สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 114 ไปเจ้าค่ะ ข้าจะพาท่านไปเที่ยวโสเภณี

        ทว่าสิ่งที่ทำให้ซูจิ่นซียิ่งเจ็บปวดก็คือ เยี่ยโยวเหยาเห็นว่านางถูกนักเลงอันธพาลรังควานอยู่ตรงนี้ แต่เขากลับทำเหมือนไม่รู้จักกันมาก่อน ทำเพียงเดินผ่านหน้าซูจิ่นซีและจิ่วหรงไป

        เมื่อมองเงาร่างสีขาวดำของเขา ซูจิ่นซีก็รู้สึกเจ็บปวดใจจนแทบจะหายใจไม่ออก

        “อ้า สาวน้อยใกล้จะร้องไห้แล้ว มา ให้พี่ชายปลอบเจ้าเสียหน่อย! ”

        นักเลงอันธพาลเริ่มลวนลามซูจิ่นซีอีกครั้ง ทว่าซูจิ่นซีกำลังมองไปยังแผ่นหลังของเยี่ยโยวเหยาและไม่มีการหลบหนีแต่อย่างใด หลังจากวินาทีนั้นก็ได้ยินเสียงราวกับหมูถูกเฉือดดังขึ้นชั่วขณะ

        มือของนักเลงอันธพาลถูกจิ่วหรงหักแตกในทันที

        “โอ้ย บ้าจริง ปล่อยข้า! ”

        เสียงของนักเลงอันธพาลร้องขอให้ปล่อย โจรไม่กี่คนที่อยู่ด้านหลังของเขาจึงพากันเข้ามาล้อมรอบจิ่วหรงไว้

        ผลเป็นอย่างที่ทราบ แน่นอนว่าทั้งหมดนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจิ่วหรง

        หลังจากนั้นครู่ใหญ่ นักเลงอันธพาลก็ล้วนถูกจิ่วหรงจัดการจนหนีไป ซูจิ่นซียังคงยืนตะลึงงันอยู่ที่เดิม น้ำตาคลอดวงตาทั้งสองข้าง

“ไปเถิด! ” จิ่วหรงเอ่ยขึ้น

        “วันนี้ไม่ไปแล้วได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าไม่อยากไปแล้วเจ้าค่ะ เปลี่ยนวันใหม่ได้หรือไม่? ” ซูจิ่นซีไม่อยากไปแล้วจริงๆ

        “สิ่งที่มนุษย์ไม่ควรทำที่สุดคือไม่ควรเอาผู้อื่นมาทำให้ตนเองลำบาก มนุษย์ใช้ความงามของผู้อื่นเพื่อความสุขส่วนตน เพื่อเขาแล้ว กระทั่งข้าวปลาเจ้าก็ไม่ทาน คุ้มค่าหรือ? ” มุมปากของจิ่วหรงยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย

ดูเหมือนว่าจะไม่คุ้มค่าอยู่บ้างจริงๆ

        ซูจิ่นซีกลั้นน้ำตาที่จวนจะไหลลงมาแล้วบังคับให้มันไหลย้อนกลับไป พลางสูดหายใจลึกๆ แล้วกล่าวว่า “ไปเถิดเจ้าค่ะ ข้าเพียงพบกับคนโง่เง่าผู้หนึ่งเท่านั้น”

        ขณะที่พูดอยู่ ซูจิ่นซีก็ดึงมือของจิ่วหรงพาเดินไปทางถนนหรงหวาฟู่กุ้ยที่อยู่ด้านหน้าด้วยกัน

        จิ่วหรงก้มลงมองมือที่ถูกซูจิ่นซีกระชับอยู่เล็กน้อย ดวงตาอันบริสุทธิ์และล้ำค่าจึงหยุดมองบริเวณนั้นชั่วขณะ ความประหลาดใจแวบผ่านนัยน์ตา ทว่าจิ่วหรงไม่เพียงไม่หลบหลีกเท่านั้น ยังปล่อยให้ซูจิ่นซีลากไปตามทางอีกด้วย

        ซูจิ่นซีคิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับเยี่ยโยวเหยาและคุณหนูหนานกงที่ถนนหรงหวาฟู่กุ้ยอีกครั้ง

แม่เจ้าโว้ย โลกแคบเสียจริงเชียว!

