรากฏอยู่นอกหมู่บ้านแล้ว อาจเป็นเพราะเวลากลางคืน บริเวณรอบด้านมืดสนิท มองอะไรไม่เห็นแม้แต่น้อย
ชางหยางหยิบยันต์ส่องสว่างออกมา นาทีถัดมาแสงสีขาวส่องประกายขึ้น ทำให้เห็นกระโจมฟางสูงต่ำไม่เท่ากันบริเวณรอบด้าน
“เอ๊ะ! นี่คือใจกลางหมู่บ้าน!” ชางหยางตะลึงเล็กน้อย “ทำไมเงียบสงบเช่นนี้” แม้แต่แสงสว่างก็ไม่มี ทันใดนั้นเขานึกถึงการคาดเดาของอวิ๋นเจี่ยว สีหน้าของเขาซีดเผือดทันที หรือว่า…
เขารีบกำชับลูกศิษย์ด้านหลัง “ตรวจดูบริเวณโดยรอบ ดูว่าในหมู่บ้านมีคนหรือไม่! อย่าออกไปไกลมาก หากมีความผิดปกติรีบกลับมารายงาน”
“รับทราบ!” ลูกศิษย์ทั้งหลายกระจายตัวกันออกไปค้นหาทันที
อวิ๋นเจี่ยวมองไปยังอาจารย์ปู่ข้างตัว เมื่อเห็นเยี่ยยวนส่ายหน้า เธอถึงได้โล่งใจ ดูท่าทางบริเวณใกล้เคียงจะไม่มีเผ่าปีศาจ
ไม่ถึงชั่วครู่ เหล่าลูกศิษย์กลับมารายงาน คนส่วนใหญ่ล้วนไม่เจอคน ในขณะที่กำลังสงสัย ลูกศิษย์คนหนึ่งวิ่งกลับมาอย่างรวดเร็ว “นายท่าย ข้าเห็นแปลงยาทางนั้นมีแสงไฟ!”
แสงไฟ!