ตั้งแต่ได้เรียนรู้ว่าการฝึกฝนมันเผาเงินได้มากขนาดไหนแล้ว อวิ๋นเจี่ยวก็รู้สึกถึงปัญหาทางการเงินอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นอาวุธ ธงข่ายพลัง หรือว่ายาสมุนไพรวิเศษ แต่ละอย่างล้วนต้องใช้เงินหลักสิบตำลึง เช่นดายไม้ท้อที่พบบ่อยและถูกที่สุดที่ศิษย์เสวียนเหมินส่วนใหญ่มี ราคาที่ต่ำที่สุดก็ต้องมีหลายร้อยตำลึงขึ้นไป อาวุธชั้นสูงยิ่งไม่ต้องพูดถึง แล้วยิ่งเป็นยาที่สำหรับจำหน่ายให้เศรษฐีเช่นนี้ด้วย หากใช้ทรัพย์สมบัติของสำนักชิงหยางของพวกเขา แค่กลิ่นของยายังไม่สามารถดมได้
อวิ๋นเจี่ยวเป็นหมอรักษาพลังลมปราณ ไม่มีเส้นชีพจรเสวียน ดังนั้นสิ่งของเหล่านี้โดยทั่วไปก็ไร้ประโยชน์ แต่สู้ในอารามนั้นมีสัตว์กลืนทองอยู่ ในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ นางเห็นว่าการฝึกฝนของตาแก่ถึงทางตัน จำเป็นต้องฝึกฝนให้มากขึ้นถึงจะฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ นางเห็นว่าของในอารามจะหมดแล้ว หากยังหาเงินไม่ได้อีก ตาแก่ต้องกลายเป็นหมอผีไปชั่วชีวิตแน่
อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกอาจเป็นเพราะนางขโมยกระเป๋าสตางค์ของคนเมื่อชาติก่อน ดังนั้นจึงทำให้ชาตินี้ เมื่อใดที่นางได้พบกับหญิงแก่ชายแก่ นางก็จะตกอยู่ในความเสี่ยงจากการล้มละลาย แล้วนางยังไม่สามารถทอดทิ้งได้อีก นอกจากสัตว์กลืนทองแล้ว ในอารามยังมีปีศาจกระบอกไม้ไผ่อีกด้วย!
โชคดีที่เซ่าเซี่ยนมีความน่าเชื่อถือมากกว่าบิดาที่ขายลูกชายของตนเอง เขามอบตั๋วเงินให้พวกเขาอย่างง่ายดาย เมื่อเห็นว่าฟ้ามืดแล้วพวกเขาจึงต้องอาศัยในบ้านของตาโจวเป็นการชั่วคราวอีกหนึ่งคืน แล้วค่อยกลับอารามในวันพรุ่งนี้
ช่วงนี้อาจารย์ปู่ไม่รู้ว่าอารมณ์ไม่ดีมาจากไหน เอาแต่หลบอยู่ในกระบอกไม้ไผ่ไม่ยอมออกมา แต่ก่อนยังมาปรากฏตัวทุกสามมื้อ และคอยให้คำชี้แนะการฝึกฝนของพวกเขา แน่นอนว่าส่วนใหญ่ชี้แนะตาแก่ แต่ตอนนี้เหมือนกับกลายเป็นกระบอกไม้ไผ่ธรรมดา ไม่มีการเคลื่อนไหวใดเลย อีกทั้งอาหารทุกมื้อยังต้องให้พวกเขาใส่ลงในกระบอกไม้ไผ่ ไม่ทำก็ไม่ได้ นอกจากนี้ยังต้องใส่ให้เร็วด้วย มิฉะนั้นเขาจะร่ายคาถาให้สิ่งของเหล่านั้นลอยเข้าไปยังด้านในเอง
อาหารทุกอย่างบนโต๊ะราวกับมีการตกลงกัน บินเข้าไปในกระบอกไม้ไผ่โดยปริยาย ฉากเหนือธรรมชาติแบบนี้ช่างระทึกใจ อีกทั้งพวกเขายังไม่สามารถอธิบายได้อีก จะให้บอกคนอื่นว่ามีปรมาจารย์ซวนเหมินอยู่ในกระบอกไม้ไผ่หรือไง
“พี่ไป๋ กระบอกไม้ไผ่ของพวกท่านช่างวิเศษหรือจะเป็นของวิเศษอะไร?” เมื่อเห็นไป๋อวี้เทน้ำแกงสามชามใหญ่ลงไป ตาโจวที่นั่งอยู่ด้านข้างเขาก็สังเกตเห็นถึงสิ่งผิดปกติ กระบอกไม้ไผ่ขนาดเท่าฝ่ามือทำไมถึงได้ใส่ลงไปได้มากเช่นนั้น
ทันใดนั้น ไป๋อวี้ตัวแข็งทื่อ เขารีบจนลืมไปว่านี่คือบ้านของตาโจว ใบหน้าของเขาซีดขาวขึ้น และหันไปมอง อวิ๋นเจี่ยวที่นั่งอยู่ด้านข้าง “นี่…นี่เป็นกระบอกไม้ไผ่ของนังหนู” ผลักภาระออกไปได้สำเร็จ
อวิ๋นเจี่ยวชะงักมือที่ถือตะเกียบ “…” เอ็มเอ็มพี!
หันไปมองตาโจว สีหน้ายังคงดูจริงจังไม่เปลี่ยนแปลง นางตอบด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “นี่เป็นของวิเศษอย่างที่ท่านว่า แต่ใช้ฉพาะสำหรับการเก็บของเท่านั้น พรุ่งนี้เป็นวันที่พวกเราจะกลับอาราม ต้องเดินทางนาน ดังนั้นจึงเริ่มเตรียมอาหารแห้งไว้แต่เนิ่นๆ” นางพูดเหลวไหลด้วยสีหน้าจริงจัง
“อ้อ ที่แท้ก็เช่นนี้เอง” ตาโจวพยักหน้าอย่างเข้าใจ ไม่ได้คิดเลยว่าทำไมปากบอกว่าเตรียมอาหารแห้ง แต่กลับเทเป็นน้ำแกงลงไป เขาพูดกับอวิ๋นเจี่ยวด้วยความซาบซึ้งและชื่นชมว่า “สหายอวิ๋นมีความสามารถเช่นนี้ทั้งที่อายุยังน้อย ถึงขั้นสามารถทำลายข่ายพลังร้อยผีได้ เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมเสียจริง ไม่รู้ว่าท่านเป็นเทียนซือตำลึงที่เท่าไร”
“ตำลึง?” อวิ๋นเจี่ยวผงะไปครู่หนึ่ง หมายความว่าอย่างไร
ตาโจวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหัวและพูดว่า “เฮ้อ ดูสายตาข้าสิ ด้วยความสามารถของท่าน น่าจะได้เลื่อนขั้นเป็น ‘ดอกไม้’ ไปแล้ว”
“ดอกไม้?” อวิ๋นเจี่ยวหันไปตาแก่ อธิบายหน่อย
ไป๋อวี้เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ รีบพูดขึ้นว่า “ตาโจว ข้ายังไม่ได้พานังหนูไปขึ้นทะเบียนเลย!”
“อะไรนะ!” ตาโจวเบิกตากว้างด้วยแววตาไม่เชื่อ และมองดูเขาด้วยความติเตียน “ตาไป๋ เจ้าทำเช่นนี้ก็ไม่ถูกต้องแล้วนะ เจ้าต้องการซ่อนศิษย์ที่เก่งกาจเช่นนี้ตลอดไปหรือไง ขนาดสำนักเทียนซือยังไม่ได้พานางไป หากเป็นตัวเจ้าเองยังไม่สำคัญเท่าไร แต่หากพวกเจ้าออกจากเขตของเมืองนี้ ศิษย์เสวียนเหมินที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนจะออกมาเป็นขับไล่ปีศาจและขับไล่วิญญาณชั่วร้ายเอง จะถูกเสวียนเหมินขับไล่ นี่เจ้ากำลังทำลายอนาคตนางนะ”
“นี่ข้าบอกว่ายังไม่มีเวลาไม่ใช่หรือไง?” ใบหน้าของไป๋อวี้มีสีหน้าอับอาย เขาก็ไม่ได้คาดคิดว่านังหนูจะเรียนรู้ได้เร็วขนาดนี้ “เดิมทีข้าตั้งใจจะพานางไปตอนต้นปีหน้าพร้อมกัน”
ตาโจวถึงได้พยักหน้า “อืม ต้นปีถือเป็นช่วงเวลาที่ดี เมื่อตอนนั้นศิษย์ใหม่จากทุกสำนักจะไปขึ้นทะเบียน บางทีนางอาจจะได้อันดับที่ดี”
“ขึ้นทะเบียนคืออะไร?” อวิ๋นเจี่ยวอดไม่ได้ที่จะถาม
“ขึ้นทะเบียนก็คือ…” ตาโจวหันไปมองนาง และเริ่มเผยแพร่ความรู้ด้วยเสียงที่ลึกล้ำ “ศิษย์เสวียนเหมินทุกคนต้องไปที่สำนักเทียนซือ ผ่านการทดสอบของสำนักเทียนซือถึงจะได้ขึ้นทะเบียน เฉพาะผู้ที่ขึ้นทะเบียนแล้วเท่านั้นที่สามารถอ้างตัวว่าเป็นศิษย์เสวียนเหมินและรับภารกิจในการขับไล่วิญญาณชั่วร้ายและปีศาจ เช่นนี้ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นศิษย์เสวียนเหมินที่แท้จริง”
อวิ๋นเจี่ยวตกตะลึง กล่าวอีกนัยหนึ่งสำนักเทียนซือก็คือองค์กรรับรองอย่างเป็นทางการของเสวียนเหมิน และยังเป็นประเภทที่ต้องผ่านการทดสอบอีกด้วย
“พวกท่านขึ้นทะเบียนแล้ว?” นางถาม
ใบหน้าของทั้งสองเริ่มแข็งทื่อ ก่อนที่ตาแก่จะกระแอมไอขึ้นมาหนึ่งที “แค่ก คือ…นังหนู บททดสอบของ สำนักเทียนซือเข้มงวดมาก โดยทั่วไปแล้วยากที่จะผ่าน แต่เราเพียงขับไล่วิญญาณชั่วร้ายอยู่ในเมืองนี้เท่านั้น มันจึงไม่ถือเป็นการฝ่าฝืนกฎ”
“…” ที่แท้พวกท่านทั้งคู่ก็เป็นแรงงานผิดกฎหมายนี่เอง “แล้วกี่ตำลึงกับดอกไม้ที่ท่านพูดถึงคืออะไร”
“นั่นคือการประเมินความสามารถส่วนตัวของสำนักเทียนซือ!” ตาโจวพูดทุกอย่างที่ตนเองรู้ให้นางฟัง
การฝึกฝนวิชาเสวียนแบ่งออกเป็นสี่ขั้นตอน: สวรรค์ ปฐพี เสวียน และจักพรรดิ ว่ากันว่าหลังจากบรรลุขั้นสวรรค์แล้วสามารถหลุดพ้นกายเนื้อ และไปสู่ความเป็นอมตะได้ แต่โลกนี้ไม่ได้เห็นนักพรตคนไหนสามารถบรรลุขั้นสวรรค์ไปได้มานานแล้ว การจัดอันดับของสำนักเทียนซือขึ้นอยู่กับระดับความสามารถของแต่ละคน และคนคนนั้นจะได้รับสัญลักษณ์ที่แสดงสถานะของตน
ระดับจักพรรดิเป็นเหรียญทองแดง ต่ำสุดคือระดับจักพรรดิขั้นแรก รองลงมาคือระดับจักพรรดิขั้นสอง ไล่ตามลำดับไป
เทียนซือระดับเสวียนจะมีรอยปักรูปดอกไม้แบบพิเศษที่ปกคอ หากมีหนึ่งดอกคือระดับเสวียนขั้นแรก หากมีสองดอกคือระดับเสวียนขั้นสอง ไล่ตามลำดับไป
ระดับปฐพีคือหยก ซึ่งใช้ระดับความสมบูรณ์ของหยกเป็นตัวแสดง หากเป็นเสี้ยวคือระดับปฐพีขั้นแรก หากเป็นพระจันทร์เต็มดวงจะเป็นระดับปฐพีขั้นสิบโดยปริยาย
สำหรับระดับสวรรค์ เนื่องจากยังไม่มีผู้ฝึกฝนระดับสวรรค์ จึงไม่รวมอยู่ในการจัดอันดับ
สำนักเทียนซือรับผิดชอบในการรับและมอบหมายภารกิจทั้งหมดของเสวียนเหมิน หากเจออะไรก็ตามที่เป็นเรื่องแปลกประหลาดผิดธรรมชาติ สามารถไปที่สำนักเทียนซือเพื่อขอความช่วยเหลือได้ สำนักเทียนซือจะแจกจ่ายภารกิจให้กับเทียนซือที่ขึ้นทะเบียน และมีความสามารถที่สอดคล้องกับความรุนแรงของเรื่องที่ถูกไหว้วาน ศิษย์เสวียนเหมินสามารถเลือกได้อย่างอิสระว่าจะรับภารกิจหรือไม่ หากคิดว่าตนเองมีความสามารถเพียงพอในการรับภารกิจด้วยตัวเอง สำนักเทียนซือก็ไม่ได้ห้าม
เช่นเดียวกับเรื่องของท่านเซ่า เขาสามารถไปขอความช่วยเหลือได้ที่สำนักเทียนซือ แต่เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต เขาจึงได้คัดเลือกศิษย์เสวียนเหมินมาขับไล่วิญญาณชั่วร้ายเป็นการส่วนตัว
หากศิษย์เสวียนเหมินมีปัญหาอะไรในขณะที่ขับไล่ปีศาจ พวกเขาสามารถขอความช่วยเหลือจากสำนักเทียนซือได้ สำนักเทียนซือจะเป็นผู้จัดการเอง นักพรตชุดฟ้าที่เสนอให้ส่งฝูงผีไปยังสถานที่ที่ส่งวิญญาณได้ ที่นั่นก็คือสำนักเทียนซือ
[1] เอ็มเอ็มพี หมายถึง อักษรย่อยอดนิยมที่ใช้บนอินเทอร์เน็ตของชาวจีน ซึ่งเป็นคำด่าในภาษาท้องถิ่นจีนเสฉวน