สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 103 ข้าสามารถเป็นพยานให้พระชายา

       ซูจิ่นซีมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของเยี่ยเซินในทันที นางยกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา

        “ซูจิ่นซี เจ้ามันเลวทรามต่ำช้า ข้าก็เพียงไม่ถูกชะตากับเจ้า ข้าทำให้เจ้าเป็นทุกข์เสียกี่ครั้งกัน? เจ้าถึงกับมาพูดจาให้ร้ายข้าเช่นนี้ ข้าจะฆ่าเจ้า! ” ทันใดนั้นหวาหรงจวิ้นจู่ก็รีบพุ่งออกมาจากกลุ่มฝูงชน นางดึงดาบที่องครักษ์นายหนึ่งสะพายออกมา แล้วหันทิศทางดาบเตรียมแทงซูจิ่นซี

        การกระทำของหวาหรงจวิ้นจู่รวดเร็วมาก แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่สิ้นสุดคำพูด หวาหรงจวิ้นจู่พุ่งมายังด้านหน้าของซูจิ่นซี เดิมทีซูจิ่นซีก็ไม่รู้วิชาศิลปะการต่อสู้ นางจึงไม่ทันได้หลบออกไป

        ทว่าซูจิ่นซีทำเพียงแค่หรี่ตาลงและมองไปที่หวาหรงจวิ้นจู่อย่างไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย

        ฝูงชนที่อยู่รอบข้างต่างพากันปาดเหงื่อ ทว่าไม่มีผู้ใดออกมาขัดขวาง ส่วนหนึ่งคือไม่มีความสามารถ อีกส่วนหนึ่งก็คือไม่กล้า

        เมื่อดาบในมือของหวาหรงจวิ้นจู่ใกล้จะแทงเข้าที่หัวใจของซูจิ่นซีนั้น ซูจิ่นซีก็รู้สึกเพียงว่ามีเงาร่างสีน้ำเงินลอยผ่านหน้าพร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ โชยเข้ามาในจมูก เอวถูกมือหนาเย็นเฉียบคู่หนึ่งประคองเอาไว้

        หลังจากนั้นร่างของนางก็ลอยไปทางด้านหลังเบาๆ ด้วยความแข็งแรงของมือคู่นั้น

        ดวงตาของซูจิ่นซีสบเข้ากับดวงตาที่หล่อเหลาของจิ่วหรง ทำให้นางเหม่อลอยไปชั่วขณะ

        เวลานี้ เยี่ยโยวเหยาที่เฝ้ามองด้วยความเฉยเมยมาโดยตลอด ในที่สุดก็มีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น ดวงตาของเขาค่อยๆ หรี่ลง

        ขณะนั้น หวาหรงจวิ้นจู่พลันกรีดร้องขึ้นมา ดาบยาวในมือถูกจิ่วหรงใช้ขลุ่ยปัดป้องจนหักออกเป็นหลายท่อน

        ดาบท่อนหนึ่งตกลงมาเฉียดแก้มของหวาหรงจวิ้นจู่เข้าพอดี

        ทันใดนั้นนางก็กรีดร้องดัง “โอ้ย!” ขึ้นมาหนึ่งครั้ง

        “ซูจิ่นซี เจ้ากล้าหาญมากที่ทำร้ายธิดาของข้า วันนี้ข้าจะต้องนำตัวเจ้าไปประหารชีวิตอย่างแน่นอน” ฮ่องเต้ตรัสอย่างโกรธเคือง

        ฮ่องเต้ไม่ได้ตาบอด พระองค์ต้องทอดพระเนตรได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อครู่นี้เป็นจิ่วหรงที่ทำร้ายหวาหรงจวิ้นจู่ ฮ่องเต้ต้องการควบคุมตัวซูจิ่นซีไว้ด้วยพระทัยหนักแน่น วันนี้พระองค์จะไม่ปล่อยซูจิ่นซีไปอย่างแน่นอนและผู้ใดก็ไม่สามารถโต้แย้งได้!

