อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกว่านางอาจจะถูกเจ้าสัตว์ตัวเล็กรังควานเข้าให้แล้ว ตั้งแต่รักษาหมาป่าขนเทาและหมีแพนด้าไป เจ้าจิ้งจอกตัวน้อยคิดว่าที่นี่เป็นโรงพยาบาลสัตว์ สองสามวันมาทีหนึ่ง ตอนแรกก็พาสัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บอย่างหมาป่า หมีแพนด้า แต่พอหลังๆ มามีแม้กระทั่งสัตว์ที่ตั้งท้อง ท้องร่วง ขนร่วง หัวโล้น… ล้วนพามาหาหมด มันชักจะมากเกินไปแล้ว
อวิ๋นเจี่ยวคำนึงถึงเรื่องนี้ คงต้องหากวิธีอะไรบางอย่างแล้ว มิฉะนั้นเวลาของนางคงจะพอที่แค่รักษาเพื่อนของเจ้าจิ้งจอกน้อย
“นี่อะไร?” อาจารย์ปู่ที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น หยิบยาเม็ดสีดำขึ้นมาบนโต๊ะขึ้นมาดมด้วยความสงสัย
“แค่ยาเม็ดสำหรับกิน” อวิ๋นเจี่ยวตอบไปปั้นยาไป
“สำหรับกิน?” เยี่ยยวนขมวดคิ้ว อ้าปากเตรียมจะยัดเข้าไป
“เดี๋ยวนะ มันกินไม่ได้!” อวิ๋นเจี่ยวตกใจ นางคว้ายาเม็ดกลับอย่างรวดเร็ว อย่าคิดว่านางเป็นคนทำจะยัดเข้าปากได้ทุกอย่าง! อย่างน้อยก็เป็นถึงปรมาจารย์แห่งชิงหยาง ทำไมถึงได้เสียสติทันทีที่เจอของกิน?
“ยาพวกนี้มีไว้สำหรับเจ้าจิ้งจอกน้อย คนจะกินมั่วไม่ได้”
“จิ้งจอก?” เยี่ยยวนขมวดคิ้ว ไม่พอใจเล็กน้อย ทำไมต้องเตรียมให้เจ้าจิ้งจอก ไม่เตรียมให้เขา? เขาหยิบขึ้นมาพินิจใหม่ “ก็แค่สมุนไพรธรรมดา อีกทั้งยังไม่ได้ผ่านการสกัด แม้แต่พลังลมปราณอันน้อยนิดในนั้นก็ไม่สามารถกระตุ้นได้ ยานี้มีประโยชน์อย่างไร?”
“นี่ไม่ใช่ยาอายุวัฒนะ มันเป็นแค่ยาแผนโบราณธรรมดา” อวิ๋นเจี่ยวอธิบายด้วยน้ำเสียงทุ้ม
“มันสามารถรักษาโรคไข้หวัดหรือลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวดได้เท่านั้น ต่อไปพวกโรคเล็กน้อย เช่น ผมร่วงหรือแผลเล็กๆ เจ้าจิ้งจอกจะได้ไม่ต้องมาหาข้าทุกครั้ง” ไม่อย่างนั้นถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปนางได้กลายเป็นสัตวแพทย์จริงๆ แน่
“อืม” เยี่ยยวนพยักหน้า เมื่อเห็นท่าทางที่นางปั้นยา ก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกเพื่อหยิบยาที่นางบดเสร็จ และทำตามท่าทางของอวิ๋นเจี่ยว ถูไปถูมา ยาเม็ดกลมเม็ดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือ
เขาตกตะลึง นาทีถัดมาดวงตาของเขาเป็นประกายราวกับค้นพบโลกใหม่ เขาวางยาเม็ดในมือลง และหยิบยาขึ้นมาปั้นอีกครั้งด้วยความตื่นเต้น ในเวลาไม่นาน ด้านขวาของเขาก็เต็มไปด้วยยาเม็ดขนาดเล็กวางเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ
อวิ๋นเจี่ยว: “…”
เขาคงไม่…กำลังสนุกการปั้นยาใช่ไหม?
อวิ๋นเจี่ยวมองดูยาเม็ดที่อาจารย์ปู่ปั้นออกมา ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาเป็นเทพ หรือเพราะเขาไม่ได้ล้างมือ ยาเม็ดที่เขาปั้นส่องแสงสีขาวจางๆ ขึ้นมา
มองดูคนที่ดูเหมือนจะพบของเล่นชิ้นใหม่อีกครั้ง เขาทำเร็วกว่านางอย่างมาก แป๊บเดียวความคืบหน้าก็เกินครึ่ง อดไม่ได้ที่จะถาม “อาจารย์ปู่ เมื่อก่อน…ไม่เคยทำยาแบบนี้เหรอ” ทำไมดูสนุกขนาดนี้
“อืม” เขาพยักหน้า ยิ่งปั้นเร็วขึ้น “เมื่อก่อนแค่ทำปรุงยาเท่านั้น” คิดไปคิดมา กลัวว่านางไม่เข้าใจ จึงกล่าวเสริมว่า “แบบไม่ต้องปั้น”
“ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ปู่ปกติทำอะไรอยู่ใรอาราม” อวี๋นเจี่ยวถามอย่างนุ่มนวล
“นอน ฝึกฝน”
“แล้วตอนไม่นอนละ”
เยี่ยยวนขมวดคิ้วราวกับนึกอะไรที่น่ารำคาญขึ้นได้ เขาพูดด้วยใบหน้ารังเกียจ “สอนศิษย์ที่โง่เขลาพวกนั้น” สู้หลับต่อดีกว่า
อวิ๋นเจี่ยวตกตะลึง ทันใดนั้นนางพูดอย่างคาดเดาว่า “อาจารย์ปู่ ท่านไม่เคยออกไปข้างนอกด้วยตัวเองใช่ไหม” ติดบ้านขนาดไหน?
“เคยออกไปหาคนอยู่ครั้งหนึ่ง” ดูเหมือนเขาจะนึกถึงความทรงจำไม่ดีบางอย่างขึ้นมา คิ้วของเขาเกือบจะผูกเป็นปม เหลือเพียงแค่ “ประสบการณ์เลวร้าย” เขียนบนใบหน้าเท่านั้น
“หลังจากนั้นละ?”
“หลังจากนั้น คนในสำนักขอให้ข้าอยู่คุ้มครองอาราม คนธรรมดาส่วนที่มาในอารามนั้นโง่เขลา เลวร้ายกว่าศิษย์ในอารามเสียอีก ดังนั้นข้าจึงทำตามคำขอของพวกเขา นอกจากนี้พวกภายนอกล้วนไม่ได้เก่งกาจอะไร ดังนั้นข้าจึงไม่จำเป็นต้องออกไป” เขาตอบอย่างจริงจัง
“…” ดังนั้น… ท่านก็ไม่ออกไปเลยจริงๆเหรอ?
ไม่น่าเขาถึงดูสนใจการปั้นยาเม็ดขนาดนี้ ท่าทางราวกับไม่เคยเห็นโลกภายนอก ที่แท้ก็ไม่เคยเห็นจริงๆ
อวิ๋นเจี่ยวไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เห็นได้ชัดว่าศิษย์พวกนั้นหลอกเขา จุดประสงค์คือเพื่อให้เขาอยู่แต่ในอาราม สำหรับเหตุผลว่าทำไม นางคิดว่าคงเป็นเพราะอาจารย์ปู่ชอบแจกจ่ายตำราคาถาต่างๆ
แต่พอคิดดูแล้ว นางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ “ข้าได้ยินตาแก่พูดว่าท่านกลายเป็นเซียนแล้ว ทำไมท่านถึงอาศัยอยู่อาราม แทนที่จะไปสวรรค์”
เยียยวนชะงักมือที่กำลังปั้นยาไปครู่หนึ่ง และรอยย่นระหว่างคิ้วก็ลึกขึ้นเล็กน้อย ก่อนเขาจะกล่าวว่า “สวรรค์ไม่ใช่ที่ที่ดี สำหรับข้า ไม่ว่าจะโลกมนุษย์ สวรรค์ หรือนรกก็ไม่มีความแตกต่าง” อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน
“…” ท่านก็แค่ติดบ้านมั้ง ใช่แน่! พอติดบ้านจนเคยชินแล้ว ก็เลยไม่อยากย้ายไปสวรรค์
แต่ยิ่งเยี่ยยวนคิดถึงเหล่าศิษย์แต่ก่อนมากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกโง่มากขึ้นเท่านั้น มองย้อนกลับไปที่อวิ๋นเจี่ยว เขาก็รู้สึกสงบขึ้น เขาบีบยาเม็ดในมือแล้วเสนอว่า “เจ้าอยากเรียกวิชาหลอมยาหรือไม่?”
“หลอมยา?” อวิ๋นเจี่ยวตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง พลางคิดไปถึงหมอรักษาพลังลมปราณที่นางกำลังศึกษาอยู่ตอนนี้ แม้ว่าจะไม่มีวิชาเกี่ยวกับยา แต่ถ้าพบอาการที่ซับซ้อนกว่านี้ ก็ยังต้องใช้ยาในการช่วยรักษา ถ้ารู้วิธีหลอมยาจะสะดวกกว่า เพราะยากับการรักษาเป็นตระกูลเดียวกัน
เมื่อเห็นว่านางไม่ตอบ เยี่ยยวนจึงอธิบายอย่างจริงจังว่า “ยานั้นไม่จำเป็นต้องปั้น”
“…” คิดว่านางคือเขาเหรอ? ชอบปั้นยา
อวิ๋นเจี่ยวเอือมระอา ก่อนที่จะถามด้วยน้ำเสียงทุ้ม “แต่ข้าไม่มีเส้นชีพจรเสวียน การหลอมยาต้องใช้พลังลมปราณเพื่อควบคุมไฟหรือเปล่า?”
“ไม่เป็นไร” เยียยวนตอบอย่างไม่ใส่ใจ “เพียงแค่เพิ่มข่ายพลังควบคุมไฟบนเตาก็พอ” เท่านี้ก็สามารถควบคุมพลังลมปราณหลอมยาออกมาได้ ไม่ต้องใช้เส้นชีพจรเสวียนก็พอ นางพยักหน้า “ขอบคุณท่านอาจารย์ปู่”
“อืม” เยี่ยยวนพอใจมากกับศิษย์หลานตัวน้อยที่ไม่โง่เขลาและเรียนรู้ง่าย วิธีการหลอมยามากมายผุดขึ้นในหัว เขายกมือขึ้นเพื่อจะแปลงเป็นตำราออกมาด้วยความเคยชิน แต่พบว่าในมือทั้งสองข้างของเขายังมีเม็ดยาที่ยังปั้นไม่เสร็จ ไม่มีแม้แต่มือว่าง แต่ก็ไม่อยากจะวางมันลง คิดไปคิดมา ก็คิดหาวิธีอื่นได้ “เจ้าเข้ามาใกล้ๆ หน่อย”
“หืม?” อวิ๋นเจี่ยวตกตะลึง เดินเข้าไปหาด้วยความเคยชิน “อาจารย์…”
นางยังถามไม่ทันจบประโบค ก็พบว่าเยี่ยยวนก็โน้มตัวและก้มหัวลง เอนตัวมาทางนาง ร่างกายของเขาใกล้เข้ามาทุกที ใบหน้าดุจดั่งเทพก็พุ่งตรงเข้ามา และกำลังจะชิดลงบนใบหน้านาง ทันใดนั้นรู้สึกถึงความเย็นบนหน้าผาก และมีข้อมูลที่ไม่คุ้นเคยมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัวของนาง
อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก ดวงตาของนางเบิกกว้างมองใบหน้าที่เข้าใกล้ หัวใจของนางบีบแน่นขึ้นทันที แลทันใดนั้นก็รู้สึกร้อนวูบขึ้นในใจ ใบหน้าของนางราวกับถูกไฟเผา ความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกก็พุ่งเข้ามา จิตใจที่สงบอยู่เสมอราวกับมีบางอย่างแตกสลาย
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ปฏิกิริยาตอบสนองทางร่างกายจะชนะสติของนาง เกือบจะเป็นการตอบสนองโดยอัตโนมัติ นางยกมือขึ้นสะบัดอย่างแรง
เพี๊ยะ!
เสียงดังคมชัด พร้อมกับรอบนิ้วห้านิ้วปรากฏขึ้นบนใบหน้าของใครบางคน!
เยี่ยยวน: “…”
อวิ๋นเจี่ยว: “…”