ผ่านเรื่องราวการถูกฝูงผีโจมตีในครั้งนี้ อวิ๋นเจี่ยวรู้ถึงความสามารถของตัวเองนั้นช่างน้อยนิด หากไม่ใช่ในสำนักมีอาจารย์ปู่อาศัยอยู่ นางกับชายแก่อาจจะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่แห่งนี้เสียแล้ว เห็นได้ชัดว่าโลกใบนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวแปลกประหลาดทุกทิศทั่วทาง มีความอันตรายมากกว่าโลกที่นางมามากมายนัก
คำโบราณว่าไว้ เรื่องงมงายทำให้คนตาย ตอนนี้นางเพิ่งจะเข้าใจความหมายของประโยคนี้อย่างถ่องแท้ มันทำให้คนตายจริงๆ ด้วย!
นางรู้สึกว่าหากอยากมีชีวิตอยู่ต่อในโลกใบนี้ก็ต้องพัฒนาตัวเอง คำโบราณว่าไว้ ความรู้คือพลัง และแน่นอนว่าความรู้ของนางยังไม่เพียงพอ
ดังนั้นนางจึงรื้อค้นตำราที่เก็บรักษาไว้อย่างดีทั้งหลายในสำนักออกมา รวมไปถึงตำราชั้นสูงที่อาจารย์ปู่ให้เอาไว้ เริ่มต้นศึกษาใหม่อีกรอบอย่างจริงจัง
ร่างกายของนางไม่เหมือนกับคนในโลกนี้ ไม่มีเส้นชีพจรเสวียนก็ไม่สามารถฝึกฝนทางเต๋าได้ อย่างยันต์ที่ชายแก่วาดนั้น นางล้วนวาดลอกเลียนแบบออกมาได้ทั้งหมดก็จริง แต่ว่าผลงานที่วาดออกมานั้นกลับเป็นยันต์เสียที่ไม่มีพลังลมปราณ ดังนั้นอย่าพูดถึงการหล่อหลอมอาวุธ หรือการฝึกวิชาอื่นๆ เลย
นางเหมือนกับเป็นร่างชนวนหนึ่งเดียวในโลกใบนี้ที่ถูกลิขิตมาแล้วว่าไม่มีวาสนาในการฝึกฝน อาจารย์ปู่พูดไว้ไม่ผิด หมอรักษาพลังลมปราณเป็นตัวเลือกเพียงหนึ่งเดียวที่ดีที่สุดสำหรับนาง
หมอรักษาพลังลมปราณแท้จริงแล้วก็คือหมอรักษานักพรต คอยรักษาบาดแผลที่เกิดจากการถูกเหล่าผีปีศาจทำร้าย หรืออุบัติเหตุที่เกิดจากการฝึกฝน หรือพูดง่ายๆ ว่าเป็นการรักษาโรคภัยไข้เจ็บของคนที่ไม่ปกติโดยเฉพาะ
อีกทั้งการรักษาของหมอรักษาพลังลมปราณนั้นอาศัยวิชาทางการแพทย์ และการวิเคราะห์โรคที่ถูกต้อง ถึงแม้ต้องใช้พลังลมปราณด้วย แต่ส่วนใหญ่สามารถใช้เครื่องมือแทนได้
นางเป็นหมออยู่แล้วในเดิมที การรักษาคนป่วยช่วยชีวิตคนเป็นเรื่องที่นางถนัด ถึงแม้วิธีการรักษาของหมอรักษาพลังลมปราณกับที่นางเรียนมาไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย แต่หลักการบางส่วนยังมีสิ่งที่เหมือนกันอยู่
เดิมนางคิดว่าหมอรักษาพลังลมปราณคล้ายกับแพทย์แผนจีน ยาที่ใช้ในการรักษาทั้งหมดล้วนเป็นยาสมุนไพร อวิ๋นเจี่ยวยังเคยกังวลว่าตนเองเรียนแพทย์ตะวันตกมา ความถนัดจะไม่เหมือนกัน จนกระทั่งนางได้เห็นใบสั่งยาถึงได้พบว่า ไม่เหมือนกับแพทย์แผนจีนแม้แต่นิดเดียว ตำราเหล่านี้ล้วนพูดถึงเรื่องของค่าของพลังสมุนไพร และวิธีการรักษา ซึ่งเป็นสิ่งที่นางไม่เคยได้ยินมาก่อนทั้งสิ้น อีกทั้งไม่อยู่ในหมวดใดหมวดหนึ่งของสิ่งที่นางรู้ด้วยซ้ำว่า