        “ปรารถนาเล่นงานผู้ใด ก็ย่อมหาข้ออ้างมาได้เสมอ! ” ซูจิ่นซีไม่แสดงถึงอาการอ่อนข้อแม้แต่น้อย

        “เรียกทหารมา! คุมตัวซูจิ่นซีไปเข้าคุก! ”

        องครักษ์ทั้งสี่นายก้าวไปข้างหน้า เตรียมนำซูจิ่นซีเข้าคุกอีกครั้ง

        ใบหน้าของจิ่วหรงที่ยืนอยู่ข้างกายซูจิ่นซีค่อยๆ ปรากฏหมอกควันดำครึ้มลอยขึ้นมา องครักษ์ทั้งสี่นายเกิดหวาดกลัวเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ไม่กล้าเดินหน้าต่อ

        “ฝ่าบาท หรือว่าเรื่องนี้ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ? ว่าซิ่งหลิวหลียืมมือฮั่วอวี้เจียวและหวาหรงจวิ้นจู่เพื่อนำเอาสุราอาบยาพิษไปมอบไว้ในตำหนักจ้งหวาของฮองเฮา เหตุใดพระองค์จึงรีบร้อนกักขังหม่อมฉันเช่นนี้ หรือพระองค์คิดหลีกเลี่ยงอันใดบางอย่าง? ”

        ซูจิ่นซีอารมณ์เดือดพล่านขึ้นมาอย่างรุนแรง นางแสดงความยั่วยุออกมาอย่างเปิดเผย

        หากฮ่องเต้ตรัสว่าตั้งแต่ต้นจนจบพระองค์มองเรื่องนี้ได้ไม่ชัดเจนนัก ฝูงชนจะต้องคิดว่าพระองค์โง่เขลา กระทั่งเบาปัญญาอย่างแน่นอน ชาวบ้านคนธรรมดายังสามารถตระหนักรู้ได้ว่าเรื่องใดที่พวกเขาไม่เข้าใจ

        ตรงกันข้าม… ฮ่องเต้ยิ่งทรงยอมรับไม่ได้

        “ซูจิ่นซี เจ้าช่างกล้านัก! ” ฮ่องเต้ทรงกริ้วอย่างมาก

        สายตาของซูจิ่นซีไม่แสดงออกถึงอาการอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อย

        เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว นางไม่มีอันใดต้องกลัวเช่นกัน

        “ซูจิ่นซี คำพูดเหล่านี้ล้วนเป็นคำพูดใส่ร้ายของเจ้าเพียงฝ่ายเดียว ยากที่จะโน้มน้าวใจให้ทุกคนเชื่อได้ อีกทั้งเจ้าเองก็ยังไม่มีหลักฐาน แล้วเจ้ามีสิทธิอันใดมาพูดว่าตนถูกต้อง? ” เยี่ยเซินกล่าวขึ้น

        ทว่าที่เยี่ยเซินพูดออกมาเช่นนี้ แม้แต่ตัวเขาเองยังยากที่จะอธิบาย

        เพราะก่อนหน้านี้ฮั่วอวี้เจียวและหวาหรงจวิ้นจู่นั้นได้แสดงออกอย่างชัดเจนแล้ว

        ทว่าภายในใจของเยี่ยเซิน ยังคงคิดปกป้องน้องสาวแท้ๆ ของตนและสตรีผู้เป็นที่รัก

        ไม่รอให้ซูจิ่นซีเปิดปากพูด ทันใดนั้นฮั่วซืออวี่ก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางฝูงชน “ข้าสามารถเป็นพยานให้พระชายาได้”

        ก่อนที่จะช่วยซิ่งหลิวหลีออกมาจากผีดิบติดพิษ ฮั่วซืออวี่และฉินเทียน พวกเขาทั้งสองได้ออกไปตามหานาง ดังนั้นจึงเพิ่งได้กลับมาเอาตอนนี้ ทั่วทั้งร่างล้วนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า

        “ฮั่วซืออวี่ เมื่อครู่เจ้าพูดว่ากระไรนะ? ข้าไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่? คาดไม่ถึงว่าเจ้าต้องการเป็นพยานให้ซูจิ่นซีอย่างนั้นหรือ? ตอนนี้นางกำลังปรักปรำน้องสาวของเจ้าอยู่นะ”

        ในใจของฮั่วซืออวี่คิดเพียงว่าต้องการเป็นพยานให้กับซูจิ่นซี เพื่อให้ความจริงถูกเปิดเผย เพียงคิดว่าใบหน้าที่ชั่วร้ายจะไม่มาต่อสู้ช่วงชิงกับซูจิ่นซีอีก ทว่าไม่ได้คิดมากมายถึงเพียงนั้น

        ฮั่วซืออวี่ลังเลไปชั่วขณะ ไม่นานก็กล่าวอย่างหนักแน่นว่า “พ่ะย่ะค่ะ ไท่จื่อ หม่อมฉันเป็นพยานให้ซูจิ่นซีได้ เวลานั้นหม่อมฉันปลอมตัวเป็นฮองเฮาเข้าไปในวัดพุทธฝ่าและถูกเหล่าผีดิบติดพิษโจมตี ภายในถ้ำ หม่อมฉันได้ยินกับหูตนเอง ซิ่งหลิวหลีพูดว่านางเป็นคนวางยาพิษฮองเฮา”

        “แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น แล้วมันเกี่ยวอันใดกับหวาหรงและคุณหนูฮั่วเล่า? ” เยี่ยเซินกล่าวขึ้น

        เจ้ายังจะพูดจายอกย้อนอยู่อีกหรือ?

        เยี่ยเซินคิดจะบิดเบือนข้อเท็จจริงที่ยุติธรรมและสมเหตุสมผลให้ได้เลยนี่!

        เขาช่างหน้าด้านเสียจริง

        ช่วงเวลานี้ ฮั่วซืออวี่ก็ไม่สามารถบอกได้ถึงสาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะเขาไม่มีหลักฐานว่าเรื่องที่ฮองเฮาถูกวางยาพิษนั้นเกี่ยวข้องกับหวาหรงและฮั่วอวี้เจียว ในตอนที่อยู่ในถ้ำ ซิ่งหลิวหลีไม่ได้เปิดเผยข้อมูลที่แท้จริงเช่นกัน

        ฮั่วซืออวี่ทำเพียงมองไปยังฮั่วอวี้เจียวด้วยท่าทีที่แปลกไป สายตาแฝงไปด้วยความทุกข์ใจจากความรู้สึกผิด

        ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงครวญครางดังมาจากในหีบ ซิ่งหลิวหลีได้สติขึ้นมาแล้ว

        ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็คิดบางอย่างในใจ

        ในขณะที่ฝูงชนยังคงตกใจกันอยู่ ซูจิ่นซีพูดกับซิ่งหลิวหลีที่ยังไม่ได้สติดีว่า “ซิ่งหลิวหลี ข้าต้องขอนับถือเจ้า อุบายที่เจ้าใช้เป็นกลยุทธ์ที่ดีเสียจริง แม้ว่าตัวคนจะอยู่ภายนอกวังหลวง ทว่ากลับใช้ประโยชน์จากบุคคลที่ยิ่งใหญ่และสำคัญของตระกูลจงหนิงได้ถึงสองคน แต่น่าเสียดายที่เจ้าพบเจอกับข้า…ซูจิ่นซี เจ้าจึงทำได้ไม่สำเร็จ ชีวิตนี้เจ้าอย่าคิดว่าจะสังหารฮองเฮาแห่งจงหนิงของข้าได้”

        ซิ่งหลิวหลีที่เพิ่งจะได้สติ ก็ถูกซูจิ่นซีอาศัยโอกาสตอนที่เดินเข้ามาใกล้วางยาหลอนประสาทให้กับซิ่งหลิวหลีอย่างเงียบเชียบ เดิมทีสมองของซิ่งหลิวหลียังคงพร่ามัวไม่ได้สติดีนัก ตอนนี้นางก็ยิ่งสับสนมากขึ้น

        ซิ่งหลิวหลีมองเห็นทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างชัดเจน นางพบว่าตนเองถูกจับเสียแล้ว ทว่าซิ่งหลิวหลีไม่ได้คิดอันใดมาก ตรงกันข้าม นางกลับสงบเป็นอย่างยิ่ง “หึ หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ข้าคงไม่ใช้ยาพิษเรื้อรังตั้งแต่แรก น่าจะใช้พิษร้ายแรงที่ทะลุลำไส้ทำให้ตายเร็ว”

        “นับตั้งแต่โบราณกาลมา มีคำพูดที่ว่าแพ้เป็นโจร ชนะเป็นราชา เจ้าจะพูดอันใดก็สายไปเสียแล้ว ทว่าซิ่งหลิวหลี เจ้าไม่ควรเอาผู้บริสุทธิ์มาเกี่ยวข้อง” ซูจิ่นซีหลอกล่อให้นางติดกับดัก

        ผู้อื่นเพียงฟังอย่างเงียบงัน รอคอยโดยไม่มีการห้ามปราม

        ทันใดนั้นซิ่งหลิวหลีก็เปล่งเสียงหัวเราะขึ้นมาดังๆ สองครั้ง “ฮ่าๆ ข้า…ซิ่งหลิวหลียอมรับว่ามือแปดเปื้อนไปด้วยเลือด ข้าเป็นหนี้ชีวิตคนไปเท่าไร ในสายตาของคนรอบข้างข้าก็คือมือสังหารที่ฆ่าผู้คนในชั่วพริบตามาช้านาน ซูจิ่นซี เจ้าเองบริสุทธิ์ใจแล้วใช่หรือไม่? เจ้าคิดจะโต้เถียงกับข้าว่าอันใดคือความเมตตาอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นข้าจะบอกเจ้าให้ว่า ข้า…ซิ่งหลิวหลีตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกเจ้าในวันนี้ ไม่มีอันใดจะพูดอีก เพียงได้ลากบุตรสาวและองค์หญิงผู้สง่างามของแม่ทัพสกุลใหญ่มาลงนรกด้วยกัน ก็พอใจมากแล้ว”

        ซิ่งหลิวหลีพูดจบ นัยน์ตาพลันสว่างขึ้นมาในทันทีเหมือนว่านางคิดอันใดขึ้นมาได้ ซิ่งหลิวหลีมองไปทางฮั่วอวี้เจียว “โอ้ ใช่แล้ว หากข้าจำไม่ผิด ตามกฎหมายจงหนิงของพวกเจ้า หากลอบฆ่าคนในราชวงศ์ แม้จะมีส่วนรู้เห็นเพียงเล็กน้อยก็ต้องริบทรัพย์สินและฆ่าทิ้งทั้งตระกูล ฉะนั้น ข้าก็ได้กำไรอย่างยิ่ง! และยังมีสกุลฮั่วทั้งตระกูลที่ถูกฝังไปกับข้า!”

        ฮั่วอวี้เจียวที่ถูกกดดันเป็นเวลานานเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว ทันใดนั้นนางก็ก้าวออกไปบีบคอของซิ่งหลิวหลี “เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้! หุบปาก! หุบปาก! ข้าไว้ใจเจ้าถึงเพียงนี้ ให้เจ้าเป็นเพื่อนที่รู้ใจที่สุดของข้า เหตุใดเจ้าถึงโกหกข้า? เหตุใด? เหตุใดกัน? ”

        ฮั่วอวี้เจียวร้องตะโกนอย่างควบคุมไม่อยู่ น้ำตาไหลลงมาราวกับลูกปัดที่ขาดออกจากเส้นด้าย

        ไม่รู้ว่าภายใต้ฝ่ามือนี้นำเอาพละกำลังมาจากที่ใด ทันใดนั้น ฮั่วอวี้เจียวที่ไม่รู้วรยุทธก็บีบใบหน้าของซิ่งหลิวหลีจนแดงเถือก หากไม่ใช่เพราะองค์รักษ์มาขวางไว้ ฮั่วอวี้เจียวก็คงบีบซิ่งหลิวหลีให้ตายไปแล้ว

        ช่วงเวลานั้นซิ่งหลิวหลีหอบจนตัวโยน อีกทั้งยังไอออกมาอย่างรุนแรงถึงสองครา ทว่าซิ่งหลิวหลีกลับไม่ได้พูดจาอันใด ทำเพียงนั่งอยู่ในหีบไม้ด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างมาก คาดไม่ถึงว่าขณะนั้นซิ่งหลิวหลีจะมองไปทางเยี่ยโยวเหยาด้วยสายตาที่อ้างว้างเล็กน้อย

        ทว่านอกจากซูจิ่นซีแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นท่าทางที่ผิดปกติของซิ่งหลิวหลีเลย

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset