เพราะคำพูดเหล่านั้นของฮองเฮา ทำให้ตาชั่งแห่งความปรารถนาดีและยุติธรรมของฮองเฮาที่อยู่ภายในใจของซูจิ่นซีเริ่มเอนเอียงไป
คาดไม่ถึงเลยว่าฮองเฮาก็เป็นเช่นนี้ด้วย
“ฮองเฮา คำพูดเช่นนี้ของพระองค์ดูแล้วไม่เหมาะสมกระมัง? หรือเป็นเพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหวาหรงจวิ้นจู่ พระองค์ซึ่งเป็นฮองเฮา…แม่ของแผ่นดิน สิ่งที่เคยตรัสไว้ทั้งหมดก็สามารถกลายเป็นการผายลมได้อย่างนั้นหรือ พระองค์ไม่รักษาคำพูดแล้วหรือ? พสกนิกรมากมายกำลังมองมาที่พระองค์อยู่นะเพคะ! ”
คำพูดของซูจิ่นซีนั้นตรงไปตรงมาทั้งยังไม่น่าฟังอีกด้วย ดวงตาของนางเฉียบแหลม
ทันใดนั้นฮองเฮาก็สำลักและทอดพระเนตรพสกนิกรที่อยู่ใต้ลานพระที่นั่งอย่างเงียบๆ ด้วยความอึดอัดเป็นอย่างมาก
“อีกอย่าง จวนสกุลฮั่วทั้งสามรุ่นยังเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์ภักดี และเป็นแม่ทัพของเราชาวจงหนิง พวกเขาสร้างวีรกรรมความดีความชอบ รบชนะศัตรูมากมาย เลือดที่หลั่งรินให้แก่แม่ทัพฮั่วและหัวหน้าขุนพลฮั่วนั้น นับว่าเป็นการทำความดีชดเชยความผิดได้แล้วกระมัง? ”
ฮั่วอวี้เจียวไม่คาดคิดว่า ในเวลานี้ซูจิ่นซียังสามารถยืนขึ้นและพูดแทนจวนสกุลฮั่วได้
มีบิดาที่คอยทำให้นางลำบากเสียหลายครั้งหลายหน น้องสาวของฮั่วซืออวี่อย่างฮั่วอวี้เจียวก็คิดดึงนางให้พ้นจากฐานะพระชายาโยวอ๋องแล้วเข้าแทนที่ ผู้ที่อยากให้สกุลฮั่วต้องพบเจอกับหายนะมากที่สุดควรเป็นซูจิ่นซีไม่ใช่หรือ? เหตุใดนางถึงยังพูดแทนพวกเขาเล่า
สตรีนางนี้ไม่ธรรมดาเสียจริง
ฮั่วอวี้เจียวมองไปที่ซูจิ่นซี ในแววตาของนางนอกจากความตกใจและตื้นตันใจแล้ว ยังมีบางสิ่งที่แตกต่างออกไปในแววตานั้น
แม้แต่แม่ทัพฮั่วที่ไม่ได้พูดอันใดมาตลอดก็ยังรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก กระทั่งรู้สึกทรมานใจจากความละอายอยู่บ้างเพราะก่อนหน้านี้ ตนเคยกลั่นแกล้งซูจิ่นซีไว้มากมาย
“ซูจิ่นซี สมองของเจ้าไม่ใช่ว่ามีปัญหาหรอกกระมัง? คาดไม่ถึงว่าจะกล่าวขอความเมตตาแทนจวนสกุลฮั่ว อ้อ ไม่สิ สมองของเจ้ามีปัญหาอยู่แล้ว เจ้ามันโง่ เป็นเพียงคนโง่คนหนึ่ง ดูแล้วสมองของเจ้ายังไม่หายดีสินะ”
ทันใดนั้นในหมู่ฝูงชนก็มีคนกล่าวขึ้น
ซูจิ่นซียิ้มแผ่วเบาที่มุมปาก ไม่พูดอันใดแม้แต่น้อย
แม้ระหว่างนางกับฮั่วอวี้เจียวจะมีความขัดแย้งกัน กับแม่ทัพฮั่วก็เคยมีเรื่องมีราวกันมาก่อน ทว่าตอนนี้สถานการณ์ต่างออกไป ผู้คนหลายชีวิตถึงเพียงนั้น! แม้ว่าพวกเขาจะต้องตาย ก็ไม่ควรมีสาเหตุมาจากนาง มิฉะนั้นเมื่อนางตายไปจะต้องตกนรกแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้ตอนที่นางขอความช่วยเหลือจากฮั่วซืออวี่ นางก็ได้ตัดสินใจรับปากว่าจะปกป้องจวนสกุลฮั่ว
“ฝ่าบาท ยิ่งไปกว่านั้น หัวหน้าขุนพลฮั่วยังได้เสี่ยงอันตรายและให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดีในการจับฆาตกรตัวจริง หากไม่นับคุณงามความดีครั้งก่อน ครั้งนี้ก็ถือว่าพระองค์ทำบุญให้แก่สกุลฮั่วได้หรือไม่? ความยุติธรรมนั้นอยู่ในใจ หากพระองค์ตัดสินพระทัยผิดพลาด เข่นฆ่าแม่ทัพที่ภักดี ผู้คนก็คงไม่เห็นด้วยนะเพคะ”
ซูจิ่นซีกล่าว พร้อมกับกวาดสายตาไปยังฝูงชนที่เฝ้ามองอยู่
ทันใดนั้นก็มีคนในฝูงชนเริ่มเอ่ยขอร้องขึ้นมา
“ฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงยกโทษให้แก่ตระกูลของแม่ทัพฮั่วด้วยเถิด! ”
“ใช่ ฝ่าบาท! แม่ทัพฮั่วกับหัวหน้าขุนพลฮั่วเป็นคนดีนะพ่ะย่ะค่ะ! ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนในจวนสกุลฮั่วมากมายล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งหมด”
จวนสกุลฮั่วคอยปกป้องประเทศ เกียรติยศของพวกเขาในหมู่ประชาชนจึงค่อนข้างลึกซึ้ง
“ฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงปล่อยจวนสกุลฮั่วไป”
“ฝ่าบาท ปล่อยแม่ทัพฮั่วกับหัวหน้าขุนพลฮั่วเถิดพ่ะย่ะค่ะ! ”
ไม่นานก็มีคนคุกเข่าลงแล้วร้องขอชีวิตแทนจวนสกุลฮั่ว พื้นที่ขนาดใหญ่ด้านล่างลานพระที่นั่งจึงเต็มไปด้วยภาพผู้คนกำลังคุกเข่า
แม้พระพักตร์ของฮ่องเต้จะไม่มีสิ่งใดแตกต่างไปจากเดิม ทว่าอารมณ์ภายในพระทัยของพระองค์ใกล้จะระเบิดออกเต็มที ฮ่องเต้ไพล่แขนไปทางด้านหลัง กำพระหัตถ์ทั้งสองข้างแน่น
“ขุนนางฮั่ว เจ้าว่าอย่างไร? ”
ดวงตาที่สง่างามของฮ่องเต้กวาดไปที่ด้านข้างของแม่ทัพฮั่ว ตรัสถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
แม่ทัพฮั่วผู้เถรตรง เขาคุกเข่าลงบนพื้นและกล่าวด้วยเสียงที่คมชัด “จวนสกุลฮั่วมีบุตรสาวที่ด้อยค่าเช่นนี้ เป็นเพราะกระหม่อมที่ไม่สามารถสั่งสอนให้ดีได้ แม้ต้องตายร้อยครั้งก็ไม่เพียงพอ ทว่าบุรุษสกุลฮั่วอย่างกระหม่อมขอยอมตายในสนามรบด้วยคมดาบเสียยังดีกว่า โปรดให้โอกาสจวนสกุลฮั่วของกระหม่อมได้ชดใช้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ท่ามกลางฝูงชนที่มีความประทับใจต่อคนของจวนสกุลฮั่ว เมื่อได้ฟังคำพูดเหล่านี้ก็ยิ่งประทับใจในความเป็นลูกผู้ชายของแม่ทัพฮั่วขึ้นไปอีก
“แม่ทัพฮั่ว เยี่ยมมาก! ”
“แม่ทัพฮั่ว เยี่ยมมาก! ”
“แม่ทัพฮั่ว เยี่ยมมาก! ”
……
“ฝ่าบาท หากลูกผู้ชายที่ดียอมตายในสนามรบ พระองค์ก็ให้โอกาสจวนสกุลฮั่วเถิดพ่ะย่ะค่ะ! ”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ในจวนสกุลฮั่วตอนนี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นบุรุษที่ถือดาบเพื่อปกป้องชาติบ้านเมือง จะให้พวกเขามาตายอยู่นอกสนามรบก็น่าเสียดาย พระองค์ทรงให้โอกาสจวนสกุลฮั่วเถิดพ่ะย่ะค่ะ! ”
ความปรารถนาของประชาชน ไม่ว่าฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่จะไร้ความสามารถเพียงใดก็ไม่อาจเพิกเฉยได้ ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ฮ่องเต้ไม่มีโอกาสให้เลือกมากนัก
ในตอนที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น ซูจิ่นซีก็เดินไปที่ด้านข้างของฮองเฮาอย่างเงียบงัน และเพิ่มการเดิมพันกับฮองเฮา “ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันลืมบอกพระองค์ว่า แม้ก่อนหน้านี้พิษในร่างกายของพระองค์จะถูกหม่อมฉันกำจัดไปแล้ว ทว่าไม่กี่วันมานี้ พระองค์คงไม่ได้ตรวจสอบอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งมายังตำหนักหวาจงได้อย่างครบถ้วน หม่อมฉันพบว่าร่างกายของพระองค์ถูกพิษอีกแล้วเพคะ! ดูเหมือนหม่อมฉันจะจำได้ว่าหมอหลวงทุกคนในสำนักหมอหลวงล้วนไม่มีวิธีรักษานะเพคะ”
ด้วยทักษะลับเฉพาะ ก่อนหน้านี้หลังจากรักษาฮองเฮาให้หายแล้ว แม้กระทั่งหมอหลวงอวิ๋นถาม ซูจิ่นซีก็ยังไม่ได้พูดออกไป
ดังนั้นหากคิดจะถอนพิษ ฮองเฮายังต้องขอร้องซูจิ่นซี
พระพักตร์ที่มืดมนของฮองเฮาค่อยๆ เปลี่ยนไป
ก่อนหน้านี้หลังจากที่ถอนพิษเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าจะตรวจสอบอาหารที่เข้ามายังตำหนักหวาจงอย่างละเอียดเพียงใด ทว่าพระองค์กลับไม่คาดคิดว่าปัญหาจะอยู่ที่ธิดาของตน ดังนั้นสุราที่หวาหรงจวิ้นจู่ส่งเข้ามาในภายหลัง พระองค์จึงได้เสวยอยู่บ่อยครั้ง
ไม่แน่ว่าที่ซูจิ่นซีบอกว่าตนถูกพิษอาจเป็นความจริง
ซูจิ่นซีต้องการข่มขู่ให้ฮองเฮาเปลี่ยนแปลงการตัดสิน นางต้องการให้ฮองเฮาทำตามสัญญาที่พระองค์ตรัสไว้ก่อนหน้านี้ ขอความเมตตาไว้ชีวิตแทนจวนสกุลฮั่ว!
“ซูจิ่นซี เจ้าช่างต่ำช้าเสียจริง” ฮองเฮาแทบจะกัดฟันด้วยความแค้น
“อีกาในโลกใบนี้โดยทั่วไปล้วนเป็นสีดำ ท่านกับข้าไม่ควรเถียงกันถึงปัญหาที่ว่าใครขาวกว่ากัน ฮองเฮาเพคะ หากปราศจากจวนสกุลฮั่วแล้ว ตามสถานการณ์ในตอนนี้ ทั้งท้องฟ้าและผืนแผ่นดิน ดูเหมือนว่าจะเป็นพระองค์และฝ่าบาทเสียมากกว่าที่จะประสบกับปัญหานะเพคะ”
สกุลฮั่วเป็นกระดูกสันหลังทางทหารของจงหนิง หากปราศจากจวนสกุลฮั่วแล้ว ในยุคของสงครามและความวุ่นวายนี้ แคว้นจงหนิงจะต้องพบเจอกับความยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง
ฮองเฮากำพระหัตถ์แน่น เล็บแทบจะกดเข้าไปในฝ่าพระหัตถ์ พระองค์เกลียดจนอยากจะฆ่าซูจิ่นซีให้ตาย
โดยไม่ได้คาดคิด ซูจิ่นซีกลับมองไปที่ฮองเฮาแล้วขยิบตาให้ พร้อมทั้งยกยิ้มอย่างพอใจที่มุมปาก
ฮองเฮาแทบจะอาเจียนเป็นเลือดด้วยความโกรธ
คำวิงวอนของประชาชนต่อจวนสกุลฮั่วยังคงดำเนินต่อไป และฮ่องเต้ก็ยังคงนิ่งเงียบ
ในที่สุดฮ่องเฮาก็ระงับความโกรธและอารมณ์ต่างๆ ไว้ภายในใจ พระองค์ทรงยืนขึ้นและเดินไปทางด้านข้างของฮ่องเต้
“ฝ่าบาท หม่อมฉันคิดว่าไม่อาจประหารสกุลฮั่ว พวกเขาไม่ควรถูกตัดสินลงโทษเพราะความผิดของฮั่วอวี้เจียวเพียงผู้เดียว อีกอย่างฮั่วอวี้เจียวก็ไม่รู้ถึงสถานการณ์จึงถูกผู้อื่นหลอกใช้โดยไม่รู้ตัว แม้ว่าหม่อมฉันจะถูกวางยาพิษ ทว่าโชคดีที่ไม่มีอันตราย นี่คงเป็นเพราะสวรรค์ประทานพร ขอฝ่าบาททรงรับสั่งกับจวนสกุลฮั่วใหม่ด้วยเถิดเพคะ! ”
“ฮองเฮา เจ้า… ”
ฮ่องเต้คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ฮองเฮาก็ยืนขึ้นและร้องขอให้กับจวนสกุลฮั่ว ทว่าเมื่อได้เผชิญหน้ากับฮองเฮาแล้ว คำพูดข้อกล่าวหาทั้งหมดก็ไม่สามารถกล่าวออกมาได้
พระองค์ทำได้เพียงสะบัดแขนเสื้อแล้วสูดลมหายใจลึกๆ เท่านั้น
ในตอนนี้ เยี่ยเซินที่อยู่ด้านข้างก็เม้มริมฝีปาก และกล่าวอย่างลังเลว่า “เสด็จพ่อ หม่อมฉันเห็นด้วยว่าไม่ควรประหารทั้งสกุลฮั่ว พวกเขาหลายคนเป็นผู้บริสุทธิ์ ขอพระองค์โปรดเมตตาปล่อยจวนสกุลฮั่วไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ! บัดนี้สถานการณ์ในไหวเจียงไม่มั่นคงนัก หลังจากนี้ยังมีโอกาสอีกมากที่จะให้จวนสกุลฮั่วได้ชดใช้ความผิดนะพ่ะย่ะค่ะ! ”
เยี่ยเซินใจดีถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
เขาขอร้องให้จวนสกุลฮั่ว เพราะไม่ต้องการเห็นฮั่วอวี้เจียวปวดใจก็เท่านั้น
แท้จริงแล้ว ฮ่องเต้ไม่ได้ปรารถนาจะลงโทษจวนสกุลฮั่ว ทว่าก่อนหน้านี้ พระองค์ต้องการใช้โอกาสนี้ในการกำจัดจวนโยวอ๋อง กลับคิดไม่ถึงว่าโอกาสจะตกไปอยู่ในมือของซูจิ่นซีอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นพระองค์ยังได้รับคำเตือนจากเยี่ยโยวเหยาอีกด้วย ดังนั้นฮ่องเต้จึงบันดาลโทสะจนเกินจะควบคุม ในพระทัยร้อนดั่งไฟเผา พระองค์จึงต้องการหากระสอบทรายมาเพื่อระบายเท่านั้น
ไม่คาดคิดว่าบัดนี้ แม้แต่จวนสกุลฮั่วที่เป็นกระสอบทรายให้ระบายนั้นกลับไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้แล้ว ช่างน่าหงุดหงิดเสียจริง
แม้จะเกิดโทสะ ทว่าภาพลักษณ์ของฮ่องเต้ที่อยู่เบื้องหน้าพสกนิกรยังมีความจำเป็น อีกทั้งจิตใจของประชาชนที่มองมายังพระองค์ก็ต้องรักษาเอาไว้
ทันใดนั้นฮ่องเต้ก็หันกลับมา ท่าทางเคร่งขรึมและสง่างามดั่งเมฆดำที่ปกคลุมอย่างหนาแน่น “วันนี้ เนื่องจากฮองเฮาและไท่จื่อ รวมถึงทุกคนได้เอ่ยขอร้องไว้ ข้าจะไว้ชีวิตคนของจวนสกุลฮั่วชั่วคราว ขุนนางฮั่ว นับจากนี้พวกเจ้าสกุลฮั่วต้องรักษาโอกาสครั้งนี้ไว้ให้ดี อย่าทำให้ข้าและเหล่าพสกนิกรต้องผิดหวัง”