ทันใดนั้นนางก็เข้าใจทันที การแพทย์ของโลกใบนี้แตกต่างจากโลกของนางโดยสิ้นเชิง นั่นก็หมายความว่า แพทย์แผนจีนนั้นใช้กับที่นี่ไม่ได้เหมือนกัน นางต้องเรียนใหม่ตั้งแต่เริ่มต้น
ยังดีที่อาจารย์ปู่คนนี้เป็นอาจารย์ที่ผ่านเกณฑ์เป็นอย่างมาก ตำราที่ให้มาก็ละเอียด อาจเป็นเพราะการบ้านคาถาเสวียนซินที่นางส่งขึ้นไปก่อนหน้านี้ ตำราที่ให้มานั้นจึงรวมไปถึงความรู้พื้นฐานมากมาย อย่างเช่นภาพของเส้นชีพจรเสวียน วิธีการใช้พลังลมปราณ การใช้จุดต่างๆ บนร่างกายเป็นต้น
อวิ๋นเจี่ยวศึกษาอย่างลึกมาสักพัก ก็พอจะเข้าใจระบบการแพทย์ของหมอรักษาพลังลมปราณเบื้องต้นบ้างแล้ว
หมอรักษาพลังลมปราณแท้จริงแล้วแบ่งออกเป็นสี่ระดับได้แก่ หมอรักษากาย หมอรักษาใจ หมอรักษาพลังเสวียน และหมอรักษาวิญญาณ เล่าลือกันว่าหมอรักษากายรักษาบาดแผล หมอรักษาใจรักษาคนตายให้ฟื้นคืนชีพ หมอรักษาพลังเสวียนสามารถสื่อสารกับเทพ และหมอรักษาวิญญาณรวมฟ้าดิน
สโลแกนฟังดูแล้วเจ๋งเป็นอย่างมาก แต่อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกว่าความแตกต่างนั้นก็เหมือนกับแพทย์ฝึกหัด แพทย์อย่างเป็นทางการ แพทย์รักษาหลัก และผู้อำนวยการแพทย์เท่านั้น แต่ยิ่งเรียนรู้มากขึ้นเท่าไร นางก็ยิ่งรู้สึกว่าความรู้และหลักการต่างๆ ของทั้งสองโลกนั้นสอดคล้องกัน สามารถเชื่อมโยงทั้งสองฝั่งเข้าด้วยกันได้
เพื่อแยกความแตกต่างระหว่างสองฝั่ง นางจึงจัดการแยกประเภทใหม่ ตำราเกี่ยวกับหมอรักษาพลังลมปราณและตำราที่อาจารย์ปู่ให้มาอีกรอบ จนกลายเป็นชุดตำรา “คำอธิบายความแตกต่างระหว่างแพทย์แผนจีนและตะวันตกกับหมอรักษาพลังลมปราณอย่างละเอียด” และ “แผนการรักษาที่สามารถรักษาได้สำหรับโรคภัยไข้เจ็บแต่ละประเภท” แต่การศึกษาของนางทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในขั้นตอนของหลักการ ขาดแคลนการฝึกฝนในสถานการณ์จริง
มีเพียงได้ลงมือทำจริง อวิ๋นเจี่ยวถึงได้มีความมั่นใจว่าได้เข้าสู่วงการหมอรักษาพลังลมปราณอย่างแท้จริง อีกทั้งอยากจะเรียนรู้ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ คงต้องมีการศึกษาให้ลึกมากกว่าเดิม
การศึกษาของนางในครั้งนี้ กินเวลาไปกว่าสามเดือนเต็ม
ไป๋อวี้เห็นตำราบนชั้นวางที่ถูกผีสาวทำลายไปจนเหลือเพียงแค่หลายสิบเล่มนั้นกองมากขึ้นตามกาลเวลาที่ของเจ้าหนูอวิ๋นเจี่ยวศึกษาด้วยตาตัวเอง เพียงแค่ไม่กี่เดือนชั้นวางนั้นก็วางเต็มไปด้วยตำรามากมาย อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่าตำราจะล้นออกมาด้วย
นอกจากนี้ตำราเหล่านี้ยังไม่ใช่ซื้อมา และไม่ใช่อาจารย์ปู่มอบให้ แต่เป็นตำราที่อวิ๋นเจี่ยวเขียนออกมาทีละเล่ม ไป๋อวี้เคยที่จะเปิดอ่อนบ้างในบางครั้ง แต่ก็วางกลับคืนไปในทันที
เขามีเพียงความรู้สึกเดียวคือ เวียนหัว!
ถึงแม้ในตำราของเจ้าหนูไม่มีพลังอยู่ ซึมซับไม้ได้ก็ไม่ถึงกับจะทำร้ายจิตเดิม แต่ถึงกระนั้นก็ทำร้ายดวงตาของเขา ตัวอักษรแต่ละบรรทัดนั้นล้วนแต่เป็นตัวอักษรและสัญลักษณ์ที่อ่านไม่เข้าใจ เพียงแค่กวาดตามองก็รู้สึกลายตา ไม่รู้ว่าเจ้าหนูเขียนออกมาได้อย่างไร และยังมีแนวโน้มว่าจะเขียนเพิ่มต่อไป
“เจ้าหนูยังอ่านตำราอยู่เหรอ!” ไป๋อวี้นึกว่านางถูกผีสาวทำให้กลัว ใจร้อนอยากเรียนวิชาเพื่อป้องกันตัว จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากปราม “การฝึกฝนไม่ควรเร่งรีบ ข้ารู้ว่าผีสาวพวกนั้นน่ากลัวไปบ้าง แต่เรายังมีอาจารย์ปู่อยู่นะ”
เขาตบไปที่ไหล่ของนาง พร้อมเอ่ยด้วยสีหน้าใสซื่อ “มีท่านอยู่ อย่าว่าแต่ผีนับร้อย ปีศาจนับร้อยก็ไม่กลัว เอาเวลาที่นั่งอ่านไปต้มน้ำแกงให้อาจารย์ปู่กินดีกว่า จริงสิ!” เหมือนจะคิดอะไรขึ้นได้ เขาเอ่ยเสริม “นี่มันกี่ยามกันแล้ว จะกินมื้อเที่ยงหรือยัง”
อวิ๋นเจี่ยวมองเขาทีหนึ่ง อยากจะส่งสายตาดูถูกให้เขาสักที แต่ก็ส่งออกไปไม่สำเร็จทุกครั้งเพราะว่าใบหน้าของนางยังคงเป็นสีหน้าจริงจังอยู่อย่างนั้น สุดท้ายนางจึงทำได้เพียงหันหน้ากลับมา ไม่สนใจคนซื่อบื้อ ตรงหน้า
“ข้าพูดจริงนะ อีกอย่างเจ้าศึกษาพวกนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร!” ไป๋อวี้เห็นว่านางไม่สนใจเขา ยิ่งพูดมากขึ้น เอ่ยด้วยเสียงทุ้ม “เจ้าหนู ไม่ใช่ว่าข้าดูถูกเจ้า ถึงแม้หมอรักษาพลังลมปราณจะเป็นสิ่งที่ทุกคนล้วนชื่นชมศรัทธา แต่ในเสวียนเหมินเองก็มีเพียงไม่กี่คน หมอพลังลมปราณทำได้เพียงรักษาคนเท่านั้น แต่ไม่สามารถขับไล่ผีปีศาจได้ อีกทั้งเจ้ายังไม่อาจศึกษาวิชาเสวียนได้ หากจะศึกษาเป็นหมอรักษาพลังลมปราณเพื่อไล่ผีคงจะต้องผิดหวัง หากเราเจอเหตุการณ์เหมือนครั้งก่อนอีกก็คงไม่สามารถต่อสู้กับพวกมันได้อยู่ดี”
อวิ๋นเจี่ยวชะงักมือ ก่อนจะวางตำราลง หันหน้าไปมองไป๋อวี้อย่างจริงจัง “เรื่องนี้ข้าคิดไว้อยู่แล้ว”
“ใช่นะสิ เจ้าศึกษา…ฮะ?” ไป๋อวี้ชะงัก “เจ้าคิดไว้อยู่แล้ว? งั้นเจ้า…” ยังขยันศึกษาเช่นนี้ทำไมกัน
“ดังนั้นข้าจึงได้คิดแผนสำรองเอาไว้” นางจ้องมองเขาตรงๆ
ไป๋อวี้ถูกนางจ้องจนรู้สึกเย็นวาบขึ้นที่หลัง ถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว “แผน…อะไร”
“ข้าไม่มีเส้นชีพจรเสวียน ไม่อาจศึกษาวิชาเสวียนได้อยู่แล้ว แต่ว่า…” นางกวาดตามองเขาจากบนลงล่าง “ท่านมี!”
“…ข้า?” รู้สึกแปลกพิลึก
“จริงสิ ข้าลืมบอกท่าน ครั้งก่อนข้าขอคาถาเสวียนมาจากอาจารย์ปู่” พูดจบนางก็หันหลังไปหยิบตำราหลายเล่มจากบนโต๊ะ ยัดใส่มือเขาทีละเล่มๆ “นี่คือ ‘คาถาใช้ผี’ นี่คือ ‘คาถาฟ้าประทาน’ นี่คือ ‘คาถาเกิดใหม่’ นี่คือ…”
“…”
นางแนะนำทีละเล่ม เมื่อส่งให้เขาเสร็จก็หันกลับไปยังชั้นวางตำราที่เต็มไปด้วยตำรามากมาย ขนออกมาทีละกองๆ “รู้ว่าความสามารถในการรับรู้ของท่านมีจำกัด หลายวันนี้ข้าใช้เวลาในการจัดเตรียมตำราอธิบายอย่างละเอียดให้ท่าน ท่านน่าจะอ่านได้เข้าใจ”
“…”
“อ่อ จริงสิ ด้านล่างของชั้นวางตำราด้านข้างยังมีตำราอธิบายความรู้และตัวอย่างอย่างง่ายด้วย หากท่านอ่านไม่เข้าใจ ก็ไปพลิกดู”
“…”
“ท่านพูดถูก หมออย่างข้าไม่มีพลังในการต่อสู้อะไร ครั้งต่อไปหากมีอันตรายก็คงต้องพึ่งท่านแล้ว”
“…”
“วางใจได้ ตำราไม่เยอะมาก ก็แค่ยี่…สาม…สี่สิบ…เอ่อ ก็แค่ครึ่งชั้นวางตำราเท่านั้น ท่านรีบศึกษาเถอะ เวลาสามเดือนก็คงเพียงพอแล้ว”
“…”
“ข้าบอกกับอาจารย์ปู่ไว้แล้ว สามเดือนหลังจากนี้อาจารย์ปู่จะมีบททดสอบหนึ่งให้ท่าน วางใจได้ เป็นเพียงบททดสอบรายเดือนเล็กๆ เท่านั้น ง่ายนิดเดียว”
“…”
“ตั้งใจศึกษา ข้าไว้ใจท่าน!”
“…” เอ็มเอ็มพี!
อยากลาออกจากสำนักรายวัน!
[1] เอ็มเอ็มพี หมายถึง อักษรย่อยอดนิยมที่ใช้บนอินเทอร์เน็ตของชาวจีน ซึ่งเป็นคำด่าในภาษาท้องถิ่นจีนเสฉวน