สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 107 ใบหน้าที่แท้จริงของซิ่งหลิวหลี

    ใบหน้านั้นทำเอาทุกคนในที่นี้แทบตกตะลึง

        โดยเฉพาะการแสดงออกของซูจ้งนั้นช่างดูวิเศษนัก เป็นเขาที่ค้นพบความแตกต่างของซิ่งหลิวหลี เขาทั้งรีบเร่ง ทั้งเบิกบานที่จะเปิดเผยข้อเท็จจริง เพื่ออ้างเอาความดีความชอบเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ว่าเขาเป็นผู้ที่ถอดหน้ากากผิวหนังมนุษย์ออกจากใบหน้าของซิ่งหลิวหลีด้วยตนเอง

        ทว่าคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงเลยว่า ใบหน้าที่อยู่ภายใต้หน้ากากผิวหนังมนุษย์นั้นจะกลายเป็นบุตรสาวของตนเอง ‘ซูเมิ่งเหยา’

        นี่เท่ากับว่าเป็นการตบหน้าตนเองอย่างรุนแรง

        ซูจ้งยืนอยู่ตรงนั้น ในมือของเขาถือหน้ากากผิวหนังมนุษย์ที่ดึงออกจากใบหน้าของซูเมิ่งเหยา ปากอ้าเปิดด้วยความประหลาดใจเป็นรูปตัว ‘O’ ดวงตาทั้งสองข้างแสดงออกถึงความไม่อยากจะเชื่อ ทั้งยังไม่กล่าวอันใดแม้แต่น้อย

        ใบหน้าของซูจิ่นซีก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงเช่นกัน

        นางจำได้ว่าตนเองเคยไปหาซูเมิ่งเหยาที่เรือนก่อนหน้าที่จะแต่งเข้าจวนโยวอ๋อง หลังจากที่ซูจิ่นซีออกจากเรือนไป ซูเมิ่งเหยาก็ไม่ปรากฎตัวออกมาอีก หลังจากนั้นนางก็ติดต่อกับจวนสกุลซูน้อยมาก ซูจิ่นซีจึงไม่ได้พบเจอกับซูเมิ่งเหยาอีกเลย

        คาดไม่ถึงว่าซิ่งหลิวหลีจะกลายเป็นซูเมิ่งเหยาไปได้

        นางเป็นผู้ที่อ่อนโยนและใจดีผู้หนึ่ง!

        สิ่งที่ซิ่งหลิวหลีทำทั้งหมดนั้น อย่างไรก็ไม่มีทางเทียบกับซูเมิ่งเหยาได้ ทว่าในเวลานี้ ข้อเท็จจริงปรากฏอยู่ตรงหน้า ซูจิ่นซีทนไม่ได้ที่จะเก็บความสงสัยแม้แต่ครึ่งคำ

        เยี่ยโยวเหยาที่ไม่เคยใส่ใจสิ่งใด บัดนี้การแสดงออกของเขายากที่จะเก็บงำไว้ได้ ใบหน้าเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

        เขาเคยพบซูเมิ่งเหยามาก่อน

        องครักษ์เงาของเขาเคยเข้าใจผิดเพียงเพราะเข็มขัดหยกเส้นหนึ่ง ซูเมิ่งเหยาเคยเป็นผู้ที่เขาต้องการตามหาตัว องครักษ์เงาได้นำนางมาที่จวนโยวอ๋อง ในตอนนั้นเยี่ยโยวเหยายังเข้าใจผิด คิดว่าผู้ที่บังคับขืนใจตนที่สวนหลังจวนสกุลซูคือซูเมิ่งเหยาผู้นี้

        ทว่าเขาจำได้ว่า ตอนนั้นได้สั่งให้องครักษ์สับร่างของคนผู้นี้ให้เป็นหมื่นๆ ชิ้นแล้ว เหตุใดนางยังมีชีวิตอยู่ได้?

        ดวงตาของเยี่ยโยวเหยาค่อยๆ หรี่ลง ดำมืดเป็นอย่างยิ่ง

        ฉินเทียนที่ยืนอยู่ด้านข้างคอยเฝ้าดูได้สังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของเยี่ยโยวเหยามานานแล้ว ฉินเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มว่า “โยวเหยา เรื่องนี้ข้าจะไปตรวจสอบให้ชัดเจน”

        ดูเหมือนว่าคนของจวนโยวอ๋องและคนของวิหารวิญญาณจะไม่จงรักภักดีมากพอ คงต้องได้รับการจัดระเบียบเสียใหม่

        ซูจิ่นซีมองไปยังใบหน้าของซูเมิ่งเหยาที่หมองคล้ำ ทว่าซูเมิ่งเหยากลับสงบนิ่งเป็นอย่างมาก นางยกยิ้มแผ่วเบาที่มุมปาก

        ฮ่องเต้ไม่มีพระทัยต่อเรื่องเหล่านี้แล้ว ทว่าทันทีที่พระองค์คิดจะจากไปก็ราวกับบีบหางของใครบางคนเอาไว้ได้ ฮ่องเต้หันกลับมาด้วยความสนพระทัย

        “หึ… ดูเหมือนว่าละครฉากนี้ยิ่งแสดงก็ยิ่งน่าสนใจมากขึ้นเสียแล้ว” เยี่ยเซินหัวเราะเยาะเย้ยขึ้นมา

        ซูจ้งที่กำลังตกตะลึงก็ยิ่งทำอันใดไม่ถูก

        “ซูจ้ง ที่แท้เจ้านี่ช่างทุ่มเทแสดงความซื่อสัตย์เสียจริง คงเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้า เมื่อคนในสกุลทำผิด เจ้าก็ว่าไปตามผิดโดยไม่เห็นแก่ความเป็นญาติมิตรถึงสองครั้งสองหน คงลำบากเจ้าไม่น้อยเลย ก่อนหน้านี้เป็นซูจิ่นซี ตอนนี้ก็เป็นซูเมิ่งเหยาอีก หึๆ… ” เยี่ยเซินเย้ยหยัน

        “เรื่องราวนี้ คาดไม่ถึงว่าตัวการหลักที่ก่อคดีร้ายแรงกลับเป็นคนของสกุลซู ตามกฎหมายของจงหนิง อย่างไรก็ตามต้องประหารเก้าชั่วโคตร ความผิดของสกุลซูนับว่าร้ายแรงกว่าสกุลฮั่วอีก! ดูเหมือนว่าคราวนี้สกุลซูคงหนีไม่พ้นเสียแล้ว”

        “หัวหน้าสำนักหมอหลวงซูทำเช่นนี้ได้อย่างไร? เขาโง่หรือไม่? คาดไม่ถึงว่าจะยกก้อนหินขึ้นมาทุบเท้าตนเอง”

        “ข้าว่านะ เขาต้องการได้หน้าในราชสำนักจนบ้าไปแล้วอย่างไรเล่า! เจ้าดูการแสดงออกของเขาสิ ไม่รู้ความจริงอย่างแน่นอน!”

        “อ้าว… แท้ที่จริงสกุลซูก็น่าสงสารเช่นกัน คาดไม่ถึงว่าซูเมิ่งเหยาจะเป็นผู้ที่ทำให้เกิดหายนะถึงเพียงนี้ สงสารก็เพียงแต่พระชายาโยวอ๋อง เกรงว่าครั้งนี้ แม้โยวอ๋องจะมีใจปกป้อง ก็คงปกป้องนางไม่ไหวแล้วกระมัง? ”

        “ไม่แน่หรอก? ไม่ว่าอย่างไร โยวอ๋องกับฝ่าบาทก็เป็นพี่น้องที่สนิทชิดเชื้อกัน หากโยวอ๋องมีใจจะปกป้องพระชายาโยวอ๋อง ฝ่าบาทก็คงต้องเห็นแก่ฮ่องเต้พระองค์ก่อน แล้วไว้หน้าโยวอ๋องสิ! ”

        “จะเป็นไปได้อย่างไร? ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้ในพระทัยของฝ่าบาทต้องการกำจัดจวนโยวอ๋องนี่! ไม่แน่ว่าครั้งนี้โยวอ๋องอาจจะเกี่ยวพันกับจวนสกุลซูไปด้วย! ”

        ……

        ในฝูงชนเริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเงียบๆ ขึ้นมาอีกครั้ง

        “พระชายาโยวอ๋อง เรื่องนี้เจ้าควรอธิบายอันใดสักหน่อยหรือไม่? ”

        ฮ่องเต้กดความรู้สึกพึงพอพระทัยเอาไว้ แล้วตรัสถามซูจิ่นซีอย่างจริงจัง

        ในเวลานี้ซูจิ่นซีเพิ่งฟื้นจากความประหลาดใจ นางวางแผนจะเผชิญหน้ากับมันอย่างไม่หวาดหวั่น

        “ฝ่าบาท พระองค์หมายความว่าอย่างไรเพคะ? เหตุใดหม่อมฉันจึงรู้สึกว่าพระองค์กำลังตำหนิหม่อมฉันอยู่? สมควรแล้วหรือเพคะ? หากหม่อมฉันรู้ว่าใบหน้าที่แท้จริงของฆาตกรคือพี่สี่ของหม่อมฉัน…ซูเมิ่งเหยา หม่อมฉันยังจะต้องเสียแรงทำงานมากมายถึงเพียงนั้นหรือเพคะ? ”

        “ขุนนางซู เจ้าจะว่าอย่างไร? ”

        ฮ่องเต้เดินกลับไปยังที่นั่งมังกรอย่างไม่รีบร้อน พลางตรัสถามซูจ้ง

        ซูจ้งตกใจจนเสียสติไปแล้ว ยังไม่ทันจะเรียกสติกลับมาก็ถูกฮ่องเต้ถามเช่นนี้ ขาทั้งสองอ่อนแรงจนแทบจะคุกเข่า

        ซูจ้งหันกลับมาทันทีและตบเข้าที่ใบหน้าของซูเมิ่งเหยาอย่างแรงหนึ่งครั้ง “เจ้ามันลูกทรยศ!!! ”

        ซูเมิ่งเหยาถูกตบจนเลือดกบปาก บนใบหน้ามีรอยเลือดจากฝ่ามือและนิ้วทั้งห้าประทับอยู่ ทว่าคอของนางกลับตั้งตรงอย่างยิ่ง นางจ้องมองไปที่ซูจ้งด้วยดวงตาดุร้าย

        ‘ติ๊ดติ๊ดติ๊ด’

        “ระวัง! มีพิษ… ”

        ซูจิ่นซีรีบเอ่ยเตือนทันทีที่ได้รับการแจ้งเตือนจากระบบถอนพิษ ทว่าสายเกินไปเสียแล้ว

        เข็มเงินเล่มเล็กที่ซ่อนอยู่ใต้ลิ้นของซูเมิ่งเหยาถูกพ่นออกมาราวกับลิ้นของงู มันพุ่งไปแทงที่คอของซูจ้ง

        พิษออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว ตาทั้งสองข้างของซูจ้งเบิกค้าง ไม่ทันได้กล่าวอันใดก็ล้มลงบนพื้น

        โชคดีที่ไม่ใช่ยาพิษที่ฆ่าคนได้ในทันที ซูจิ่นซีจึงไม่เร่งรีบถอนพิษให้ซูจ้ง ทำเพียงป้อนยาระงับพิษชั่วคราวหนึ่งเม็ด

        ซูจ้งโหดเหี้ยมร้ายกาจถึงเพียงนั้น ซูจิ่นซีจึงจงใจไม่ถอนพิษให้กับเขา นางตั้งใจทำให้เขาทนทุกข์ทรมานอีกสองสามวัน

        “จับคนของจวนสกุลซูทั้งหมดเข้าคุกเสีย! อายัดจวนสกุลซู สั่งให้คนของศาลต้าหลี่สอบสวนคดีนี้ด้วยตนเอง” ฮ่องเต้ออกคำสั่งอย่างไม่เร็วไม่ช้าจนเกินไป

        องครักษ์ทุกนายล้วนเข้าใจฮ่องเต้เป็นอย่างดี พวกเขาเข้ามาจับกุมตัวคนของสกุลซูทั้งหมดไว้ในทันที รวมถึงซูจิ่นซีด้วยเช่นกัน

        “พระชายาโยวอ๋อง ล่วงเกินแล้ว ขอเชิญท่านมากับพวกเราด้วย”

        ทหารองครักษ์ทั้งสองเดินมายังด้านหน้าของซูจิ่นซี ท่าทีในครานี้เป็นไปอย่างสุภาพ ไม่ได้เข้ามาควบคุมตัวนางในทันที

        เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป แม้ในใจของซูจิ่นซีจะสงบนิ่ง ทว่านางยังคิดไม่ออกว่าควรจัดการเรื่องนี้อย่างไร ดังนั้นจึงไม่พูดอันใดออกไปแม้แต่น้อย ทำได้เพียงเดินตามทหารองครักษ์ทั้งสองคนนั้นไปก่อน

        ก่อนจากไป ซูจิ่นซีเหลือบมองไปยังฮ่องเต้ ฮองเฮา และเยี่ยเซิน

        ใบหน้าของทุกคนแสดงออกถึงความสุขและความพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง

        สารเลว!

        นี่มันสังคมอันใดกัน!

        ฮ่องเต้กับเจ้าสุนัขเยี่ยเซินนั่นก็ช่างเถิด ทว่าฮองเฮาช่างไร้ยางอายเกินไปแล้ว นางโชคดีที่ก่อนหน้านี้ซูจิ่นซีทั้งถอนพิษให้ ทั้งยังหาฆาตกรให้นางอีก

        ที่แท้นางก็เป็นจิ้งจอกตาขาว [1] อันดับต้นๆ นี่เอง

        ซูจิ่นซีแอบกำหมัดแน่น แต่นี้ต่อไปอย่าให้มีเรื่องอันใดที่ต้องมาขอร้องนางเล่า มิฉะนั้นละก็กินเข้าไปอย่างไรก็จะให้นางอาเจียนออกมาอย่างนั้น หลังจากนั้นก็จะปล่อยให้นางตายไปเสีย

        ซูจิ่นซีเหลือบมองไปที่จิ่วหรงอีกครั้ง จิ่วหรงขมวดคิ้วเล็กน้อย ในมือแอบบีบบางอย่างเอาไว้เป็นข้อความส่งให้กับซูจิ่นซีว่าไม่ต้องสนใจอันใดอีกแล้ว เขาจะใช้กำลังแก้ปัญหานี้ เขาจะเข่นฆ่าผู้คน ทำให้กลายเป็นถนนเลือดแล้วนำตัวซูจิ่นซีไป

        ซูจิ่นซียิ้มแผ่วเบาที่มุมปาก และส่ายหน้าไปทางจิ่วหรง ส่งสัญญานว่าไม่ให้เขาทำเช่นนั้น

        นางเข้าใจเจตนาของจิ่วหรงเป็นอย่างดี และรู้ด้วยว่าเทียนอีเหมินและราชวงศ์ไม่ยึดโยงหรือเกี่ยวพันกัน ทั้งสองอยู่ในจุดยืนที่ปกป้องและเคารพซึ่งกันและกันเสมอมา

        หากเป็นเรื่องอื่น เมื่อจิ่วหรงเอ่ยปาก บางทีฮ่องเต้อาจไว้หน้าหรือชายตาแลเทียนอีเหมินอยู่บ้าง ทว่าในสถานการณ์ตอนนี้ จิ่วหรงไม่สามารถพูดอันใดได้เลย

        หากคิดจะช่วยซูจิ่นซี คงมีเพียงแต่ต้องใช้กำลังแก้ไขเท่านั้น

        ทว่าซูจิ่นซีไม่ต้องการให้จิ่วหรงเข้ามาพัวพัน

        ซูจิ่นซีไม่กล้ามองไปทางเยี่ยโยวเหยา

        เพราะในใจของนางกลัวมาก กลัวว่าหากมองไปทางนั้นแล้วจะเห็นใบหน้าที่เฉยเมยอีก เมื่อครู่เยี่ยโยวเหยาได้แต่งแต้มความประทับใจอันดีด้วยการปกป้องนาง ซูจิ่นซีกลัวว่าหากมองไปแล้วจะพบเจอกับใบหน้าที่ปฏิเสธว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นทั้งนั้น

        ทว่าซูจิ่นซีไม่คาดคิดว่า ในขณะที่องครักษ์สองนายกำลังนำนางจากไป ทันใดนั้นเสียงที่เย็นชาและหนาวเหน็บของเยี่ยโยวเหยาก็ดังสะท้อนขึ้นมา

        “ช้าก่อน! ”

        มุมปากของฮ่องเต้เผยรอยยิ้มเยาะเย้ยแผ่วเบาอย่างไร้ร่องรอย จากการกระทำของเยี่ยโยวเหยา ดูเหมือนว่าเขาจะตกอยู่ในกำมือของพระองค์แล้ว

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset