วันรุ่งขึ้น
เมื่อเทียบกับการประกาศอันดับรายชื่อการสอบรอบแรกที่ไม่มีคนสนใจเท่าไรแล้ว ผาหินที่ติดประกาศอันดับสอบรอบที่สองของสำนักเทียนซือนั้นเต็มไปด้วยผู้คน
ไป๋อวี้และตาโจวพยายามเบียดขึ้นไปด้านหน้าเป็นเวลานานก็ไม่สามารถเบียดเข้าไปได้ ไม่เหมือนกับครั้งก่อนที่ต้องหาชื่อของตัวเองทั่วทั้งหน้าผา คราวนี้อันดับของอวิ๋นเจี่ยวหาเจอได้ง่ายมาก
เพราะว่าชื่อของนางนั้นถูกติดไว้แถวบนสุด อีกทั้งลักษณะและสีของตัวอักษรก็แตกต่างไปจากคนอื่นโดยสิ้นเชิง คำว่าอวิ๋นเจี่ยวที่ส่องแสงสีทอง ทำให้คนที่แม้อยู่ห่างออกไปเป็นโยชน์ยังมองเห็นได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ตัวอักษรนั้นยังใหญ่กว่าของคนอื่นราวสามเท่า กินพื้นที่ไปกว่าหนึ่งในสิบ
“เจ้าหนู ดูสิ ชื่อเจ้าอยู่ด้านบน! ด้านบนสุด!” ไป๋อวี้มองเห็นชื่อของอวิ๋นเจี่ยวในทันที อุทานออกมาด้วยความดีใจ แต่พอนึกถึงความสามารถของเจ้าหนูแล้ว ก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล พลันรู้สึกไปถึงการสอบรอบแรกต้องเป็นความผิดพลาดของสำนักเทียนซืออย่างแน่นอน
อวิ๋นเจี่ยวรับรู้ถึงความรู้สึกถึงความวางใจที่มันควรจะเป็นปกติได้กลับมาแล้ว หันไปมองไป๋อวี้แล้วพูดว่า “ของท่านล่ะ?”
“ยังหาไม่เจอ” สีหน้าของไป๋อวี้ย่นลงทันที “คนเยอะเกินไป เบียดไม่เข้า” ที่มีคนจำนวนมากมาดูรายชื่อในการสอบรอบที่สอง เป็นเพราะว่าถึงแม้จะผ่านการทดสอบ แต่มีเพียงร้อยอันดับแรกที่จะเข้าสอบในสนามที่สามได้ เพื่อที่จะได้การรับรองว่าเป็นเทียนซือระดับหนึ่งเหรียญทองแดงขึ้นไป
นั่นก็หมายความว่า สนามสอบรอบที่สามเป็นสนามที่การแข่งขันดุเดือดที่สุด
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะชื่อของอวิ๋นเจี่ยวตัวใหญ่เกินไป ทำให้รายชื่อของผู้เข้าสอบคนอื่นเล็กกว่าการสอบรอบแรกลงไปไม่น้อย ชายแก่เขย่งดูอยู่ครึ่งวันก็ยังไม่เห็นว่าที่ผาหินเขียนอะไรไว้
ในขณะที่กำลังรีบร้อน มีเสียงตื่นเต้นเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านข้าง “ท่านเซียนอวิ๋น ท่านเซียนไป๋ ท่านเซียนโจว! พวกท่านก็อยู่ด้วย!”
ทั้งสามคนหันไปมอง พบว่าด้านข้างมีคนเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน เป็นชายหนุ่มที่สวมชุดนักพรตสีขาว หน้าตาไม่คุ้นเท่าไร กำลังมองพวกเขาทั้งสามคนด้วยสายตาลุกวาว
ไป๋อวี้ผงะไป กำลังจะอ้าปากพูด แต่ตาโจวดันชิงพูดขึ้นมาก่อน เขาเอ่ยด้วยเสียงที่ปนตะลึงว่า “ท่านคือ…นายน้อยเซ่า!”
“ท่านเซียนโจว…ไม่ ตอนนี้ต้องเรียกว่าท่านสหายโจวแล้ว ไม่เจอกันนาน ท่านสบายดีหรือไม่! ไม่คิดว่าพวกท่านจะมาขึ้นทะเบียนกัน” พูดจบก็หันไปมองอีกสองคน สายตาจับจ้องไปยังอวิ๋นเจี่ยว ก่อนจะทำความเคารพด้วยความสุภาพว่า “ท่านสหายอวิ๋น!”
“เจ้าคือเซ่าเซี่ยน?” อวิ๋นเจี่ยวเพิ่งจำคนตรงหน้าได้ เขาเป็นลูกชายของท่านเซ่าไม่ใช่หรือ? ช่างดูแตกต่างจากสภาพป่วยเมื่อแต่ก่อน ตอนนี้คนทั้งคนมีชีวิตชีวา มีความมั่นใจและเต็มไปด้วยพลัง
“สหายอวิ๋นจำข้าได้?” เซ่าเซี่ยนยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงทุ้มเป็นการอธิบาย “ตั้งแต่วันนั้นที่ได้รับจดหมายจากท่านสหาย ข้าก็ตัดสินใจเข้าร่วมเสวียนเหมิน ต่อมาข้าเดินทางมาที่สำนักเทียนซือ โชคดีเป็นอย่างมากที่มีโอกาสเป็นศิษย์ภายใต้ท่านอาวุโสตระกูลถัง”
“ตระกูลถัง นั่นเป็นถึงหนึ่งในหกตระกูลเชียว!” ตาโจวตะลึง ก่อนจะถาม นั่นเป็นเสวียนเหมินระดับแนวหน้า มีข่าวว่าเข้มงวดในการรับศิษย์เป็นอย่างมาก แทบจะไม่รับศิษย์นอกตระกูล
“ใช่แล้ว!” เซ่าเซี่ยนพยักหน้า
ตาโจวสายตาลุกวาว พร้อมพูดอย่างอิจฉาเล็กร้อย “ได้รับความเมตตาจากตระกูลถัง ท่าทางคุณสมบัติของเจ้าไม่ธรรมดา”
เซ่าเซี่ยนจับหัวอย่างเขินอายเล็กน้อย ก่อนจะพูดกลั้วหัวเราะว่า “ท่านสหายโจวชมเกินไป ข้าเทียบไม่ได้กับท่าน สหายอวิ๋นหรอก” เขาหันไปมองอวิ๋นเจี่ยว “หากไม่ใช่ท่านสหายอวิ๋นชี้แนะ ข้าก็คงไม่มีโอกาสเช่นนี้”
ชี้แนะ? มีหรือ?
อวิ๋นเจี่ยวงุนงงเล็กน้อย แลกเปลี่ยนสายตากับไป๋อวี้ไปทีหนึ่ง ก่อนที่ทั้งคู่จะนึกถึงจดหมายฉบับนั้นขึ้นมา ทันใดนั้นรู้สึกเจ็บใจเล็กน้อย
พวกนางแค่แจ้งเขาอย่างอ้อมๆ ว่าต้องจ่ายค่าเล่าเรียนเท่านั้น ไม่คิดว่าเขาจะเปลี่ยนสำนักไป
“จริงสิ!” เขาราวกับนึกอะไรขึ้นได้ “พวกท่านมาดูอันดับในการสอบรอบที่สองใช่ไหม! ที่นี่คนเยอะเกินไป ศิษย์ตระกูลถังมีรายชื่อที่คัดลอกมาฉบับหนึ่ง พวกท่านจะดูหรือไม่”
พูดจบเขาก็ควักกระดาษใบหนึ่งออกมา
ทั้งสามคนตาลุกวาว สมแล้วที่เป็นศิษย์ของสำนักใหญ่ สิทธิพิเศษช่างไม่ธรรมดา ทั้งสามคนเอ่ยขอบคุณ ก่อนจะรับรายชื่อมาดู
สิ่งที่โชคดีคือ ตาโจวและชายแก่ต่างอยู่ในร้อยดันดับแรก สามารถเข้าร่วมการสอบครั้งที่สามได้ ไป๋อวี้ อยู่ลำดับเจ็ดสิบเก้า ตาโจวรั้งท้ายอยู่ที่เก้าสิบแปด ทั้งสองคนรู้สึกโล่งใจขึ้นมาในทันที
เซ่าเซี่ยนอยู่ในลำดับที่ห้า เขาเพิ่งฝึกฝนไม่กี่เดือน สามารถสอบได้อันดับเท่านี้ ช่างมีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยม สมแล้วที่เป็นคนที่เกิดพร้อมโชคลาภ
ไป๋อวี้หันไปมอง อวิ๋นเจี่ยวที่ไม่มีเส้นชีพจรเสวียน และฝึกฝนไม่ถึงหนึ่งปี ทันใดนั้นก็รู้สึกเป็นธรรมขึ้นมาในใจเมื่อเทียบกับเจ้าหนู อัจฉริยะทั้งหลายล้วนเป็นเศษผง
“ท่านสหายทั้งสามตัดสินใจจัดกลุ่มแล้วหรือยัง?” เห็นพวกเขามัวแต่มองหารายชื่อของตัวเอง เซ่าเซี่ยนเอ่ยเตือนขึ้นมา
“จัดกลุ่ม?” ทั้งสามคนตะลึง “จัดกลุ่มอะไร”
“เอ๊ะ? ท่านทั้งสามไม่ได้ทำความเข้าใจกฎการสอบในสนามสอบรอบที่สามหรือ” เซ่าเซี่ยนมองพวกเขา ก่อนที่จะบอกเล่าเนื้อหาในสนามสอบรอบที่สาม
การสอบรอบที่สาม โดยรวมแล้วคือทดสอบทางด้านการปฏิบัติจริง สถานที่ไม่ได้อยู่ภายในสำนักเทียนซือ แต่ว่าสำนักเทียนซือได้รับการไหว้วานโดยเฉพาะ หลังจากตรวจสอบแล้วใช้เป็นสนามสอบ ทุกห้าสิบคนใช้หนึ่งสนามสอบ กำหนดเวลาสามวัน ให้คะแนนตามความสามารถของแต่ละคน
ในขณะที่สอบ ทุกคนสามารถจัดกลุ่มอย่างอิสระ ไม่มีผลกระทบต่อการให้คะแนน แต่ห้ามเกิดการปะทะทุกรูปแบบระหว่างผู้สอบ มิเช่นนั้นจะตัดชื่อในทันที การจัดกลุ่มที่เซ่าเซี่ยนบอกก็คือแบบนี้ เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ โดยทั่วไปแล้วหนึ่งกลุ่มมีประมาณห้าคน
“ในเมื่อเช่นนี้ พวกเราจัดกลุ่มกันเถอะ” อวิ๋นเจี่ยวที่พลาดพลั้งในการสอบรอกแรกเอ่ยขึ้น มุ่งมั่นที่จะรักษาระเบียบในการสอบ
เซ่าเซี่ยนสีหน้าดีใจ ความหวาดกลัวต่อการสอบภายในใจหายไปกว่าครึ่ง ชี้ไปทางด้านหน้าพร้อมเอ่ย “งั้นพวกเราเข้าไปกันเถอะ รออีกครึ่งชั่วยาม การสอบก็จะเริ่มขึ้นแล้ว”
ทุกคนพยักหน้า ก่อนจะมุ่งหน้าไปทางสนามสอบ ก่อนที่จะลงทะเบียนรายชื่อกับศิษย์ที่รับผิดชอบอยู่ด้านหน้า พร้อมกับแจกป้ายชื่อสำหรับสอบใหม่ พวกเขาไม่ได้รอนานเท่าไร ก็มีคนมาเรียกพวกเขาไปรวมตัวบนเวทีที่ตำหนักด้านข้าง
พวกเขาถึงได้พบว่าตรงนั้นวาดด้วยข่ายพลังขนย้ายขนาดใหญ่อยู่สองอัน ผู้คุมสอบแจกยันต์ให้คนละใบ ก่อนจะอธิบายเสียงดัง “ยันต์นี้คือยันต์ขนส่ง เมื่อถึงคราวอันตรายสามารถใช้ยันต์นี้ขนส่งกลับมายังสำนักเทียนซือ แต่ก็จะถือว่าสละสิทธิในการสอบ คะแนนไม่มีผล”
ต่อมาก็ประกาศสิ่งที่ต้องระวังและกติกาในการสอบ จากนั้นถึงได้ประกาศว่าเริ่มการสอบ
ศิษย์ที่เข้าสู่สนามสอบรอบที่สามถึงได้เดินเข้าไปยังข่ายพลัง นาทีถัดมา เห็นเพียงแต่แสงสีขาว ก่อนที่ร่างของศิษย์ทั้งหลายจะหายเข้าไปในข่ายพลัง
…
ตำหนักหลักสำนักเทียนซือ
เจียวเหิงอีมอง อวิ๋นเจี่ยวที่หายไปในข่ายพลัง อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากขึ้น
“เจ้าสำนัก ให้สหายอวิ๋นเข้าไปในสนามสอบเช่นนี้…จะดีหรือ” นี่เป็นการเสียเวลาชัดๆ อยู่ศึกษาข่ายพลังกับเขาจะดีเสียกว่า
“สหายอวิ๋นอยากจะสอบให้เสร็จ เป็นการแสดงถึงความเคารพต่อสำนักเทียนซือของพวกเรา!” เจ้าสำนักสวีกลับไม่ได้เป็นกังวลมาก
“แต่ความสามารถของนาง…” แค่ปรับแก้ข่ายพลังเล็กน้อยก็กำจัดปีศาจงูน้ำได้แล้ว การสอบเช่นนี้จะไปยากอะไร ให้ความรู้สึกว่ากำลังรังแกผู้เข้าสอบคนอื่นอย่างไรไม่รู้ จะไม่ทำให้คนอื่นไม่พอใจหรือ
“ไม่เป็นไร” เจ้าสำนักสวีลูบเคราของตนเอง ไม่ได้เป็นห่วงมากมาย “หากคนอื่นมองออก ก็บอกว่านางคือผู้คุมสอบศิษย์พี่ที่สำนักเทียนซือตั้งใจจัดเตรียมไว้เป็นพอ”
เจียวเหิงอีคิดไปคิดมา ด้วยความสามารถของสหายอวิ๋น สามารถเป็นศิษย์พี่ของเหล่าศิษย์นั้นได้สบาย ดังนั้นจึงไม่ได้ว่าอะไรต่อ
อวิ๋นเจี่ยวที่เข้าไปยังสนามสอบแล้ว มองไปยังป้ายชื่อบนมือที่เปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีม่วง “…”
แปลกจริง ทำไมป้ายในมือของนางถึงเปลี่ยนสี