        “ท่านทั้งสอง ต้องการรับประทานกระไรดีขอรับ? ” เสี่ยวเอ้อ [1] เอ่ยทักทายขึ้นมาด้วยความกระตือรือร้น

        ดวงตาทั้งสองข้างของซูจิ่นซีเผ่งมองไปยังเยี่ยโยวเหยาและคุณหนูหนานกงที่อยู่โต๊ะนั้นตลอด “พวกเขาเอากระไร พวกข้าก็เอาอย่างนั้น”

        “ได้ขอรับ ห้องส่วนตัวชั้นบนเต็มแล้ว นายท่านทั้งสองจะนั่งห้องธรรมดา หรือว่าห้องโถงรวมดีขอรับ? ”

        เยี่ยโยวเหยาและคุณหนูหนานกงนั่งในห้องธรรมดา หากพวกตนนั่งที่ห้องโถงรวมก็จะเฝ้ามองได้อย่างสะดวก

“ห้องโถงรวม! ”

“ทั้งสองท่านเชิญนั่งทางนี้ขอรับ! ”

        เสี่ยวเอ้อนำทางซูจิ่นซีและจิ่วหรงไปยังตำแหน่งที่ติดกับกำแพง บังเอิญที่ในขณะนั้นเสี่ยวเอ้ออีกคนกำลังยกอาหารมาตามทางและเดินผ่านด้านข้างของซูจิ่นซี

        ซูจิ่นซีมองถาดในมือที่เสี่ยวเอ้อยกมาและกำลังเดินไปทางห้องส่วนตัวที่เยี่ยโยวเหยาและคุณหนูหนานกงอยู่ ซูจิ่นซีจึงรีบเข้าไปขวางทันทีแล้วถามว่า “สิ่งนี้เป็นของแขกห้องนั้นหรือ? ”

เสี่ยวเอ้อพยักหน้า

        ซูจิ่นซีคว้าขวดน้ำส้มสายชูบนโต๊ะขึ้นมาเทลงไปในอาหารทะเลทุกอย่าง

        ใบหน้าของเสี่ยวเอ้อเปลี่ยนไปในทันที “คุณลูกค้า ไม่ได้นะขอรับ ไม่ได้ อย่างไรก็ไม่ได้ขอรับ อาหารเหล่านี้หัวหน้าพ่อครัวปรุงรสชาติเรียบร้อยแล้ว ไม่สามารถใส่น้ำส้มสายชูลงไปได้นะขอรับ”

        ซูจิ่นซีแสดงออกอย่างจริงจัง “ยกไป บุรุษผู้นั้นเป็นชายของข้า เขาชอบทาน! ”

หือ?

เสี่ยวเอ้อตะลึงงัน

        สายตาเหลือบมองไปยังจิ่วหรงที่นั่งโต๊ะเดียวกันกับซูจิ่นซี และหันไปมองในห้องส่วนตัวที่เยี่ยโยวเหยากับคุณหนูหนานกงนั่งอยู่ด้วยกันอีกครั้ง

นี่เป็นความสัมพันธ์เช่นใดกัน?

โลกนี้ช่างโกลาหลเสียจริง

“ยังไม่ยกไปอีก? ”

ซูจิ่นซีขมวดคิ้วมองเสี่ยวเอ้อ

“ส่งส่งส่ง! ไปส่งเดี๋ยวนี้ขอรับ! ”

เสี่ยวเอ้อรีบเร่งยกอาหารผ่านไป

        ซูจิ่นซีลอบมองการเคลื่อนไหวทางฝั่งนั้นอยู่ตลอดเวลา เดิมทีนางคิดว่ารสชาติอาหารที่นำไปให้เยี่ยโยวเหยาจะต้องทำให้เสี่ยวเอ้อลำบากใจเป็นแน่ ทว่ามันกลับไม่เป็นอย่างที่คิด คาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะทานอย่างเอร็ดอร่อย ราวกับไม่รู้ความแตกต่างของรสชาติอาหารแม้แต่น้อย

ทั้งยังคีบอาหารให้คุณหนูเสี่ยวกงผู้แสนจะรู้ใจอีกด้วย

โถ่โว้ย!

