สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 110 ท่านอ๋อง ซูจิ่นซีเรียกท่านกลับจวน

        เยี่ยโยวเหยาตกตะลึงเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะถามเช่นนี้ ทั้งยังถามอย่างตรงไปตรงมาเสียด้วย เยี่ยโยวเหยาจึงไม่ได้พูดอันใดไปครู่ใหญ่

        สายตาของซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาสบมองกัน

        ซูจิ่นซีจับจ้องการแสดงออกทั้งหมดบนใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาอย่างละเอียด ทว่านางกลับเห็นเพียงความเย็นชาและนิ่งสงบอย่างที่เป็นมาตลอด

        ทันใดนั้นบนท้องฟ้าก็มีเสียงดัง “ตูม”

        ซูจิ่นซีหันกลับมามอง นางเห็นดอกไม้ไฟที่เบ่งบานอย่างสวยงามเต็มท้องฟ้าสุดลูกหูลูกตา

        “งดงามมาก! ”

        วันนี้เป็นครั้งที่สองที่นางได้เห็นดอกไม้ไฟ!

        ดอกไม้ไฟที่สว่างไสวบนท้องฟ้ามีหลากหลายสีสัน ส่องแสงสลับปะปนกันอย่างงดงาม แสงจากดอกไม้ไฟตกกระทบลงบนแก้มของซูจิ่นซี กอปรกับมวยผมดอกจูอวี๋สีแดง ช่วยขับให้ใบหน้าด้านข้างของนางงดงามมากยิ่งขึ้น

        เยี่ยโยวเหยาเฝ้ามองใบหน้าด้านข้างของซูจิ่นซีอย่างเงียบงัน

        ทันใดนั้นคิ้วของเขาก็ขมวดแน่น เยี่ยโยวเหยายกมือขึ้นกุมที่ตำแหน่งหัวใจด้วยใบหน้าซีดขาว พลางก้าวถอยหลังออกไป

        “เยี่ยโยวเหยา ท่านเป็นอันใดไปเพคะ? ”

        ซูจิ่นซีได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจึงหันกลับมาในทันที และพบว่ามีบางสิ่งผิดปกติไป

        การแสดงออกของเยี่ยโยวเหยาดูไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ก่อนหน้านี้ นางเคยเห็นท่าทางของเขาที่เกิดจากพิษดูดเลือดกำเริบจนเสียการควบคุม ทว่าในตอนนี้เขาเป็นปีศาจที่ไร้หัวใจ นางไม่เคยเห็นอาการที่ลำบากเช่นนี้ของเยี่ยโยวเหยามาก่อน

        “เจ้าอย่าเข้ามา! ออก… เจ้าออกไป! ”

        ในเวลาสั้นๆ บนหน้าผากของเยี่ยโยวเหยาก็ปรากฏเหงื่อเย็นบางๆ ซึมออกมา กระทั่งมือที่ชี้ซูจิ่นซีอยู่ก็สั่นเทาไปหมด

        ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่สามารถสร้างความลำบากให้แก่เยี่ยโยวเหยาได้ ทว่าการแสดงออกเช่นนี้ของเยี่ยโยวเหยาได้ล้มล้างภาพลักษณ์ที่มีอำนาจของเขาเสียแล้ว

        ซูจิ่นซีกังวลเป็นอย่างมาก “เยี่ยโยวเหยา ให้หม่อมฉันดูหน่อยว่าเป็นอย่างไรบ้าง? ท่านป่วยหรือว่าบาดเจ็บเพคะ”

        ซูจิ่นซีตัดความเป็นไปได้ที่เยี่ยโยวเหยาจะถูกพิษออกไป เนื่องจากระบบถอนพิษไม่ได้แจ้งเตือน

        ไม่สิ!

        ซูจิ่นซีนึกบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้กะทันหัน

        แม้ว่าระบบถอนพิษไม่ได้แจ้งเตือน ทว่าก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าสามารถตัดความเป็นไปได้ที่เยี่ยโยวเหยาไม่ได้ถูกพิษออกไป อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ระดับของระบบถอนพิษไม่ได้สูงมากนัก มีความเป็นไปได้อย่างมากที่สารพิษบางส่วนจะไม่สามารถตรวจวัดออกมาได้

        ดังนั้นซูจิ่นซีจึงต้องตรวจสอบด้วยตนเอง

        เยี่ยโยวเหยาแทบจะขดตัวลงกับพื้นด้วยความทรมาน ทว่าเมื่อซูจิ่นซีเดินเข้าไปใกล้ ปฏิกิริยาของเยี่ยโยวเหยาก็ยิ่งรุนแรงขึ้น เขาร้องตะโกนให้ซูจิ่นซีถอยออกไปครั้งแล้วแล้วเล่า

        “เยี่ยโยวเหยาเพคะ ท่านอย่าทำเช่นนี้ ท่านใจเย็นๆ หม่อมฉันไม่ได้ทำอันใดเพคะ เพียงจะจับชีพจรของท่านเท่านั้น ตกลงหรือไม่เพคะ? ”

        ซูจิ่นซีกระทำด้วยความระวังเป็นอย่างมาก ทว่าในใจกลับเจ็บปวดจนอยากให้เป็นนางเองที่เป็นฝ่ายทรมาน

        “เจ้าไสหัวออกไป! ”

        ทันใดนั้นเยี่ยโยวเหยาก็ลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก เขาชี้นิ้วด่าซูจิ่นซีได้เพียงประโยคเดียว จากนั้นเยี่ยโยวเหยาก็เดินโซซัดโซเซผ่านฝูงชนออกไป

        แม้ว่าเยี่ยโยวเหยาจะรู้สึกทรมานทว่าก็ยังฝืนใช้วรยุทธ ซูจิ่นซีที่เดินตามหลังเยี่ยโยวเหยา ไม่นานก็ตามไม่ทันฝีเท้าของเขา ชั่วพริบตาก็มองไม่เห็นเงาของเยี่ยโยวเหยาแล้ว

        ซูจิ่นซีวิ่งมาตามทางกลับจวนโยวอ๋องอย่างรวดเร็ว ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเหงื่อ ลำคอแห้งผาก

        เมื่อแม่นมฮวามองเห็นซูจิ่นก็ดีใจมาก “พระชายา เสด็จกลับมาแล้วหรือเพคะ? ”

        “ท่านอ๋องกลับมาแล้วหรือยัง? ”

        “ตอนที่องครักษ์ฉินกลับมาได้บอกว่าท่านอ๋องกับพระชายาอยู่ด้วยกันนี่เพคะ! แล้วเหตุใด? ท่านอ๋องไม่ได้กลับมาพร้อมกับท่านหรอกหรือเพคะ? ” แม่นมฮวามองดูแผ่นหลังของซูจิ่นซีด้วยความไม่เข้าใจ

        แย่แล้ว เยี่ยโยวเหยาไม่ได้กลับมา เขาเป็นเช่นนั้น หากหมดสติอยู่ข้างนอกหรือเกิดเรื่องอันใดขึ้นจะทำอย่างไร?

        “ฉินเทียนเล่า? ” ซูจิ่นซีถามขึ้นอีกครั้ง

        “องครักษ์ฉินกลับมาแล้ว ทว่าก็ออกจากจวนไปแล้วเพคะ เรื่องของกองทัพองครักษ์ พวกหม่อมฉันล้วนไม่เคยถาม พระชายาเพคะ เกิดอันใดขึ้นหรือเพคะ? ” ในที่สุดแม่นมฮวาก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติของซูจิ่นซี

        แม้แต่ฉินเทียนก็ไม่อยู่ ซูจิ่นซีคิดไม่ออกเลยว่า เยี่ยโยวเหยาที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นจะไปหาผู้ใดได้ เขาจะไปที่ใดได้ นางยิ่งคิดยิ่งวิตก ยิ่งคิดก็ยิ่งกังวล

        “แม่นมฮวา วิหารวิญญาณอยู่ที่ใด? ”

        ซูจิ่นซีเพิ่งถามออกไป แม่นมฮวาก็แสดงสีหน้าตกใจราวกับได้ยินเรื่องที่น่าหวาดกลัวอย่างไรอย่างนั้น สีหน้าท่าทางล้วนเปลี่ยนแปลงไปหมด

        “พระชายา ไปไม่ได้ ไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดนะพ่ะย่ะค่ะ!”

        พ่อบ้านชราเข้ามาได้ยินซูจิ่นซีถามถึงที่อยู่ของวิหารวิญญาณกับแม่นมฮวาเข้าพอดี

        “เหตุใดจึงไปไม่ได้เล่า? พ่อบ้าน ข้ามีเรื่องด่วนจริงๆ ”

        “พระชายา วิหารวิญญาณมีแต่ผู้ที่ได้รับอนุญาตจากท่านอ๋องเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าไปได้ ผู้อื่นไม่ว่าเป็นผู้ใดก็ตาม หากเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาตต้องถูกประหารพ่ะย่ะค่ะ”

        พ่อบ้านพูดพร้อมกับแสดงใบหน้าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง ราวกับกำลังพูดถึงนรกบนดินอย่างไรอย่างนั้น

        พ่อบ้านกลัวซูจิ่นซีไม่เชื่อจึงพูดเสริมต่อว่า “มีอยู่ครั้งหนึ่ง เนื่องจากไท่เฟยมีเรื่องด่วนกับท่านอ๋อง พระองค์จึงไปที่วิหารวิญญาณ ท่านอ๋องก็เกือบจะจัดการกับไท่เฟยพ่ะย่ะค่ะ”

        แม้แต่มารดาผู้ให้กำเนิดของตนก็ยังสามารถจัดการได้หรือ?

        แท้จริงแล้ววิหารวิญญาณมีความลับอันใดที่เยี่ยโยวเหยาซ่อนไว้กัน?

        ทว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ซูจิ่นซีสนใจมากนักในตอนนี้

        เยี่ยโยวเหยาไม่ได้กลับมาที่จวน ฉินเทียนก็ไม่อยู่ ไปหาที่วิหารวิญญาณก็ไม่ได้ นางควรจะทำอย่างไรดี?

        ในสมองของซูจิ่นซีราวกับหนังอย่างไรอย่างนั้น ฉายซ้ำภาพของเยี่ยโยวเหยาก่อนที่เขาจะจากไป อย่างไรนางก็ไม่อาจวางใจได้

        “พระชายา เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่พ่ะย่ะค่ะ? หากมีเรื่องด่วนอันใดที่ต้องการพบท่านอ๋อง ข้าน้อยสามารถส่งคนไปที่วิหารวิญญาณเพื่อส่งข้อความไปบอกท่านอ๋องได้พ่ะย่ะค่ะ” พ่อบ้านกล่าวขึ้น

        ซูจิ่นซีคิดไปคิดมา ตอนนี้ที่ทำได้ก็มีเพียงเท่านี้แล้ว

        ทว่าให้ยืนพูดอยู่ที่ลานก็คงไม่เหมาะสม ลักษณะอาการของเยี่ยโยวเหยานั้นไม่ควรให้ผู้อื่นรู้มากนัก

        ซูจิ่นซีจึงพาพ่อบ้านชราและแม่นมฮวากลับมาที่เรือนอวิ๋นไคก่อน

        เมื่อลวี่หลีเห็นซูจิ่นซีกลับมาก็ดีใจเป็นอย่างมาก ทว่าเมื่อเห็นซูจิ่นซีและพ่อบ้าน อีกทั้งยังมีแม่นมฮวาที่แสดงท่าทางจริงจัง นางจึงเก็บความรู้สึกดีใจนั้นไว้ และคอยรับใช้ปรนนิบัติอยู่ข้างๆ อย่างระมัดระวัง

        หลังจากกลับมาถึงเรือนอวิ๋นไค ซูจิ่นซีก็นำเหตุการณ์แปลกประหลาดและการหายตัวไปอย่างรวดเร็วของเยี่ยโยวเหยามาเล่าให้พ่อบ้านฟังอีกครั้ง

        ใบหน้าของแม่นมฮวาเต็มไปด้วยความกังวล “พระชายา ท่านแน่ใจหรือไม่เพคะ ว่าได้กำจัดพิษในตัวท่านอ๋องออกจนหมดแล้ว? ”

        “นอกเสียจากพิษดูดเลือดที่ถือว่าจัดการได้ยากยิ่ง พิษที่อยู่ในร่างกายของเขาก่อนหน้านี้ ข้ามั่นใจว่าได้กำจัดออกหมดแล้ว ทว่าลักษณะเช่นนั้นไม่เหมือนกับอาการกำเริบจากพิษดูดเลือด ข้าประหลาดใจนัก ทว่าข้าก็บอกไม่ได้ว่าประหลาดใจตรงที่ใด”

        อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีไม่เคยเห็นลักษณะที่เจ็บปวดทรมานถึงเพียงนั้นมาก่อน

        “นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่เพคะ? ”

        แม่นมฮวาหันไปหันมาอย่างเป็นกังวล

        “พระชายาไม่ต้องเป็นกังวลนะพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยจะส่งคนไปลองถามที่วิหารวิญญาณดู หากท่านอ๋องกลับมายังวิหารวิญญาณแล้ว จะต้องทราบอย่างแน่นอนว่าตอนนี้ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง” พ่อบ้านกล่าวขึ้น

        ซูจิ่นซีพยักหน้า

        พ่อบ้านเร่งรีบส่งคนไปยังวิหารวิญญาณ

        เวลาเคลื่อนผ่านไป

        ซูจิ่นซียุ่งติดต่อกันมาหลายวัน อีกทั้งเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็พลิกผันเป็นอย่างมาก ซูจิ่นซีต้องใช้พลังจิตและพลังสมองในการจัดการ เวลานี้ซูจิ่นควรจะไปอาบน้ำอุ่นและนอนหลับอย่างสบายใจจึงจะถูก ทว่าดวงตาทั้งสองกลับเบิกกว้าง นอนไม่หลับตลอดทั้งคืน

