ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด – ตอนที่ 65 กำเนิด

ผีดิบแตกต่างจากวิญญาณทั่วไป ถึงแม้พวกมันจะตายไปนานแล้ว แต่ร่างกายยังอยู่ นอกจากยันต์ปราบมารแล้ว ยันต์โจมตีอื่นๆ ใช้ไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่นัก ดังนั้นการต่อสู้ในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าเหล่าผีดิบจะพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง แต่กลับไม่ได้รับบาดเจ็บมากเท่าไหร่  

 

 

ทันใดนั้นไป๋อวี้นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เขาตะโกนเสียงดัง “ใช้คาถานำสายฟ้า พวกมันกลัวสายฟ้า!”  

 

 

เหล่าท่านอาวุโสนิ่งอึ้งไปสักพัก ก่อนจะเก็บยันต์กลับคืนมา แล้วแปรเปลี่ยนเป็นชักนำสายฟ้า ทันใดนั้นเสียงฟ้าผ่าดังกึกก้องไปทั่ว ก่อนที่สายฟ้าจะผ่าลงมา ผีดิบด้านหน้าล้มลงไปไม่น้อย ทำให้จัดการได้รวดเร็วมากขึ้น  

 

 

ทางชายหนุ่มเสื้อเขียวที่เป็นผู้นำสีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันที ส่งผลให้ใบหน้าที่มีดีเพียงครึ่งซีกก็บิดเบี้ยวไปตามกัน เขาจ้องเขม็งไปยังทุกคน ก่อนจะตะโกนเสียงดังว่า “พวกคนธรรมดาที่บังอาจแปดเปื้อนเทพแห่งสวรรค์ ท่านเทพจะต้องลงโทษพวกเจ้าเป็นแน่”  

 

 

“พูดเยอะเสียจริง” ไป๋อวี้ท่องคาถาหนึ่งขึ้นมาก่อนที่จะมีสายฟ้าผ่าไปที่ชายหนุ่ม  

 

 

ชายหนุ่มชุดเขียวตะลึง ก่อนจะรีบหลบไปด้านข้าง แต่สุดท้ายก็โดนฟ้าผ่าจนได้ ลำแขนครึ่งท่อนของเขากลายเป็นสีดำไหม้ในทันที สีหน้าของเขาโหดเหี้ยมมากยิ่งขึ้น ความเคียดแค้นในสายตาของเขาแทบจะทะลักออกมา แต่กลับไม่ได้โจมตี เขาเพียงแค่สะบัดมือหนึ่งที แล้วหันหลังวิ่งเข้าไปในหมู่บ้าน  

 

 

“ถอย!”  

 

 

เมื่อผีดิบตัวอื่นได้รับคำสั่ง พวกมันคำรามออกมาหนึ่งที ก่อนจะวิ่งหนีไปยังทิศทางที่มาในตอนเดิม  

 

 

“อย่าให้พวกมันหนีไปได้ ตาม!” เจ้าสำนักสวีขมวดคิ้ว คิดจะพาเหล่าท่านอาวุโสวิ่งตามไป  

 

 

“ท่านเจ้าสำนักสวี!” อวิ๋นเจี่ยวพูดเตือนขึ้นมา “พวกเราไปหอบรรพบุรุษกันก่อนเถอะ หากเดาไม่ผิด พวกมันนำเอาของที่ทำให้กลายเป็นผีดิบไปซ่อนไว้ที่นั่น เมื่อตกดึกมันก็จะตื่นขึ้นมา เราต้องไปตอนนี้!”  

 

 

เจ้าสำนักสวีผงะไป ก่อนที่จะเข้าใจ ทันใดนั้นรู้สึกบีบแน่นในหัวใจ สิ่งที่สามารถขังวิญญาณของคนไว้ในร่างกายทำให้คนนั้นกลายเป็นผีดิบได้ต้องเป็นอะไรที่ไม่ธรรมดา มันแตกต่างจากเหล่าผีดิบ ไม่สามารถให้มันกำเนิดบนโลกนี้ได้  

 

 

ดังนั้นเขาจึงหันหน้ามากำชับว่า “ท่านอาวุโสเจียว ท่านอาวุโสหลี่ พวกท่านดูแลเหล่าศิษย์ทั้งหลายนี้ อย่าให้พวกเขาเดินหลงกัน พวกเราจะไปหอบรรพบุรุษในหมู่บ้าน!” ที่นี่อันตรายเกินไป ไม่อาจทิ้งเหล่าศิษย์ไว้ที่นี่ได้ ทำได้เพียงพาไปด้วยกัน  

 

 

ทุกคนต่างพยักหน้า ก่อนจะเดินตามขึ้นไป ถึงแม้จะมีจำนวนคนมาก แต่ตำแหน่งของหอบรรพบุรุษในหมู่บ้านหาเจอได้ง่ายมาก แทบจะมองเห็นตั้งแต่เดินเข้าหมู่บ้านในครั้งแรก หอบรรพบุรุษนั้นมีลักษณะแตกต่างจากบ้านหลังอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง เมื่อเทียบกับบ้านหลังอื่นๆ แล้ว หอบรรพบุรุษตกแต่งไว้อย่างหรูหรา อีกทั้งยังเต็มไปด้วยธูปควัน เห็นได้ชัดว่ามีคนมาสักการะบูชาเป็นประจำ  

 

 

ทุกคนได้กลิ่นของควันธูปมาแต่ไกล เพียงแต่กลิ่นนั้นแตกต่างจากกลิ่นของควันธูปในอารามทั่วไป เพราะว่าในกลิ่นนั้นยังแฝงไปด้วยกลิ่นเหม็นสาบของอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณรอบด้านของหอบรรพบุรุษนั้น ถูกล้อมรอบไปด้วยพลังชั่วร้าย  

 

 

“ไม่คิดว่าจะมีพลังชั่วร้ายที่หนักเช่นนี้…” เจ้าสำนักสวีมองไปยังพลังสีดำรอบด้านอย่างตกตะลึง คิ้วของเขาขมวดมุ่น มองสบตากับเหล่าท่านอาวุโสคนอื่นๆ ก่อนจะบุกเข้าไปด้านในหอบรรพบุรุษ เดิมทีคิดอยากจะค้นสิ่งของนั้นออกมา เพียงแต่ภายในหอบรรพบุรุษกลับมีผีดิบพุ่งออกมาอีกสิบกว่าตัว  

 

 

ไม่คิดว่าผีดิบที่วิ่งหนีเมื่อครู่นี้ ไม่ได้ฉวยโอกาสหนีออกจากหมู่บ้านไป แต่กลับมารวมตัวกันที่นี่ แม้แต่ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำก็เช่นกัน สีหน้าของเขามีความร้อนรน แต่ยังคงพูดข่มขู่ด้วยเสียงอันดัง “พวกเจ้าบังอาจบุกเข้ามาในเขตต้องห้าม รบกวนความสงบของเทพแห่งสวรรค์!”  

 

 

“พูดมากเสียจริง!” เจียวเหิงอีได้ยินบ่อยเข้าเริ่มรู้สึกรำคาญ “พวกข้ามาเพื่อจัดการปีศาจที่ทำลายระเบียบการเวียนว่ายตายเกิดของพวกเจ้า” พูดจบก็ท่องคาถาเรียกสายฟ้าผ่าไปที่เขา แต่น่าแปลกที่ครั้งนี้สายฟ้ากลับโจมตีเขาไม่ได้ เพราะว่าถูกพลังชั่วร้ายรอบด้านของหอบรรพบุรุษกลืนกินไป  

 

 

“ฮ่าๆๆ …” ชายหนุ่มสีหน้าได้ใจ หัวเราะอย่างเยือกเย็นและพูดกับทุกคนว่า “มีเทพแห่งสวรรค์คุ้มครอง มดตัวน้อยอย่างพวกเจ้าไม่อาจทำอะไรพวกข้าได้”  

 

 

ทุกคนสีหน้าดำทะมึนลง เจียวเหิงอีครุ่นคิดไปสักพัก ก่อนจะหยิบธงสำหรับวางข่ายพลังออกมาแล้วพูดว่า “เจ้าสำนัก ข้ากับท่านสหายอวิ๋นจะวางข่ายพลังชำระล้างพลังชั่วร้าย ขอให้พวกท่านช่วยควบคุมผีดิบพวกนี้ไว้สักพัก”  

 

 

“ได้” เจ้าสำนักสวีพยักหน้า เมื่อไม่มีพลังชั่วร้าย ผีดิบเหล่านี้ก็ไร้ซึ่งความน่ากลัว ดังนั้นเขาจึงหันไปพูดกับอวิ๋นเจี่ยวว่า “ลำบากท่านสหายอวิ๋น”  

 

 

อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้ปฏิเสธ นางพยักหน้าก่อนจะเดินตามเจียวเหิงอีไปวางข่ายพลัง ก่อนไปยังลากไป๋อวี้ไปด้วย เพราะว่าบนตัวของนางไม่มีพลังลมปราณ  

 

 

อาจเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากพลังชั่วร้ายของที่นี่ ผีดิบเหล่านั้นดุร้ายมากขึ้น แม้แต่ยันต์ขับมารยังใช้ไม่ได้ผล พลังชั่วร้ายบนตัวของผีดิบทวีคูณขึ้น อีกทั้งยังต้องคอยดูแลเหล่าลูกศิษย์ที่อยู่ด้านหลังอีก ทำให้ไม่สามารถจัดการผีดิบเหล่านี้ได้หมดในเวลาอันสั้น โชคดีที่ท่านอาวุโสเจียวและอวิ๋นเจี่ยววางข่ายพลังได้อย่างรวดเร็ว  

 

 

ไม่ถึงครึ่งเค่อ ข่ายพลังชำระล้างก็ปรากฏขึ้นบริเวณด้านล่างของหอบรรพบุรุษ พลังชั่วร้ายก้อนนั้นสลายลงไปไม่น้อย เมื่อไร้การสนับสนุนจากพลังชั่วร้าย การเคลื่อนไหวของเหล่าผีดิบก็ช้าลง  

 

 

เจ้าสำนักสวีส่งสายตาให้คนอื่นๆ รีบจัดการ พวกเขาชักนำสายฟ้าลงมาก่อนจะพุ่งโจมตีออกไป ผีดิบที่เดิมที่มีอยู่เต็มห้องนั้นล้มลงไปกว่าครึ่ง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นซากศพที่ถูกเผาไหม้  

 

 

“พวกเจ้ากล้าดี…” ความตกตะลึงและร้อนรนในดวงตาชายหนุ่มที่เป็นผู้นำยิ่งมีมากขึ้น เขากวาดตามองทุกคน ก่อนจะสะบัดมือเป็นการออกคำสั่งกับกลุ่มผีดิบ “รั้งพวกมันเอาไว้ อย่าให้พวกมันรบกวนเทพแห่งสวรรค์”  

 

 

เมื่อพูดจบ ผีดิบที่เดิมทีมีความหวาดกลัวนั้นพุ่งเข้ามาอีกครั้งอย่างไม่สนใจอะไร ส่วนชายหนุ่มกลับหันหลังคุกเข่าลงไปหน้ารูปปั้นเทพเจ้าที่มองไม่เห็นหน้าตา ก่อนจะร้องขอขึ้นมา “ขอเทพแห่งสวรรค์คุ้มครองพวกข้า ลงโทษมนุษย์ธรรมดาที่บังอาจเหล่านี้ ขอเทพแห่งสวรรค์คุ้มครองพวกข้า…” พูดจบก็ก้มกราบ  

 

 

การโจมตีของทางสำนักเทียนซือดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เจ้าสำนักสวีคว้ายันต์ม่วงออกมาใบหนึ่ง ก่อนที่แสงไฟอันสว่างแสบตานั้นจะกลายเป็นแหใหญ่ มุ่งไปยังเหล่าผีดิบ ทันใดนั้นเหล่าผีดิบล้มลงไปจำนวนมาก  

 

 

เมื่อมองดูแหนั้นยิ่งรัดยิ่งแน่น และกำลังจะมุ่งไปยังใจกลางของหอบรรพบุรุษ ทันใดนั้นพลังสีดำกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านใน ทะลุแหสายฟ้าของเจ้าสำนักสวีไป แหสีขาวนั้นมืดดับลงไปในทันที  

 

 

พลังสีดำนั้นยิ่งเข้มข้นมากขึ้น ก่อนที่จะทะลุข่ายพลังชำระล้างบริเวณรอบข้างไป ได้ยินเพียงเสียงของธงสำหรับวางข่ายพลังที่ปักอยู่บนพื้นหักลง รวมไปถึงอาวุธสำหรับการเสริมข่ายพลังในมือของเจียวเหิงอีก็แตกไปด้วย  

 

 

นี่คือ…  

 

 

“ระวัง!” เขายังไม่ทันได้หลบ อวิ๋นเจี่ยวรีบลากเขาออกมาจากในข่ายพลังทันที เจียวเหิงอีรู้สึกเพียงมีอะไรบางอย่างพัดผ่านลำตัวเขาไป ก่อนที่ด้านข้างของเขาจะปรากฏหลุมขนาดใหญ่ที่บริเวณโดยรอบยังหลงเหลือพลังสีดำอยู่  

 

 

เขาตกตะลึงอย่างมาก หากเมื่อกี้ไม่ได้หลบไป หลุมนี้คงจะปรากฏอยู่บนตัวเขาแล้ว เดิมทีเขายืนอยู่ที่ศูนย์กลางของข่ายพลัง เมื่อเขาหลบไปทำให้ข่ายพลังพังทลายลงมา  

 

 

“นี่มันอะไร” ไม่เพียงแต่ท่านอาวุโสเจียวเท่านั้น คนอื่นๆ ก็มีสีหน้าฉงนเช่นกัน นี่ไม่ใช่พลังผีธรรมดาเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นทำไมถึงทำลายข่ายพลังชำระล้างได้  

 

 

ยังไม่ทันได้คิดอย่างละเอียด พื้นดินกลับเกิดการสั่นไหวขึ้นมา ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังจะมุดออกมาอย่างนั้น สีหน้าของเจ้าสำนักสวีแปรเปลี่ยนไปทันที ก่อนจะพูดเตือนเสียงดังว่า “ถอยหลัง!”  

 

 

คราวนี้ทุกคนถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว ถอยไปราวนับสิบจั้ง นาทีถัดมาพื้นดินบริเวณรอบของหอบรรพบุรุษเริ่มแยกออก พลังสีดำแผ่ออกมาจากด้านในมากขึ้น  

 

 

ผีดิบผู้นำที่คุกเข่าอยู่หน้าหอบรรพบุรุษกลับเบิกตาโต ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าดีใจว่า “เทพแห่งสวรรค์ปรากฏตัวแล้ว ปรากฏตัวแล้ว! พวกเจ้าตายแน่! ขอเทพแห่งสวรรค์คุ้มครองพวกข้า ลงโทษ…”  

 

 

เขายังพูดไม่ทันจบ ทันใดนั้นก็มีพลังสีดำกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้าไปหาชายหนุ่มโดยตรง และทะลุผ่านหน้าอกไป ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำยังไม่ทันจะได้ร้องออกมาด้วยความตกใจ คนทั้งคนก็ราวกับถูกสูบจนแห้งเหี่ยว แม้แต่วิญญาณก็ไม่เหลือ สุดท้ายกลายเป็นเถ้าถ่านสลายไป  

 

 

“…”  

 

 

อะไรกัน? ความขัดแย้งภายใน?  

Related

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด อวิ๋นเจี่ยว ศัลยแพทย์ปริญญาเอกจากคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ถึงคราวต้องกุมขมับเมื่อทำดีกลับไม่ได้ดี ช่วยเหลือคนแก่ที่หกล้มกลับโดนรีดไถและสาปแช่งให้เห็นผี! ยังไม่พอยันต์ที่ยายแก่คนนั้นสาปเธอยังทำให้เธอทะลุมิติไปยังโลกยุคโบราณและโดนล่อลวง (?) ให้เข้าเป็นศิษย์สำนักเต๋าที่ทำหน้าที่ปราบปีศาจผดุงคุณธรรมอีกด้วย เล่าลือกันว่าท่านปรมาจารย์เจ้าสำนักอารามชิงหยางนั้นสำเร็จเป็นเซียนและโบยบิน ขึ้นสวรรค์ไปเมื่อหลายแสนปีก่อน แต่หากเป็นอย่างนั้นจริงเงาร่างหล่อเหลาเปล่ง รัศมีเจิดจ้าที่กำลังนั่งเล่นควันธูปอยู่นี่คือใครกันเล่า?!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset