หมู่บ้านหลี่อันอยู่นอกเมืองผิงตันราวสิบลี้ ห่างจากตัวเมืองไม่ไกลนัก ดังนั้นจึงเป็นหมู่บ้านใหญ่ที่มีความเจริญค่อนข้างมาก จำนวนคนในหมู่บ้านก็มีมากเช่นกัน ตลอดทางที่พวกเขาเดินมาเห็นจำนวนคนไม่น้อยกำลังทำงานอยู่ในท้องนา เมื่อได้ยินว่าพวกเขามาจากสำนักเทียนซือ ต่างรีบนำพาพวกเขามาหาหัวหน้าหมู่บ้านด้วยความดีใจ
“เทียนซือทั้งหลายมาเสียที” หัวหน้าหมู่บ้านเป็นชายชราอายุราวหกสิบ เมื่อเห็นพวกนางก็รีบเดินเข้ามาต้อนรับ พร้อมทั้งพูดด้วยสีหน้าตื้นตันว่า “ท่านเทียนซือต้องจัดการปีศาจตัวนั้น และช่วยเด็กๆ ในหมู่บ้านออกมาให้ได้นะ”
“ปีศาจ?” อวิ๋นเจี่ยวตะลึง “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็นปีศาจที่จับเด็กๆ ไป” ผู้ดูแลกลับบอกว่าไม่รู้ว่าเป็นอะไร
“เทียนซือที่มาครั้งก่อนพูดเอาไว้” หัวหน้าหมู่บ้านตอบ “พวกเขาบอกว่ามันเป็นปีศาจที่มีพลังมาก ที่จับเด็กในหมู่บ้านไปก็คงเป็นเพราะนำไปฝึกวิชามาร”
“เทียนซือที่มาคราวก่อนยังอยู่ในหมู่บ้าน!” ไป๋อวี้ตะลึง ไม่ได้บอกว่าพวกเขาหายตัวไปหรือ
“ไม่เชิง” สีหน้าของหัวหน้าหมู่บ้านหนักอึ้ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วพูดว่า “หลังจากที่ท่านเทียนซือทั้งหลายขึ้นเขาไปจับปีศาจ พวกเขาก็ไม่เคยลงมาอีกเลย เรื่องของปีศาจนั้นได้ยินมาจากนักบุญฉี”
“นักบุญฉีคือใคร” ไป๋อวี้ฉงน
อวิ๋นเจี่ยวเดินขึ้นหน้าไป ก่อนจะพูดด้วยเสียงทุ้ม “หัวหน้าหมู่บ้าน เรื่องเทียนซือหลายคนก่อนหน้านี้ ขอให้ท่านเล่าให้พวกข้าฟังอย่างละเอียด”
หัวหน้าหมู่บ้านเงยหน้ามองพวกนาง ก่อนจะเชิญให้พวกนางนั่งลง จากนั้นถึงได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นภายในหมู่บ้านอย่างละเอียด
เหตุการณ์เด็กในหมู่บ้านหายตัวไปอย่างต่อเนื่องเกิดขึ้นเมื่อสองเดือนก่อน ราวสิบกว่าวันที่แล้ว สำนักเทียนซือส่งคนมาสี่คน เดินสำรวจจนทั่วหมู่บ้านก็ไม่พบร่องรอยของสิ่งสกปรกนั้น ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เด็กหายตัวไปอย่างต่อเนื่อง พวกเขาจึงลงผนึกติดตามไว้ในตัวของเด็กทุกคน ปรากฏว่าในคืนนั้นก็มีบางอย่างเกิดขึ้น เด็กในบ้านทางทิศตะวันออกหลังหนึ่งเกือบถูกลักพาตัวไป
โชคดีที่นายน้อยตระกูลฉีพบเข้า จึงวิ่งออกไปห้ามการกระทำของปีศาจนั้น เขาอดทนรอจนกว่าท่านเทียนซือทั้งสี่จะมาถึงด้วยร่างกายที่บอบช้ำ ต่อมาเด็กคนนั้นถูกช่วยเอาไว้ได้ แต่ปีศาจก็หนีรอดไปเช่นกัน เทียนซือทั้งสี่ตามขึ้นไปบนเขาในวันถัดมา แต่ก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย ส่วนนักบุญฉีก็ล้มป่วยลง
“ตระกูลฉีเป็นตระกูลใหญ่ในหมู่บ้าน ที่ดินมากว่าครึ่งในหมู่บ้านนี้ล้วนเป็นของตระกูลฉี ตอนที่นายท่านฉียังมีชีวิตอยู่มักจะช่วยเหลือหมู่บ้าน เป็นที่รู้กันดีว่าท่านเป็นคนมีเมตตา หลังจากนายท่านฉีตายไป นายน้อยฉีก็คอยเป็นคนคอยช่วยเหลือชาวบ้านอย่างพวกเรา ดังนั้นพวกเราล้วนเรียกเขาว่านักบุญฉี เพียงแต่ไม่คิดว่าทำดีแต่ไม่ได้รับผลดีตอบแทน…” หัวหน้าหมู่บ้านถอนหายใจ สีหน้าเป็นกังวล ก่อนจะมองไปยังทั้งสามคนด้วยความจริงจัง “เทียนซือทั้งสาม พวกท่านต้องรีบจับปีศาจตัวนั้น และกำจัดมันเพื่อหมู่บ้านของพวกเรา”
อวิ๋นเจี่ยวครุ่นคิด ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ท่านพาข้าไปดูท่านนักบุญฉีท่านนั้นหน่อยได้ไหม”
“ได้ๆๆ” หัวหน้าหมู่บ้านรีบพยักหน้า เขานำพาพวกนางออกจากประตูมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออกของหมู่บ้านอย่างไม่รีรอ ก่อนจะหยุดอยู่ที่จวนใหญ่หลังหนึ่ง
หัวหน้าหมู่บ้านอธิบายกับบ่าวรับใช้ตรงหน้าประตู บ่าวรับใช้สีหน้าดีใจ รีบนำพาพวกนางเข้าไปด้านใน
“ท่านเทียนซือทั้งหลายเชิญ!” บ่าวรับใช้พลางเดินนำพลางพูดด้วยความรีบร้อน “พวกท่านมาเสียที พวกท่านต้องช่วยชีวิตนายน้อยของข้านะ”
บ่าวรับใช้พูดด้วยสีหน้าจริงใจ แม้แต่หัวหน้าหมู่บ้านที่อยู่ด้านข้างก็รีบช่วยเสริม “ใช่ๆ นักบุญฉีเป็นคนดีเช่นนี้ จะมาถูกปีศาจนั้นทำร้ายแบบนี้ไม่ได้ ขอให้ท่านคิดหาวิธี ช่วยนักบุญฉีหน่อยเถอะ”
ไม่คิดว่านายน้อยฉีจะมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีเช่นนี้ ไป๋อวี้มองไปยังอวิ๋นเจี่ยว นางเป็นหมอรักษาพลังลมปราณ หากนายน้อยฉีถูกปีศาจทำร้ายจริง ก็คงจะมีแต่นางเท่านั้นที่รักษาได้
“ขอดูก่อน” อวิ๋นเจี่ยวตอบ
พวกนางเดินไปเข้าไปในจวนด้วยความรวดเร็ว ยังไม่ทันได้เข้าห้อง ก็ได้ยินเสียงกระแอมไออย่างทรมานขึ้นมา ทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นยา
บ่าวรับใช้เข้าไปแจ้งให้ทราบ ไม่ถึงชั่วครู่ประตูก็ถูกเปิดออกจากด้านใน บริเวณประตูมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ นางอยู่ในชุดเรียบง่าย แต่ว่าท่าทางสง่างามราวกับถูกฝึกมา สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
“นายหญิงน้อย!” บ่าวรับใช้ทำความเคารพ ก่อนจะแนะนำ “ท่านทั้งหลายนี้คือเทียนซือที่ทางสำนักเทียนซือส่งมา”
หญิงสาวสีหน้าดีใจ ก่อนจะรีบนำพวกเขาเข้าไปด้านใน “ท่านเทียนซือเชิญเร็วเข้า ขอให้พวกท่านช่วยชีวิตสามีของข้าที หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาคงทนต่อไปไม่ไหวแน่” พูดจบในดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยน้ำตา สีหน้ากังวลและเศร้าใจ
อวิ๋นเจี่ยวเดินตามเข้าไป เห็นว่าบนเตียงมีร่างหนึ่งนอนอยู่ เสียงกระแอมไอเมื่อสักครู่ส่งออกมาจากบนนั้น เขาคงจะเป็นนายน้อยฉี หญิงสาวพูดไว้ไม่ผิด อาการของเขาไม่ดีนัก สีหน้าขาวซีดไม่มีเลือดฝาด นอนพิงหัวเตียงด้วยลมหายใจที่รวยริน ราวกับจะขาดใจได้ทุกเมื่อ
“เทียนซือ…ทั้งสาม” นายน้อยฉีได้ยินบทสนทนาก่อนหน้านี้ เขาหันหน้ามาราวกับอยากจะลุกขึ้น แต่ก็ทำไม่ได้ ทำได้เพียงมองพวกเขาด้วยสายตาขออภัย การขยับในครั้งนี้ของเขา ทำให้พลังสีเขียวจางๆ บริเวณรอบตัวปรากฏออกมา
“พลังมาร!” ไป๋อวี้อุทานออกมา ในช่วงปีกว่ามานี้ การฝึกฝนจากอวิ๋นเจี่ยวค่อนข้างมีประสิทธิภาพ ถึงแม้ยังไม่ถึงขั้นเปิดตาทิพย์ แต่ก็ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนที่มองอะไรไม่เห็นเลย พลังชั่วร้ายบางอย่างเขาก็สามารถแยกแยะได้เช่นกัน
“เจ้าหนู…” เขาหันไปมองอวิ๋นเจี่ยว มีปีศาจจริงด้วย นายน้อยฉีนี้ถูกพลังปีศาจเข้าครอบงำแล้ว?
“อืม” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า เดินตรงไปยังเตียง กวาดตามองคนบนเตียงหนึ่งที “ท่านป่วยไม่เบา เป็นเพราะปีศาจตัวนั้น?”
คนบนเตียงยิ้มอย่างเกรงใจให้พวกนาง ท่าทางของเขาสมกับที่เป็นนายน้อยของตระกูลใหญ่ เขาหอบหายใจหลายทีก่อนจะตอบ “ท่านเทียนซือทั้งสาม…เป็นเพราะข้าไม่ระวัง ถึงได้หลงกลปีศาจนั่น”
“ให้ข้าดูหน่อยได้ไหม” อวิ๋นเจี่ยวถาม
“ลำบากท่านเทียนซือแล้ว” เขาพยักหน้า ใบหน้าปรากฏความดีใจ
อวิ๋นเจี่ยวยื่นมือออกไปด้วยความเคยชิน กำลังจะแตะลงบนชีพจรของเขา นายน้อยฉีกลับชักมือกลับ ก่อนจะมองนางด้วยความตกใจ “ท่านเทียนซือกำลังจะ…ท่านไม่ได้จะขับไล่ปีศาจให้ข้าหรือ” เขากวาดมองมือที่ว่างเปล่าของอวิ๋นเจี่ยว เกือบจะถามนางออกไปว่าทำไมไม่ใช่ยันต์
ไป๋อวี้รู้ว่าเขาเข้าใจผิด จึงพูดแทรกขึ้น “นายน้อยฉี เจ้าหนูอวิ๋นของพวกข้าเป็นหมอรักษาพลังลมปราณเชียวนะ ไม่ใช่เทียนซือธรรมดา ดูจากอาการของท่าน พลังชั่วร้ายอาจเข้าไปในร่างกายแล้ว ใช้แค่ยันต์ขับไล่ไม่มีประโยชน์หรอก ให้นางดูหน่อยจะปลอดภัยกว่า”
เมื่อเขาพูดจบ หัวหน้าหมู่บ้านสีหน้าดีใจ ส่วนสีหน้าของนายน้อยฉีกลับแข็งทื่อขึ้นมา แต่ก็กลับคืนเป็นสีหน้ามีมารยาทแบบเดิมอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาจึงยื่นมือออกมาแล้วพูดว่า “เช่นนี้เอง รบกวนท่านเทียนซือ”
อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้สนใจมาก นางแตะลงบนชีพจรของเขา ก่อนจะตรวจดูขึ้นมา ทันใดนั้นก็ตกตะลึงเล็กน้อย ชีพจรนี้…
นางหันไปมองคนที่อยู่ด้านหลัง อาจารย์ปู่…
คนข้างหลังพยักหน้าให้อย่างเรียบเฉย
เฮ้ย เกิดเรื่องแล้ว!
Related