อวิ๋นเจี่ยวเดินไปตามทางบันได เข้ามาแล้วถึงได้พบว่า บริเวณโดยรอบมืดมากและปกคลุมไปด้วยไอเย็นยะเยือก แต่มันมีความแตกต่างจากไอที่แผ่ออกมาจากผีร้ายที่เคยพบ ไอเย็นในที่แห่งนี้ยังแฝงไปด้วยความอำมหิต
นางเดินเข้ามาไม่ถึงสิบเมตร บริเวณโดยรอบก็มืดสนิท อวิ๋นเจี่ยวจึงควักยันต์ที่ชายแก่วาดออกมาท่องคาถา ทันใดนั้นยันต์นั้นส่องแสงสีขาวออกมา ส่องสว่างไปทั่วบริเวณ
อวิ๋นเจี่ยวเดินต่อเข้าไปด้านใน ทางเดินนั้นไม่กว้างมาก คดเคี้ยวลึกลงไปด้านล่างมองไม่เห็นทางสิ้นสุด บนทางเดินยังเต็มไปด้วยข่ายพลังมากมาย แตกต่างจากข่ายพลังที่ราวกับกำลังล้อเล่นในตำหนัก ข่ายพลังในนี้ล้วนแต่เป็นข่ายพลังอันตราย อีกทั้งยังมีบางส่วนที่เป็นข่ายพลังซับซ้อนที่ซ้อนทับกันหลายชั้น
นางยิ่งเดินลึกเท่าไหร่ยิ่งรู้สึกว่าตนเองประมาทในการสอบรอบแรกมากเกินไป ต้องระดับนี้ถึงจะเหมือนการสอบขึ้นมาหน่อย จะว่าไปกระดาษคำตอบของนางราวกับเป็นเรื่องตลกไปอย่างนั้น อวิ๋นเจี่ยวเริ่มสำนึกถึงพฤติกรรมของตัวเองขึ้นมา ชักจะประมาทมากการสอบมากเกินไปแล้ว
อวิ๋นเจี่ยวเดินลงไปตามทาง นางรู้สึกถึงความหนาวเย็นบริเวณโดยรอบได้หายไปอย่างช้าๆ แต่รัศมีความอำมหิตนั้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ บริเวณโดยรอบร้อนขึ้นอย่างมาก ทันใดนั้นราวกับเปลี่ยนจากฤดูหนาวเป็นฤดูร้อน ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ นางรู้สึกถึงในอากาศเต็มไปกลิ่นเหม็นสาบ
เดินต่ออีกราวสิบนาที ทางข้างหน้ากลายเป็นทางเรียบแล้ว ไม่มีทางเดินลงไปต่อ บริเวณโดยรอบกว้างขวางมากขึ้น ไอร้อนนั้นยิ่งชัดเจนมากขึ้น จนกระทั่งนางถูกประตูบานหนึ่งขวางทางเอาไว้ ด้านในยังคงได้ยินเสียงของอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว
เป็นข่ายพลังทับซ้อนหลายชั้นอีกแล้ว อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้ว จ้องมองไปยังประตูบานนั้น ใช้เวลาราวห้านาทีก็สามารถทำลายข่ายพลังบนประตูนั้นได้
เสียงของประตูเปิดดังเอี๊ยด บริเวณรอบข้างสว่างขั้น แสงสีแดงแสบตาทะลุออกมาจากด้านใน สาดส่องทางเดินที่นางเดินผ่านสว่างทั่วทั้งทาง ไอร้อนระอุนั้นราวกับปกคลุมไปทั่วทุกอณูพื้นที่
อวิ๋นเจี่ยวหรี่ตาลง มองพินิจเข้าไปถึงพบว่า ภายในประตูนั้นเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยลาวา ราวกับเป็นปล่องภูเขาไฟ ภายในมีโซ่เหล็กที่ใหญ่กว่าตัวคนไขว้กันไปมาอย่างซับซ้อน มีแท่นอยู่บริเวณตรงกลาง ด้านบนมีอะไรบางอย่างถูกโซ่เหล็กพันไว้จนมีรูปร่างคล้ายรังไหม
บริเวณรอบด้านเต็มไปด้วยข่ายพลังและยันต์วิเศษ ข่ายพลังถูกสร้างไว้อย่างแน่นหนา เกือบจะมีในทุกย่างก้าว โดยเฉพาะบริเวณที่โซ่เหล็กพันเอาไว้ ด้านบนนั้นเต็มไปด้วยข่ายพลังระดับปฐพีที่ทับซ้อนกันขึ้นไปหลายชั้น มีหลายอันที่อวิ๋นเจี่ยวไม่เคยเห็นมาก่อน
อวิ๋นเจี่ยวชะงักเท้า ในหัวปรากฏตัวหนังสือหลายตัว…โจทย์ใหญ่เลย!
(⊙_⊙)
…
ตำหนักด้านข้าง
เจียวเหิงอีมองไปยังธูปใช้จับเวลาในกระถังที่ใกล้จะหมดลง คิ้วของเขาขมวดกันเป็นปม เรียกศิษย์คนหนึ่งมาถาม “ผู้สอบที่ชื่ออวิ๋นเจี่ยวยังไม่ออกมาจากในตำหนักหรือ”
“ยัง” ศิษย์คนนั้นส่ายหัว “นอกจากตอนแรกแล้ว ในนั้นก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอื่นเลย”
สีหน้าของเจียวเหิงอีแย่ลงในทันที
ท่านอาวุโสเฉินด้านข้างก็ลุกขึ้นยืน จับไปยังไหล่ของเขา “ช่างเถอะน้องชาย ผู้ที่เชี่ยวชาญในข่ายพลังจะหาได้ง่ายที่ไหนกัน เจ้าน่าจะรู้อยู่แล้วว่าหญิงสาวอายุเพียงยี่สิบกว่าจะมาวาดข่ายพลังห้าธาตุปราบมารได้อย่างไร”
เจียวเหิงอีมีสีหน้าโกรธเคือง ทันใดนั้นมีความรู้สึกราวกับถูกหลอก หน้าของเขาโกรธจนบิดเบี้ยว
“พวกเรารีบไปดูดีกว่า” ท่านอาวุโสเฉินเห็นเขาโกรธไม่น้อย รีบพูดเตือน “หญิงสาวนั้นต้องถูกข่ายพลังของเจ้าขังไว้เป็นแน่ หากพวกเราไปช้า นางอาจบาดเจ็บได้”
เขาส่งเสียงเย็นในลำคอ ในใจนั้นปักใจเชื่อว่าอีกฝ่ายโกงข้อสอบในสนามรอบแรกแล้วเป็นแน่ ดังนั้นสนามสอบที่สองถึงได้ไม่รู้วิธีการรับมือเมื่อข้อสอบมีการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน จนกระทั่งตอนนี้ยังไม่ออกมา
“ฮึ! ผู้ที่อวดฉลาดขี้โกงเช่นนี้ต้องได้รับบทลงโทษ!” ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่เขาก็ยังลุกขึ้นยืน และเดินออกนอกตำหนักไป
ในฐานะที่เป็นท่านอาวุโสของสำนักเทียนซือ ถึงแม้จะโกรธเคืองเช่นไร หากทำให้เกิดคนเป็นอะไรไปก็คงไม่ได้ เพียงแต่ยากที่จะสงบใจลงได้เท่านั้น คิดไปคิดมาก็หันไปบอกกับศิษย์ผู้ที่มาแจ้งข่าวว่า “เร็ว ไปตำหนักหน้าเชิญเจ้าสำนักมา พวกเราไปพบกับผู้ที่วาด ‘ข่ายพลังห้าธาตุปราบมาร’ ด้วยกันหน่อย!” เขาพูดอย่างมีนัยยะ
“รับทราบ ท่านผู้อาวุโส!” ศิษย์ผู้นั้นหันหลังไปเชิญเจ้าสำนัก
ท่านอาวุโสเฉินก็ไม่ได้ห้ามปรามแต่อย่างใด ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ผ่านการทดสอบ แสดงว่านางไม่มีความสามารถนั้น นางต้องรู้ข้อสอบในสนามแรกล่วงหน้าอย่างแน่นอน สิ่งสำคัญของสำนักเทียนซือก็คือความยุติธรรม เรื่องใหญ่เช่นการรั่วไหลของข้อสอบ คงต้องให้เจ้าสำนักเป็นผู้จัดการ
ทั้งสองเดินออกจากตำหนักด้านข้าง มุ่งหน้าตรงไปยังสนามสอบที่เตรียมไว้พิเศษ รออยู่หน้าประตูชั่วครู่ ถึงได้เห็นเจ้าสำนักสวีเดินมาอย่างเร่งรีบ
“ท่านอาวุโสทั้งสอง แน่ใจแล้วใช่หรือไม่” เจ้าสำนักสวีเปิดปากถาม
ทั้งสองคนพยักหน้า สีหน้าไม่สู้ดีทั้งคู่ เจียวเหิงอีชี้ไปทางด้านหน้าพร้อมเอ่ยอย่างโกรธเคืองว่า “ตอนนี้ใกล้จะครึ่งชั่วยามแล้ว แต่นางยังไม่ได้ออกมาจากด้านใน”
คำตอบชัดเจน
เจ้าสำนักสวีขมวดคิ้ว ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “เฮ้อ เข้าไปเถอะ อย่างไรก็ต้องถามนางว่ารู้ข้อสอบมาจากไหน”
ทั้งสามคนถึงได้เดินขึ้นหน้า ประตูตำหนักเปิดออกเสียงดังเอี๊ยด
ท่านอาวุโสเจียวเดินอยู่ด้านหน้าเป็นคนแรก เข้าไปถึงก็มองหาร่างของคนที่ถูกข่ายพลังกักขังเอาไว้ แต่กลับพบว่าภายในตำหนักนั้นมีแต่ความว่างเปล่า
“คนล่ะ?” ทั้งสามคนมองไปยังรอบด้าน ไม่พบแม้แต่เงาคน ทำได้เพียงหันหน้าไปมองศิษย์ที่นำทางที่ยืนอยู่หน้าประตู
ศิษย์คนนั้นสีหน้างงงวย ส่ายหัวไปมาอย่างตื่นตระหนก “ข้า…ข้าก็ไม่รู้ ข้าไม่ได้จากไปไหน นางไม่ได้ออกมาจริงๆ”
ทั้งสามคนยิ่งฉงนใจเข้าไปใหญ่ หรือว่าจะรู้ตัวว่าทำผิดหนีไปแล้ว แต่หากนางไม่ทำลายข่ายพลัง จะหนีไปได้อย่างไรกัน
“ท่านเจียว ดูนั่น!” ท่านอาวุโสเฉินชี้ไปบนพื้น เห็นเพียงแต่บนพื้นมีรอยร้าว ราวกับถูกอะไรบางอย่างผ่าออก
“นางทำลายข่ายพลังของข้า!” เจียวเหิงอีตาเบิกโต เมื่อเทียบกับความโกรธก่อนหน้านี้ ตอนนี้สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึง พร้อมกับความดีใจ “ทั้งหมด…ข่ายพลังทั้งหมดถูกทำลาย!” เขาอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น ภายในครึ่งชั่วยามก็สามารถทำลายข่ายพลังที่ซ้อนทับกันหลายสิบอันได้ นางช่างเป็นอัจฉริยะเสียจริง!
“แต่ว่า…คนล่ะ?” เจ้าสำนักสวีถามขึ้นมาอีกครั้ง
เจียวเหิงอีผงะไปชั่วครู่ ถึงได้ตระหนักขึ้นมาได้ ใช่แล้ว! ในเมื่อข่ายพลังถูกทำลายไปแล้ว แล้วคนไปอยู่ไหนกัน หรือว่าดูออกว่าพวกเขามีใจทดสอบ ดังนั้นจึงโกรธและหนีไป? ในเมื่อผู้ที่ชำนาญด้านข่ายพลังมีน้อยเสียจริง ไม่แปลกที่จะมีนิสัยที่ประหลาด ทันใดนั้นเขารู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที ไม่น่าตกปากรับคำทำแบบทดสอบนี้เลย ไม่อย่างนั้นเขาเองคงมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนวิชากับอีกฝ่าย
ในขณะที่เจียวเหิงอีกำลังสำนึกผิดอยู่นั้น ท่านอาวุโสเฉินที่ยืนอยู่ด้านข้างก็สังเกตถึงความผิดปกติภายในตำหนัก “นั่นคืออะไร” เขาชี้ไปยังด้านในสุดที่ค่อนข้างมืด ตอนแรกไม่ทันได้สังเกต แต่เมื่อลองมองเข้าไป “กำแพงทำไมถึงหายไป”
ทั้งสามคนตะลึง ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ ถึงได้พบทางเดินคดเคี้ยวยืดยาวไปยังด้านล่าง
“ตรงนี้ทำไมถึงได้มีหลุม” เจียวเหิงอีถามออกมา รู้สึกได้ถึงไอเย็นยะเยือกที่ส่งออกมาจากด้านใน “นี่มัน…พลังปีศาจ!”
เขาร้องออกมาอย่างตกใจ สำนักเทียนซือทำไมถึงมีพลังปีศาจ เจ้าสำนักสวีที่อยู่ด้านข้างราวกับนึกบางอย่างขึ้นได้ ทั้งตัวแข็งทื่อ สีหน้าซีดไปในทันใด ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงดัง
“แย่แล้ว! ปีศาจงูน้ำในคุกไฟ!”
เมื่อพูดจบ ทั้งเจียวเหิงอีและท่านอาวุโสเฉินต่างมีสีหน้าซีดเผือดไปตามกัน