นางโกรธจะตายอยู่แล้ว!

บัดนี้ซูจิ่นซีเปลี่ยนจากความเศร้าโศกเป็นความโกรธแล้ว

ซูจิ่นซีตัดสินใจหันหลังกลับไปนั่งที่ ไม่มองพวกเขาอีก

        นางคีบอาหารจากชามของตนเองขึ้นมาแล้วโยนลงไปในชามของจิ่วหรง “ทานเจ้าค่ะ! ”

        หลังจากนั้นซูจิ่นซีก็ก้มศีรษะลงไปจ้วงข้าวเข้าปากตนเองอย่างบ้าคลั่ง

        จิ่วหรงตกตะลึงเล็กน้อย เขามองอาหารในชามของตนเองครู่ใหญ่ ทว่าไม่ได้ลงมือทาน ไม่ใช่เพราะเขากำลังโกรธหรือรังเกียจแต่เป็นเพราะว่าเขากำลังประหลาดใจ

        ซูจิ่นซีดูเหมือนจะรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ นางจึงเงยหน้ามองไปยังชามอาหารของจิ่วหรง ถึงได้พบว่านั่นเป็นอาหารที่ตนเองกินไปแล้ว

“ขอประทานอภัยเจ้าค่ะ! ข้าไม่ได้ตั้งใจนะเจ้าคะ! ”

        ซูจิ่นซีพยายามจะคีบเอาอาหารชิ้นนั้นออกมา แต่กลับถูกจิ่วหรงขวางไว้ หลังจากนั้นจิ่วหรงก็คีบอาหารเข้าปากตนเองโดยไม่มีท่าทีรังเกียจแม้แต่น้อย เขาเคี้ยวอย่างละเอียด เหมือนกับว่ากำลังลิ้มรสอาหารอันโอชาของโลกมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น

“ไม่เป็นไร! เช่นนี้ดียิ่งนัก! ”

        หลังจากนั้นจิ่วหรงก็คีบอาหารจากถาดอาหารส่งให้ในชามของซูจิ่นซี “ทาน! ”

        ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็รู้สึกอยากร้องไห้ออกมาเสียจริง จิตใจสับสนวุ่นวาย ความคิดปั่นป่วนยิ่งนัก

        ทว่าเพื่อไม่ให้จิ่วหรงเสียความรู้สึก ซูจิ่นซีจึงบังคับตนเองให้ทานเข้าไปเล็กน้อย

        เมื่อทั้งสองออกมาจากถนนหรงหวาฟู่กุ้ย ซูจิ่นซีก็เหลือบมองไปทางห้องส่วนตัวของเยี่ยโยวเหยาและคุณหนูหนานกงเล็กน้อย ทว่านางกลับไม่พบใคร ไม่รู้ว่าเยี่ยโยวเหยาจากไปเมื่อใดแล้ว

        “จิ่วหรงเจ้าคะ ท่านกลับเถิดเจ้าค่ะ! วันนี้ข้าทำให้ท่านเสียอารมณ์แล้ว ครั้งหน้าข้าจะชดเชยให้ท่านอย่างดีแน่นอนเจ้าค่ะ! ” ซูจิ่นซีกล่าวขึ้น

        “เจ้าพูดแล้วนะ! อาจารย์จะรอดู! ” จิ่วหรงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย

ซูจิ่นซีพยักหน้า

        นางมักจะรู้สึกว่า จิ่วหรงเมื่ออยู่ต่อหน้านาง มักจะขานชื่อตนเองว่า ‘อาจารย์’ ทว่าเขาปฏิบัติตนไม่เหมือนอาจารย์แม้แต่น้อย ดูจะปฏิบัติต่อนางราวกับเป็นเพื่อนเสียมากกว่า

        จิ่วหรงกับเจ้าของร่างเดิม แท้ที่จริงแล้วมีความสัมพันธ์อันใดกันแน่?