        เมื่อถึงตอนบ่ายของวันรุ่งขึ้น พ่อบ้านชราก็มาที่เรือนชิงโยวและบอกว่าผู้ที่ส่งให้ไปวิหารวิญญาณไม่กลับมาเลย เขาจึงส่งคนไปครั้งที่สอง ทว่าก็ไม่กลับมาเช่นกัน

        ที่วิหารวิญญาณคงจงใจกักขังคนและข่าวสารไว้ ไม่ให้คนในจวนโยวอ๋องรู้

        ซูจิ่นซีนั่งลงบนเก้าอี้อย่างห่อเหี่ยว ดวงตาทั้งคู่อ้างว้างนางมองไปทางตำหนักฝูอวิ๋น

        เกิดอันใดขึ้นกับเยี่ยโยวเหยากันแน่?

        ซูจิ่นซีไม่ได้นอนทั้งวัน สำรับที่แม่นมฮวาและลวี่หลียกมาให้ก็ถูกเขี่ยสองครั้งหลังจากนั้นก็วางลง นางบอกว่าไม่มีอารมณ์ทาน จะทำเรื่องสิ่งใดก็ไม่มีใจที่จะทำ ไม่มีเรี่ยวแรงกระตือรือร้น

        แม้ในยามกลางคืนซูจิ่นซีจะข่มตานอนได้แล้ว ทว่านอนได้ไม่กี่ชั่วยามก็ตื่นขึ้นมาราวกับฝันร้าย หลังจากนั้นก็ไม่หลับอีกเลย ทำเพียงนั่งอยู่ข้างหน้าต่างมองดูหน้าต่างที่มืดสนิทของตำหนักฝูอวิ๋น

        พอเข้าวันที่สาม เยี่ยโยวเหยาก็ยังไม่กลับมา ทางวิหารวิญญาณก็ยังคงไม่มีข่าวคราวอันใด

        “พระชายาเพคะ วันนี้เป็นวันที่ท่านและคุณหนูฮั่วตกลงกันว่าจะปฏิบัติตามสัญญาเดิมพันที่โรงน้ำชาจุ้ยหงนะเพคะ” แม่นมฮวากล่าวเตือน

        ซูจิ่นซีลุกขึ้นเดินอย่างไม่มีเรี่ยวแรงไปที่เรือนอวิ๋นไค “ไม่มีกะจิตกะใจจะไป”

        แม่นมฮวาถอนหายใจเฮือกใหญ่

        พระชายาเป็นห่วงท่านอ๋อง นางเคยไม่เป็นห่วงที่ใดกันเล่า?

        หากวันนี้พระชายาไม่ไปตามนัด ผู้ใดจะรู้ว่าจะมีข่าวลืออันใดจากคนภายนอกอีก ฮั่วอวี้เจียวคิดจะทำอันใดแผลงๆ อีกหรือไม่

        ดังนั้นแม่นมฮวาจึงส่งคนไปสืบข่าวที่หน้าประตูโรงน้ำชาจุ้ยหง ให้เขาคอยรายงานสถานการณ์ทางนั้นกับนางตลอดเวลา

        ทว่าจนถึงพลบค่ำแล้ว ฮั่วอวี้เจียวก็ไม่ปรากฏตัวออกมา แม่นมฮวาจึงส่งคนออกไปแจ้งว่าซูจิ่นซีป่วย นางรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว จึงได้เปลี่ยนแปลงวันที่จะพบกับฮั่วอวี้เจียวอีกครั้ง

        เป็นอย่างที่แม่นมฮวาคิดไว้จริงๆ แม้ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี ทว่ายังคงมีข่าวลือที่พูดกันปากต่อปาก ปากติดอยู่ที่ตัวของคนเหล่านั้น พวกเขาสามารถพูดได้ทุกอย่าง

        แม่นมฮวากระวนกระวายใจยิ่งนัก นางจึงปิดประตูจวนไม่ยอมฟังข่าวลืออันใดทั้งนั้น และไม่ยอมเปิดประตูออกมาเลย

        เป็นเวลาหลายวันแล้ว ทว่าสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นเดิม เยี่ยโยวเหยายังไม่กลับมา ทางฝั่งวิหารวิญญาณก็ยังไม่มีข่าวคราวใดๆ ซูจิ่นซีคิดจะไปวิหารวิญญาณอยู่หลายครั้งโดยไม่สนใจชีวิตตนเอง ทว่าก็ถูกแม่นมฮวาและพ่อบ้านขวางทางไว้ตลอด

        เมื่อถึงวันที่เจ็ด ก็มีคนจากจวนโยวอ๋องผู้หนึ่งนำของสองชิ้นมาให้

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset