ชายแก่มองใบหน้าที่เคร่งขรึมของอวิ๋นเจี่ยว ดูยังไงก็ไม่เหมือนเป็นการล้อเล่น ทันใดนั้นอดไม่ได้ที่จะจินตนาการตาม ความหมายของเจ้าหนูคือ ผีสาวที่นามว่าแม่ซู่เหนียง ก่อนตายรู้ว่ามีคนจะทำร้ายลูกของนาง ไม่มีทางเลือกจึงหนีออกมา
แล้วยังไม่ใช่ลูกคนแรกอีก? นั่นก็หมายความว่า ตระกูลหลี่แต่ก่อนยังมีเด็กคนอื่นๆ อีก แต่บ้านที่พวกเขาอยู่นั้น นอกจากแม่ลูกสามคน กลับไม่เห็นร่องรอยของเด็กแม้แต่น้อย หรือว่า…
ชายแก่ตัวสั่น ขยับเข้าใกล้อวิ๋นเจี่ยวเงียบๆ พูดด้วยสีหน้าเหลือเชื่อว่า “เจ้าหนู เจ้าจะบอกว่าตระกูลหลี่นั่น…กินเด็ก?” บนโลกใบนี้นอกจากผีแล้ว ยังมีปีศาจที่กินคนอีกมากมาย หรือว่าสามคนนั้นก็ใช่?
อวิ๋นเจี่ยว “…”
อะไรเนี่ย ตรรกะของเขานี่มันมุดออกมาจากส่วนไหนกัน
อวิ๋นเจี่ยวกรอกตาอย่างเอือมระอา ขี้เกียจจะสนใจเขา เดินขึ้นเขาไปด้วยความรวดเร็ว
“เดี๋ยว! เจ้าหนู รอข้าก่อน” พูดให้ชัดเจนสิ
ไป๋อวี้วิ่งตามขึ้นไปทันที ปีศาจน่ากลัวกว่าผีร้ายอะไรนั่นอีกนะ
…
อาจจะเป็นเพราะหลอนในจินตนาการของตนเอง ขากลับชายแก่เดินอย่างรวดเร็ว ขามาใช้เวลากว่าสองชั่วโมง ขากลับเร็วกว่าครึ่งหนึ่ง ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปยังอาราม ชายแก่ก็ทรุดลงทันที ไม่ทันที่จะเป็นห่วงชุดที่ตนสวมใส่อยู่ก็นั่งจมลงไปกับพื้น หายใจอย่างเหนื่อยหอบ สภาพราวกับเพิ่งรอดตาย
“ในที่สุดก็กลับมาแล้ว ปลอดภัยแล้ว”
อวิ๋นเจี่ยวมองเขา ก่อนที่จะเอ่ยเตือน “วันที่สิบห้าเดือนเจ็ด ผีสาวจะกลับมาอีก”
ชายแก่กลับไม่กลัวสักนิด โบกมือพร้อมเอ่ย “วางใจเถอะเจ้าหนู ที่นี่คือสำนักชิงหยางเชียวนะ มีสิ่งศักดิ์สิทธิฟ้าดินคุ้มครอง ผีพยาบาทที่ดุร้ายแค่ไหนก็เข้ามาไม่ได้”
ที่แท้อารามยังมีประโยชน์แบบนี้? นางพลางนึกถึงลมพายุที่แปลกประหลาดเมื่อไม่กี่วันก่อน มันเหมือนกับตั้งใจพัดเลี่ยงอารามไปอย่างไรอย่างนั้น ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ไม่น่าชายแก่ถึงรีบกลับมา
“จริงสิเจ้าหนู!” ชายแก่ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ เด้งตัวขึ้นมาราวกับศพฟื้นคืนชีพ “อาศัยตอนนี้เวลายังเช้าอยู่เร็วๆๆ !”
พูดจบก็ลุกขึ้นยืน จากนั้นเดินเข้าไปห้องโถงด้านหลัง เปิดตู้เสื้อผ้าก่อนจะค้นหาอะไรบางอย่างในนั้น ค้นไปสักพักก็หยิบชุดนักพรตออกมาชุดหนึ่ง แล้วยัดใส่มือของนาง“รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า!” พูดจบก็พลักนางเข้าไปยังตำหนักด้านหลัง
อวิ๋นเจี่ยวก้มลงมองชุดในมือ พบว่าเป็นชุดนักพรตสีขาว ซึ่งเป็นชุดเดียวกันกับที่ชายแก่ใส่หลอกคน แต่ว่าชุดนี้เล็กกว่าไม่น้อย สามารถดูออกได้ว่าเป็นชุดผู้หญิง
รอนางเปลี่ยนชุดเสร็จ ชายแก่ก็รีบลากนางไป “เร็วๆๆ ถ้าฟ้ามืดจะไม่ทันการ”
นางยังไม่ทันที่จะเอ่ยถาม ก็ถูกเขาลากมายังหน้าเจดีย์สูงหลังตำหนัก อวิ๋นเจี่ยวหันมองชายแก่ “ท่านบอกว่าที่นี่เป็นที่ต้องห้ามของอาราม ห้ามขึ้นมาโดยพลการไม่ใช่เหรอ”
นี่เป็นสถาปัตยกรรมที่สูงสุดในอาราม เมื่อหลายวันก่อน นางไม่มีอะไรทำเลยคิดว่าจะขึ้นไปทำความสะอาด แต่กลับโดนชายแก่ห้าม แถมเขายังพูดด้วยความจริงจังอีกว่า ข้างในบูชาอาจารย์บรรพบุรุษของเสวียนเหมิน ไม่อาจเข้าไปรบกวนโดยพลการได้
“นั่นมันเมื่อก่อน” ชายแก่พูดอย่างจริงจัง “เมื่อเช้าเจ้าตอบตกลงเข้าร่วมสำนักชิงหยางแล้วไม่ใช่หรือไง ที่นี่ก็ถือว่าไม่ใช่ที่ต้องห้ามแล้ว ข้าจะพาเจ้าขึ้นไปพบกับอาจารย์ปู่” พูดพลางพานางเดินเข้าไป “แค่เจ้าเข้าพบท่านอาจารย์ปู่ ต่อไปเจ้าก็เป็นศิษย์ของสำนักชิงหยางอย่างแท้จริงแล้ว”
“…” ถอนตัวตอนนี้ยังทันไหม
ไป๋อวี้ไม่รู้ถึงความคิดของนาง จึงพานางเดินขึ้นไปข้างบน
อวิ๋นเจี่ยวเข้ามาถึงได้รู้ว่า เจดีย์นี้ไม่เหมือนกับสถาปัตยกรรมอื่นในอารามที่โดนทำร้ายโดยกาลเวลา รั่วบ้าง หน้าต่างขาดบ้าง ที่นี่ราวกับเพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน กำแพงรอบๆ บันไดยังแกะสลักเต็มไปด้วยรูปที่ประหลาดตา ราวกับเป็นยันต์ เป็นแนวยาวขึ้นตามทางบันได
แล้วก็…ในนี้มันสว่างเกินไปไหม
เจดีย์มีทั้งหมดสิบเอ็ดชั้น ทั้งสองคนเดินขึ้นมาถึงชั้นบนสุด เห็นเพียงแต่ควันขาวที่ปกคลุมทั่วทั้งชั้น อีกทั้งยังอบอวลไปด้วยกลิ่นของธูป ชั้นบนสุดค่อนข้างกว้าง แต่กลับวางเพียงแค่โต๊ะบูชาหนึ่งตัว ทำให้ดูโล่งไปมาก บนโต๊ะบูชานั้นวางป้ายบูชาไว้หนึ่งแผ่น เห็นเพียงแต่ด้านนบนสลักด้วยตัวหนังสือสีทองว่าเทพเจ้ากว่างจี้แห่งชิงหยาง กระถางธูปด้านหน้าโต๊ะมีธูปที่จุดติดปักอยู่สามดอก ควันธูปค่อยๆ ลอยขึ้นไปด้านบน
“เจ้าหนู นี่คือท่านปรมาจารย์แห่งสำนักของเรา” ชายแก่อธิบาย พร้อมชี้ไปยังเสื่อสำหรับสวดมนต์ที่วางอยู่ด้านหน้า “รีบทำความเคารพท่าน”
พูดจบก็เดินขึ้นหน้าไปคุกเข่าอยู่ที่เสื่อด้านข้าง ก่อนจะก้มลงกราบสามทีแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ศิษย์รุ่นที่หนึ่งร้อยแปดแห่งชิงหยางไป๋อวี้ วันนี้ศิษย์หลานอวิ๋นเจี่ยว ผู้มีคุณสมบัติดีเยี่ยมต่างจากผู้อื่น มีภูมิปัญญาที่จะเรียนรู้ธรรมแห่งเสวียนเหมิน ประสงค์ขอเข้าเป็นศิษย์แห่งสำนักชิงหยาง เรียนรู้วิชาแห่งเสวียนเหมิน เพื่อพยุงความยุติธรรม ในการนี้มาพบกับท่านปรมาจารย์ หวังว่าท่านจะคุ้มครองศิษย์หลาน ให้นางมีใจอันชาญฉลาดและเป็นคนซื่อตรง ทำให้ชิงหยางเจริญรุ่งเรือง”
พูดจบก็ก้มลงกราบอีกสามทีอย่างเคารพ หันกลับมาดันเห็นอวิ๋นเจี่ยวที่ยังยืนตัวตรง มองไปยังโต๊ะบูชาด้านหน้าอย่างนิ่งๆ
“เจ้าหนู รีบคุกเข่าไหว้สิ!” ชายแก่เตือน “เล่ากันว่าท่านให้ความสำคัญกับกฎระเบียบที่สุด เจ้าเพิ่งเข้ามา จะเสียพิธีไม่ได้”
อวิ๋นเจี่ยวอึ้งไปสักพักถึงจะหันไปหาชายแก่ด้วยใบหน้าที่ไร้อารามณ์ ก่อนจะเอ่ยถามอย่างลังเลใจว่า “อาจารย์ปู่ของท่าน…หน้าตาเป็นยังไง”
“เอ๊ะ” ชายแก่ตะลึงไปสักพัก “ข้าจะรู้ได้อย่างไร” ทำไมจู่ๆ ถึงถาม
“ท่านไม่รู้ว่าเขาหน้าตายังไง” อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้ว
“ใช่นะสิ!” ชายแก่พูด “อาจารย์ปู่ของข้าเป็นปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งเสวียนเหมิน และยังเป็นผู้เผยแพร่วิชาให้กับศิษย์ทั่วยุทธจักร กลายเป็นเทพไปเมื่อหลายแสนปีก่อนแล้ว ยกเว้นแต่ท่านจะมาปรากฏตัวเอง ไม่งั้นใครจะไปรู้ว่าหน้าตาเหมือนผีหรือ…ถุย!” เขาหยุดคำพูดของตัวไว้อย่างกะทันหัน แล้วก็ก้มลงไปกราบอีกรอบ “ท่านอย่าถือสาข้าเลย ท่านต้องเป็นผู้ที่มีรูปร่างน่าตาราวกับเทพอย่างแน่แท้ พวกข้าผู้เป็นคนธรรมดาไม่อาจเห็นได้”
อวิ๋นเจี่ยวเพ่งสายตาอย่างหนักหน่วง “งั้นอาจารย์ปู่ปรากฎตัวให้เห็นบ่อยไหม”
“เจ้าฝันกลางวันเหรอ” ไป๋อวี้หัวเราะฮึ ก่อนเอ่ย “ท่านเป็นถึงปรมาจารย์เชียวนะ จะมาปรากฎตัวให้เห็นบ่อยได้ยังไง ในโลกนี้ถึงแม้จะเป็นศิษย์เสวียนเหมินที่เก่งกาจขนาดไหน ก็ยังไม่อาจเชิญอาจารย์บรรพบุรุษของสำนักใดสำนักหนึ่งมาได้ แล้วนี่ยิ่งเป็นปรมาจารย์ของสำนักชิงหยางอีก ได้รับการถ่ายทอดวิชาหนึ่งหรือสองวิชาก็ถือว่ามีวาสนามากแล้ว เพียงพอที่จะนำไปเปิดสำนักของตนเองแล้ว”
“อืม…” อวิ๋นเจี่ยวคิ้วขมวดหนักขึ้น ยิ่งทำให้นางดูเคร่งขรึมมากยิ่งขึ้น
ไป๋อวี้คิดว่านางถูกผีสาวก่อนหน้านี้หลอกจนกลัว ถามอย่างร้อนรนว่า “เจ้าหนู เจ้าจะคืนคำเหรอ ไม่ได้นะ! เมื่อเช้าเจ้าตอบตกลงแล้วนะ ข้ารับรอง! ผีอย่างวันนี้ไม่ค่อยได้เจอหรอก จริงๆ นะ! แค่เจ้าเข้าร่วม ข้ารับรองว่าจะถ่ายทอดวิชาให้เจ้าทั้งหมด ไม่มีการเก็บงำแม้แต่นิดเดียว เจ้ามีคำถามอะไรก็สามารถถามข้าได้”
อวิ๋นเจี่ยวมองไปทางเขา ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “ข้ามีแค่คำถามเดียว”
“อะไร”
“ถ้าอาจารย์ปู่ของท่านไม่เคยปรากฏตัว…” นางชี้นิ้วไปยังข้างหน้า พร้อมเอ่ยออกมาทีละคำ “งั้นผู้ชายที่นั่งอยู่บนโต๊ะบูชา มีแสงสีขาวแผ่ออกมาจากทั่วทั้งตัว กำลังนั่งเล่นควันธูป เดี๋ยววาดตัวเอส เดี๋ยววาดตัวบี นี่ใคร”
“…”
ห้ะ?
(⊙_⊙)