วันที่สอง
วันนี้เป็นวันทดสอบเพื่อขึ้นทะเบียน ทั้งสามคนตื่นตั้งแต่เช้า มุ่งหน้าไปยังสำนักเทียนซือ เมื่อไปถึงแล้ว ถึงได้พบว่าคนมีมากขนาดไหน มองออกไปที่ลานกว้าง ล้วนเต็มไปด้วยผู้คน ส่วนใหญ่ยืนกันเป็นกลุ่ม สวมใส่ชุดสีเดียวกัน ท่าทางจะเป็นศิษย์จากแต่ละสำนักใหญ่
อวิ๋นเจี่ยวมองไปยังกลุ่มคนเหล่านั้น พบว่าคนส่วนใหญ่มีเหรียญทองแดงแขวนอยู่ที่บริเวณเอว ด้านบนของเหรียญมีเลขหนึ่งถึงสิบแตกต่างกันออกไป มีเพียงบางคนที่ไม่ได้ห้อยเหรียญทองแดง แต่มีปักรูปยันต์ที่คล้ายดอกไม้บนเสื้อผ้า มากสุดมีสี่ถึงห้าดอก น้อยสุดมีหนึ่งถึงสองดอก อีกทั้งดูท่าทางยังเป็นผู้นำของกลุ่มศิษย์ที่ห้อยเหรียญทองแดงเหล่านั้น
คนที่เหมือนพวกเขา ไม่มีเหรียญทองแดงไม่มีปักดอกไม้ช่างหาได้ยาก อวิ๋นเจี่ยวเดาว่านี่คงเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงอันดับของเทียนซืออย่างที่ตาโจวเคยเล่าให้ฟัง
ถึงแม้นี่จะเป็นการทดสอบขึ้นทะเบียน แต่ศิษย์ส่วนใหญ่มาเพื่อทดสอบอันดับของตนเอง นางเข้าใจขึ้นมาทันทีว่าเมื่อวานชายหนุ่มชุดเขียวมองหาอะไรจากตัวของพวกนาง ที่แท้ก็คงกำลังหาสัญลักษณ์นี้ พบว่าพวกเขาเองแม้แต่เทียนซือระดับจักรพรรดิขั้นที่หนึ่งยังไม่ใช่ ถึงได้กล้าที่จะหาเรื่องพวกเขาให้ยอมยกห้องให้
พูดถึงชายหนุ่มคนนั้น อวิ๋นเจี่ยวหันหน้าไปมอง และก็พบอีกฝ่ายอยู่ในกลุ่มคนจริงๆ เขาออกจากโรงเตี๊ยมมาก่อนพวกนาง ตอนนี้อยู่ตรงหน้าห่างจากพวกเขาไม่ไกล อีกฝ่ายก็มองเห็นพวกนาง ราวกับนึกถึงสามร้อยตำลึงที่ถูกขูดรีดไป สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ส่งเสียงในลำคออย่างเยือกเย็นใส่คนทั้งสาม หันหลังกลับเข้าสู่กลุ่มคน
อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้สนใจ เพราะว่าเงินก็ได้มาแล้ว ตาโจวชี้ไปทางด้านหน้าพร้อมพูดว่า “แจ้งชื่อขึ้นทะเบียนตรงนั้น พวกเรารีบไปเถอะ”
ทั้งสองคนพยักหน้า เดินตามตาโจวไปทางซ้าย พบว่าด้านหน้าเรียงแถวเป็นแนวยาวสี่แถว มองไปยังข้างหน้าพบว่ามีป้ายบอกอันดับ เรียงตามอันดับปัจจุบันของแต่ละคนมาแบ่งแถว ตั้งแต่หนึ่งเหรียญถึงห้าเหรียญเป็นหนึ่งแถว หกเหรียญถึงสิบเหรียญเป็นหนึ่งแถว เข้าสู่อันดับดอกไม้เป็นหนึ่งแถว และคนที่มาขึ้นทะเบียนครั้งแรกเป็นอีกหนึ่งแถว
แถวหกเหรียญถึงสิบเหรียญคนเยอะที่สุด รองลงมาคือหนึ่งเหรียญถึงห้าเหรียญ น้อยที่สุดคือกลุ่มคนที่จะเข้าสู่อันดับดอกไม้และคนที่ยังไม่ขึ้นทะเบียน ด้านหน้าก็มีแค่สิบกว่าคน ตาโจวพาพวกเขามายืนอยู่หลังสุดของแถวทางด้านซ้าย
มองไปข้างหน้า พบว่าแถวนี้ส่วนใหญ่เป็นเด็กที่อายุราวสิบขวบ รุ่นเดียวกับอวิ๋นเจี่ยวมีเพียงแค่สองสามคนเท่านั้น แต่ว่าอย่างไป๋อวี้และตาโจวที่อายุมากเช่นนี้แล้วยังไม่ขึ้นทะเบียนมีเพียงพวกเขาแค่สองคน ทันใดนั้นสายตารอบข้างล้วนจ้องมองมาอย่างสงสัย
ชายแก่หน้าแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำไมเขาถึงไม่ได้มาขึ้นทะเบียน มัน…น่าอายจริงๆ ยังดีที่ด้านหน้าคนไม่เยอะมาก ไม่นานก็ถึงตาพวกเขา
ศิษย์สำนักเทียนซือที่กำลังจดรายชื่ออยู่ด้านหน้า พอเห็นพวกเขาก็ตะลึงไปครู่หนึ่ง ถามออกมาด้วยความเคยชิน “กี่ขวบแล้ว” อีกทั้งน้ำเสียงราวกับพูดกับเด็ก
ทั้งสามคน “…”
“เอ้ย…อายุของพวกเจ้า ชื่อแซ่ สำนัก แจ้งขึ้นมา” อย่างน้อยก็เป็นถึงศิษย์ของสำนักเทียนซือ ผู้จดรายชื่อสงบสติไปสักพัก เปลี่ยนคำพูดใหม่อีกครั้ง
ทั้งสามคนถึงได้แจ้งชื่อและข้อมูลอื่นๆ ขึ้นไป
พอถึงตอนแจ้งชื่อสำนัก คนจดรายชื่ออึ้งไปสักพัก ถามกลับเหมือนเป็นการยืนยัน “สำนักชิงหยาง?”
“ใช่” ชายแก่พยักหน้า ชี้ไปที่อวิ๋นเจี่ยว “พวกข้าทั้งสองมาจากสำนักชิงหยาง”
“เจ้าแน่ใจ?” คนนั้นถามอีก
ชายแก่ถูกถามจนงุนงง แต่ก็ยังพยักหน้า “แน่ใจ!”
คนจดรายชื่อนั้นคิ้วขมวดเล็กน้อย กวาดตามองทั้งสองคนด้วยสายตาประหลาด จากสีหน้าที่เป็นการเป็นงาน กลับแฝงไปด้วยสีหน้าไม่เห็นด้วยขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขียนข้อมูลของทั้งสามคนลงไป ถึงได้ยื่นแผ่นไม้ออกไปให้พร้อมพูดว่า
“นี่คือป้ายประจำตัวของพวกเจ้า ตอนเข้าสนามสอบต้องใช้” เขาเอ่ยกำชับเสียงทุ้ม “การทดสอบแบ่งออกเป็นสามสนาม สนามแรกทดสอบเกี่ยวกับความรู้เรื่องเต๋า สนามที่สองทดสอบเกี่ยวกับระดับของวิชา สนามที่สามวิชาทดสอบเกี่ยวกับความสามารถของพวกเจ้า รายละเอียดการทดสอบอื่น ผู้คุมสอบจะเป็นคนประกาศในตอนนั้น เข้าไปเถอะ”
ทั้งสามรับป้ายมา พร้อมเอ่ยขอบคุณและเดินเข้าไปในสำนักเทียนซือ ศิษย์ที่ทำการจดรายชื่อด้านหลังอุทานออกมาเบาๆ “มาอีกคน คนในตอนนี้นะ…”
อวิ๋นเจี่ยวไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร ไม่ได้คิดอะไรมาก เดินเข้าไปในสำนักเทียนซือ เมื่อเข้าไปแล้วถึงได้พบว่าข้างในดูใหญ่กว่าข้างนอกเสียอีก ทั้งสำนักเทียนซือตั้งอยู่บนเขาที่สูงตระหง่าน บนเขาล้วนเต็มไปด้วยตำหนักใหญ่หลายตำหนัก มองไปไม่เห็นยอดเขา ด้านหน้าเขาเป็นลานที่สามารถรองรับได้หลายหมื่นคน ไม่ว่าจะเป็นกำแพงรอบด้าน หรือแผ่นกระเบื้อง รวมไปทั้งหินปูพื้น ล้วนสลักเต็มไปด้วยยันต์อักขระ แสดงถึงจุดเด่นของเสวียนเหมิน
พวกนางเดินเข้าไปในตำหนักใหญ่บริเวณด้านล่างเขาตามป้ายแสดงสถานะ ในตำหนักมีห้องมากมาย พวกเขาถูกนำเข้าไปในห้องหนึ่ง เห็นเพียงแต่ด้านในวางเต็มไปด้วยโต๊ะสี่เหลี่ยมมากมาย อีกทั้งยังมีคนนั่งอยู่ไม่น้อย
บนโต้ะชายที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเคราสีขาว บนชุดของเขาปักดอกไม้อยู่หนึ่งดอก ที่แท้ก็เป็นเทียนซือระดับเสวียนขั้นที่หนึ่ง เห็นทั้งสามคนเดินเข้ามา เขาก็สะบัดมือพร้อมพูดว่า “รีบนั่งเข้าที่เถอะ สนามสอบรอบแรกกำลังจะเริ่มแล้ว”
ทั้งสามคนถึงได้หาที่นั่งและนั่งลงตามลำดับ อวิ๋นเจี่ยวกวาดสายตามองไปยังคนในห้อง ไม่เหมือนกับตอนต่อแถวที่ทุกคนล้วนเป็นเด็ก แต่คนในห้องนี้มีอายุที่แตกต่างกันออกไป ส่วนใหญ่ด้านข้างยังห้อยเหรียญทองแดงไว้ นางคาดเดาว่านี่คงเป็นสนามทดสอบเรื่องหลักการ เพราะฉะนั้นทุกคนล้วนใช้ข้อสอบชุดเดียวกัน มาตรฐานเดียวกัน
ไม่นานนัก เทียนซือขั้นหนึ่งดอกไม้ก็ควักยันต์ออกมาพร้อมท่องคาถา ทันใดนั้นพวกเขารู้สึกว่ามีแสงสีขาวสว่างขึ้นบนโต๊ะ พร้อมกับกระดาษพู่กันที่ปรากฏขึ้น มุมด้านขวายังปรากฏข่ายพลังที่กำลังส่องแสง ทันใดนั้นอีกฝ่ายก็พูดขึ้นว่า “สนามสอบแรกมีเวลาสี่ดอกธูป นำเอาป้ายประจำตัวของพวกเจ้าวางไว้ในข่ายพลัง ก็เริ่มตอบคำถามได้ ภายในสนามสอบไม่อาจพูดคุยเสียงดังได้ มิฉะนั้นจะถูกตัดชื่อ”
พูดจบก็แสดงให้รู้ว่าเริ่มสอบ
อวิ๋นเจี่ยวมองไปยังข่ายพลังบนโต๊ะ วางป้ายประจำตัวลงไป นาทีถัดมาเห็นเพียงแต่ข่ายพลังสว่างขึ้น บริเวณรอบด้านมีกำแพงแสงโผล่ขึ้นมาล้อมรอบตัวของนางเอาไว้ ถึงแม้จะยังคงสามารถมองเห็นคนอื่นในห้อง แต่เสียงทั้งหมดล้วนหายไป บรรยากาศเงียบสงบ อวิ๋นเจี่ยวมองไปยังข่ายพลัง คาดว่าคงเป็นข่ายพลังปิดกั้น ใช้ได้ดีทีเดียว
มองไปยังอุปกรณ์บนโต้ะ ทันใดนั้นขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย พู่กัน…
รู้อย่างนี้เอาปากกาที่นางทำเองมาด้วยดีกว่า นางถอนหายใจออกมาหนึ่งที ก่อนจะจับพู่กันขึ้นมาอย่างจำยอม เริ่มที่จะตอบข้อสอบขึ้นมา นางเดาไว้ไม่ผิด ข้อสอบนั้นล้วนเป็นคำถามเกี่ยวกับความรู้หลักการพื้นฐานเป็นส่วนใหญ่ การใช้คาถาและข่ายพลังเป็นส่วนน้อย สำหรับคนที่อ่านตำราทั้งหมดในหอเก็บตำราอย่างนางแล้ว ไม่ได้มีความยากเลย
ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งดอกธูป นางก็ตอบเสร็จเป็นที่เรียบร้อย มองซ้ายมองขวา กำลังคิดอยู่ว่าจะส่งกระดาษคำตอบล่วงหน้าดีไหม เหลือบตาไปเห็นข่ายพลังปิดกั้นบนโต๊ะ พบว่าข่ายพลังมีจำกัดเวลา นั่นก็หมายความว่าไม่ถึงเวลาจะออกไปไม่ได้
ทำอะไรไม่ได้ นางจึงตรวจสอบกระดาษคำตอบอีกรอบ ก่อนที่จะหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนคำตอบอีกหลายแบบลงไปในคำถามแต่ละข้อ แม้กระทั่งคำถามข่ายพลังข้อสุดท้าย นางก็เขียนคำตอบขยายความลงไปเพิ่มอีก
ในขณะที่นางกำลังจะเขียนคำตอบแบบที่หนึ่งร้อยหนึ่ง เวลาสี่ดอกธูปก็หมดลงพอดี ผู้คุมสอบด้านบนประกาศให้ทุกคนออกจากห้องไป ถึงได้เดินไปเก็บกระดาษคำตอบทีละคน จนกระทั่งเห็นคำตอบของอวิ๋นเจี่ยว…
มือของผู้คุมสอบชะงักไป เกือบจะคิดว่าตัวเองตาลาย
“…”
นี่มันอะไรกัน?
บนโต๊ะของคนอื่นอย่างมากก็มีกระดาษคำตอบเพียงสองสามใบ ทำไมบนโต๊ะนี้ถึงได้มีหนึ่งกอง?!!
Σ(°△°|||)︴