        “ข้าส่งเจ้ากลับ! แถวนี้ห่างจากจวนโยวอ๋องค่อนข้างไกล หากระหว่างทางเจ้าพบเจอกับเรื่องอันใดที่ยุ่งยาก เจ้าคงรับมือไม่ไหว”

        บัดนี้ท้องฟ้ามืดแล้ว เมื่อจิ่วหรงพูดเช่นนี้ ซูจิ่นซีก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อยจึงไม่คิดปฏิเสธ

        อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีไม่คิดว่าโลกมันจะแคบถึงเพียงนี้ ในหนึ่งวันคนเราสามารถพบเจอเรื่องที่น่าผิดหวังได้ถึงสามครั้ง พวกเขาพบเยี่ยโยวเหยาและคุณหนูหนานกงเข้าอีกจนได้

        ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังเดินผ่านร้านขายเครื่องประดับร้านหนึ่ง

        ดูเหมือนว่าเยี่ยโยวเหยาจะอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูหนานกงเลือกซื้อเครื่องประดับ และทั้งสองกำลังเดินออกจากร้านเครื่องประดับอย่างพอดิบพอดี

หัวใจของซูจิ่นซีใกล้จะระเบิดออกมาแล้ว

        ในตอนที่เยี่ยโยวเหยามองมาที่นาง ดวงตาทั้งสองคู่สบประสานกัน ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็ลากมือของจิ่วหรงหันหลังเข้าไปในซ่องโสเภณีชายแห่งหนึ่ง “ไปเจ้าค่ะ ข้าจะพาท่านไปเที่ยวโสเภณี! ”

        ยิ่งไปกว่านั้นเสียงของนางก็ดังมาก แน่นอนว่าเยี่ยโยวเหยาจะต้องได้ยิน

        ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าการแสดงออกของเยี่ยโยวเหยาที่อยู่ด้านหลังเป็นอย่างไร ทว่าในตอนที่นางเรียกแม่เล้าให้หาโสเภณีชายมาสิบคน ร่างกายของจิ่วหรงที่ถูกนางลากตามมาก็สั่นสะท้านอย่างเห็นได้ชัด

“ได้เลยเจ้าค่ะ ท่านทั้งสองเชิญทางนี้! ”

        แท้จริงแล้วแม่เล้าแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง ตั้งแต่เปิดกิจการมานาน นี่เป็นครั้งแรกที่พบเห็นสตรีพาบุรุษมาเที่ยวโสเภณี

        ซูจิ่นซีและจิ่วหรงถูกแม่เล้าดึงเข้าไปในห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง

        นี่เป็นครั้งแรกที่ซูจิ่นซีมายังสถานที่เช่นนี้ ห้องหับไม่สมราคาเท่าใดนัก อีกทั้งยังมีสีสันอ่อนหวานไปเสียหน่อย เครื่องใช้ต่างๆ วางอยู่บนโต๊ะข้างกำแพง บนโต๊ะจุดธูปหอมไว้ ซูจิ่นซีสูดดมเข้าไปจึงรู้ว่าเป็นสิ่งของที่เอาไว้ปลุกกำหนัด

“เอาของนี่ออกไป! ” ซูจิ่นซีเอ่ยขึ้น

แม่เล้ารีบนำธูปปลุกกำหนัดออกไปทันที

“คนที่ข้าต้องการมาแล้วหรือ? ” ซูจิ่นซีถาม

“มาแล้วเจ้าคะ มาแล้ว! ข้าจะไปเร่งให้เจ้าคะ! ”

แม่เล้ารีบออกไปตาม

        จิ่วหรงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางคว้าแขนของซูจิ่นซีและพูดอย่างแผ่วเบาว่า “อย่าก่อเรื่อง! ”

“ข้าไม่ได้ก่อเรื่องนะเจ้าคะ! ”

“เช่นนั้นเจ้าจริงจังหรือ? อยาก… จริง ”

        สิ่งที่จิ่วหรงไม่ได้พูดออกมาหลังจากนั้นชัดเจนยิ่งนัก ทว่าซูจิ่นซีไม่ได้เอ่ยปากออกไป

        มุมปากของจิ่วหรงยกยิ้มอย่างน่าดูชมยิ่งและกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าอยาก ข้าผู้เดียวไม่พอหรือ? หาคนมากมายถึงเพียงนั้นเจ้าปรนนิบัติไหวหรือ? ”

        ขณะที่พูดอยู่ จิ่วหรงก็ก้มศีรษะลงและจูบลงไปที่มุมปากของซูจิ่นซีอย่างแผ่วเบา

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset