สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 115 คืนนั้นเจ้าก็ดูเหมือนสัตว์ร้ายเช่นกันไม่ใช่หรือ

       ซูจิ่นซีผลักจิ่วหรงออก “ไม่ล้อข้าเล่นนะเจ้าคะ”

        ซูจิ่นซีรู้ดีว่าจิ่วหรงไม่ใช่คนเช่นนั้น ทั้งยังไม่สามารถมีความรู้สึกอันใดต่อนางได้

        อย่างน้อยที่สุดตอนนี้ก็ยังไม่มี

        “อย่าทำให้ตนเองลำบาก! ” จิ่วหรงลูบบ่าของซูจิ่นซีอย่างปลอบประโลม

        พอดีกับที่แม่เล้านำโสเภณีชายสิบคนเข้ามา นางหัวเราะร่าพลางแนะนำเหล่าโสเภณีให้กับซูจิ่นซี ดังนั้นซูจิ่นซีจึงไม่ได้สนใจจิ่วหรงอีก

        โสเภณีชายทั้งสิบคนต่างก็มีลักษณะโดดเด่นเฉพาะตัว

        มีคนที่เหมือนกับจิ่วหรง ดูอ่อนโยนราวกับเทพเซียน แน่นอนว่าไม่อาจเทียบจิ่วหรงได้อยู่แล้ว

        นอกจากนี้ ยังมีคนที่มีใบหน้าอ่อนโยน ดูดีเสียยิ่งกว่าสตรี

        และคนที่มีหนวดเครารุงรังเป็นแพ ใบหน้าและรังสียิ่งทำให้ดูเหมือนผู้ชายดิบเถื่อน

        ซูจิ่นซีมองดูแล้ว ภายในใจก็รู้สึกว่าพวกเขาไม่อาจเทียบกับเยี่ยโยวเหยาได้เลย

        “พวกเจ้าทั้งหลายจงปรนนิบัติให้ดี! ” แม่เล้าตะโกน “คุณผู้หญิงและคุณชายเป็นแขกผู้มีเกียรติ หากพวกเจ้าปรนนิบัติได้ดี ท่านก็จะให้รางวัล”

        “ขอรับ! ”

        “คุณผู้หญิง หากมีสิ่งใดที่ต้องการก็สั่งข้ามาได้เลยนะเจ้าคะ ข้าอยู่ข้างล่างเจ้าค่ะ! ”

        แม่เล้าพูดกับซูจิ่นซีอีกครั้งแล้วจึงเดินหัวเราะร่าจากไป

        ซูจิ่นซีจิตใจสับสนวุ่นวาย ความคิดปั่นป่วนยิ่งนัก นางสุ่มหยิบสุราขึ้นมาหนึ่งไห ก่อนจะนั่งลงบนแคร่ไม้ยาวพลางยกสุราเข้าปากตนเองตามอำเภอใจ

        จิ่วหรงเห็นว่าซูจิ่นซีไม่สามารถทำอันใดได้ จึงส่ายศีรษะอย่างไม่เต็มใจและนั่งลงด้านข้าง

        บุรุษที่แต่งกายเหมือนนักปราชญ์คนหนึ่งเดินมานั่งข้างกายของซูจิ่นซี พลางเอ่ยด้วยเสียงที่ละเอียดนุ่มนวล “คุณผู้หญิง ดูเหมือนว่าวันนี้ท่านอารมณ์ไม่ค่อยดีนะขอรับ! ทว่าท่านมาที่นี่นั้นถูกต้องแล้ว พวกข้าไม่กี่คนจะปรนนิบัติให้คุณผู้หญิงรู้สึกสบายใจขึ้นอย่างแน่นอน มา ข้าดื่มให้คุณผู้หญิงก่อนหนึ่งจอกนะขอรับ”

        ชายผู้นั้นยกจอกสุราในมือชนกับจอกสุราของซูจิ่นซี และดื่มลงไปอย่างกล้าหาญยิ่งนัก ซูจิ่นซีไม่ลังเลใจ เงยหน้าขึ้นดื่มเช่นกัน

        ชายหนุ่มอีกเก้าคนจึงโห่ร้องร่วมดื่มไปกับซูจิ่นซี พวกเขามองไปยังจิ่วหรงและรับรู้ได้ว่าจิ่วหรงไม่ใช่บุคคลธรรมดา จึงไม่ได้ทำกิริยาท่าทางที่นอกลู่นอกทางต่อซูจิ่นซีมากจนเกินไป ทำเพียงดีดขิม เป่าขลุ่ย และดื่มสุราเท่านั้น

        หลังจากนั้น จิ่วหรงก็พูดขึ้นว่าเสียงเป่าขลุ่ยของชายผู้นั้นไม่น่าฟังเอาเสียเลย เขาจะเป่าให้ซูจิ่นซีฟังด้วยตนเอง

        เสียงขลุ่ยของจิ่วหรงช่างเป่าได้ไพเราะน่าฟังอย่างแท้จริง ซูจิ่นซีที่ฟังอยู่รู้สึกราวกับกำลังล่องลอยขึ้นไปบนสวรรค์

        “คุณผู้หญิง ท่านมีเรื่องอันใดในใจหรือไม่? เล่าให้พี่ชายฟังได้นะขอรับ? ”

        ชายโสเภณีที่ดื่มเป็นเพื่อนซูจิ่นซี เอ่ยถามด้วยสายตาพร่ามัว เขาเองก็ดื่มไปไม่น้อยทีเดียว

        ซูจิ่นซียกยิ้มที่มุมปากอย่างขมขื่น นางรินสุราให้ตนเองและชายผู้นั้น “มา ดื่มอีกจอก”

        “โอ้ ข้าคิดว่าท่านคงไม่ต้องการเปิดเผย! ทว่าคุณผู้หญิง ท่านใช้สุราคลายความกังวลไม่ได้นะขอรับ! มีเรื่องอันใดก็คุยกับพี่ชายเถิด พี่ชายจะปลอบโยนเจ้าเอง! ”

        ขณะที่พูดอยู่นั้น ก็ยื่นมือเรียวยาวออกไปแตะเสื้อผ้าของซูจิ่นซี

        ซูจิ่นซีดื่มสุราไปค่อนข้างมากจึงไม่ทันสังเกต

        ทว่าจิ่วหรงไม่ได้ดื่ม เขาสังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็ว เสียงขลุ่ยหยุดลงกะทันหัน จิ่วหรงใช้ขลุ่ยปัดจอกสุราบนโต๊ะให้กระทบเข้ากับศีรษะของโสเภณีชายผู้นั้น

        ในช่วงเวลาเดียวกัน ประตูก็ถูกคนถีบเปิดเข้ามา กลิ่นอายทั้งร่างของเยี่ยโยวเหยานั้นเยือกเย็นดั่งเทพเจ้า เขาย่ำเท้าเข้ามาทีละก้าว เดินผ่านฝูงชนตรงไปยังซูจิ่นซี ก่อนจะคว้าซูจิ่นซีขึ้นมาจากแคร่ไม้

        ซูจิ่นซีดื่มจนมึนไปหมด ดวงตาทั้งสองข้างพร่ามัวเลือนราง ปรากฏความมึนเมาในแววตา ผิวแก้มแดงก่ำ นางค่อยๆ ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมอง

        “เยี่ย… เยี่ยโยวเหยา??? หึหึหึ ข้าฝันไปแล้วอย่างแน่นอน เวลานี้เยี่ยโยวเหยาจะปรากฏตัวได้อย่างไรกัน? เขา… เขาอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูหนานกงอยู่นี่! ”

        “ซูจิ่นซี! ” เยี่ยโยวเหยาคว้าแขนของซูจิ่นซีแล้วลากนางมายังด้านหน้าของเขา “คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าสวมเขา นอกใจข้า? ”

        ซูจิ่นซีสติเลือนลาง เพียงเห็นเยี่ยโยวเหยาคนเดียวก็รู้สึกอึดอัดใจมากแล้ว เวลานี้ยังเห็นเยี่ยโยวเหยามีหลายคน หลายหัว ก็ยิ่งเลวร้ายไปกันใหญ่

        นางหรี่ตาทั้งสองข้าง เบะปากหน้ามุ่ยชี้ไปที่ศีรษะของเยี่ยโยวเหยา “หือ… เหตุใดเยี่ยโยวเหยาจึงกลายเป็นยักษะ [1] เล่า คาดไม่ถึงว่า… คาดไม่ถึงว่าจะมีสามเศียรหกกร [2] ไม่ถูกสิ… ไม่ได้สวมเขานอกใจนี่! ”

        เยี่ยโยวเหยาปัดมือของซูจิ่นซีทิ้งอย่างหมดความอดทน เขาอุ้มนางขึ้นในทิศทางแนวนอนระดับสององศาและเดินออกไปนอกห้องอย่างสง่างาม

        ทว่าก่อนจะเดินออกไป เยี่ยโยวเหยาได้หันศีรษะกลับมามองจิ่วหรงแวบหนึ่ง และออกคำสั่งอย่างโกรธเกรี้ยว “คนเหล่านี้ ฆ่าอย่าปรานี”

        พระชายาของข้ายังกล้าคิดครอบครอง พวกมันคงไม่อยากมีชีวิตอยู่

        แววตาของจิ่วหรงค่อยๆ หรี่ลง

        โสเภณีชายทั้งสิบคนต่างตกใจจนร่างกายอ่อนแรงลงไปกองอยู่บนพื้น พวกเขาส่งเสียงตะโกนร้องขอความเมตตา เวลานี้พวกเขาจึงตระหนักได้ว่า เมื่อครู่ที่ตนปรนนิบัติอยู่คือพระชายาโยวอ๋อง!

        หากรู้ก่อนนานแล้ว เช่นนั้น แม้ว่าจะให้เงินพวกเขามากมายเพียงใด พวกเขาก็จะไม่มาแน่นอน!

        เยี่ยโยวเหยาแบกซูจิ่นซีตลอดทางกลับจวนโยวอ๋อง พวกเขาเดินผ่านถนนใหญ่ที่คึกคัก ข้างทางมีผู้คนแน่นขนัดยืนมองด้วยความตกตะลึง เช่นนี้ พรุ่งนี้เช้าในเมืองตี้จิงคงจะมีเรื่องให้ซุบซิบนินทาอยู่ไม่น้อยเป็นแน่

        ซูจิ่นซีอาเจียนอยู่ข้างทางหลายต่อหลายครั้ง อาเจียนจนเปรอะเปื้อนไปทั่วร่างกายของเยี่ยโยวเหยา

        เมื่อเข้าประตูจวนมา แม่นมฮวาและพ่อบ้านต่างพากันตกตะลึง

        คาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาผู้ที่รักสะอาดเป็นอย่างยิ่งจะสามารถอดทนเพื่อพระชายาได้ถึงเพียงนี้

        “เยี่ยโยวเหยาเพคะ ท่านว่า ท่านชอบหม่อมฉันแล้วหรือไม่เพคะ? ”

        เมื่อเยี่ยโยวเหยานำซูจิ่นซีไปโยนไว้บนเตียง ซูจิ่นซีก็ปีนขึ้นมาอีกครั้งและโพล่งถามเยี่ยโยวเหยา

        “ซูจิ่นซี เจ้าเมาแล้ว! ”

        “หม่อมฉันไม่ได้เมานะเพคะ เยี่ยโยวเหยา แม้ท่านจะไม่ชอบหม่อมฉัน แม้พวกเรายังไม่ได้เป็นสามีภรรยากัน ทว่าเหตุใดท่านจะต้องอภิเษกกับหม่อมฉัน? ทั้งยังหยอกเย้าหม่อมฉัน? เพื่ออันใดเพคะ? ”

        ใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาเย็นชา ไม่พูดจาอันใดแม้แต่น้อย

        ซูจิ่นซีหัวเราะอย่างขมขื่นขึ้นมาหนึ่งครั้ง กลืนน้ำตาที่กำลังจะไหลลงมา “ได้เพคะ หากท่านไม่ชอบหม่อมฉัน ก็เชิญท่านไปนัดพบกับคุณหนูหนานกงของท่าน หม่อมฉันก็จะไปหาบุรุษของหม่อมฉัน ท่านและหม่อมฉันไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกันอีก”

        ซูจิ่นซีพูดจบก็ปล่อยคอเสื้อของเยี่ยโยวเหยา ก่อนจะเดินอย่างยากลำบากออกไปด้านนอก

        เยี่ยโยวเหยาลากซูจิ่นซีกลับมาด้วยความโกรธเป็นอย่างมาก พลางดุนางว่า “ซูจิ่นซี ชายพวกนั้นเจ้าก็สัมผัสลงหรือ? ว่าอย่างไร? ”

        “ไม่ใช่ธุระของท่าน! ”

        “เช่นนั้นข้าเล่า? เจ้าอย่าลืมเรื่องที่เจ้าทำต่อข้า”

        แม้ซูจิ่นซีจะดื่มจนเมา ทว่านางยังคงมีสติอยู่เล็กน้อย นางสามารถรับรู้ได้ว่าสิ่งที่เยี่ยโยวเหยากำลังพูดถึงคือเรื่องราวในสวนหลังบ้านของจวนสกุลซู

        ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็ตกตะลึงในทันที

        ทว่าเยี่ยโยวเหยาไม่ให้เวลาซูจิ่นซีได้มีปฏิกิริยาตอบโต้มากนัก วินาทีต่อมามือใหญ่ของเยี่ยโยวเหยาก็จับเข้าที่ด้านหลังศีรษะของซูจิ่นซี และจูบริมฝีปากของนางอย่างดุเดือด

        ในหัวของซูจิ่นซีมีเสียงดังสะท้อนขึ้นมา ร่างกายถูกเยี่ยโยวเหยาบังคับให้เดินถอยหลังสองก้าวอย่างไม่สามารถควบคุมได้ สุดท้ายร่างของนางก็กระแทกเข้ากับผนังอย่างแรง

        แม้แต่เสียงของความเจ็บปวดก็ถูกริมฝีปากของเยี่ยโยวเหยากดครอบงำไว้

        ในที่สุดความมึนเมาของซูจิ่นซีก็เลือนหายไป สติของนางกลับมาอย่างสมบูรณ์

        ซูจิ่นซีทุบหน้าอกของเยี่ยโยวเหยาอย่างแรง ดิ้นรนอย่างหนัก

        คนชั่วช้า เขากำลังทำอันใด? เขาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? เขาคิดว่าซูจิ่นซีเป็นตัวอะไรไปแล้ว?

        ก่อนหน้านั้นยังไปเดินนัดพบกับสตรีอื่น บัดนี้กลับมาจูบนาง หมายความว่าอย่างไรกันแน่?

        น่าเสียดายที่การต่อสู้ของซูจิ่นซีนั้นราวกับลูกแกะตัวเล็กๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าหมาป่าผู้หิวโหย การต่อต้านจึงไม่ส่งผลกระทบอันใดเลยแม้แต่น้อย

        ขาทั้งสองขาของเยี่ยโยวเหยาหนีบเข้ากับขาของซูจิ่นซีที่ถีบมั่วซั่ว มือข้างหนึ่งกดมือของซูจิ่นซีไว้บนผนังอย่างแน่นหนา ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็จับศีรษะของซูจิ่นซีไว้

        บ้าจริง!

        สัตว์ร้ายกาจ!

        ซูจิ่นซีสาปแช่งในใจ นางกัดเยี่ยโยวเหยาอย่างรุนแรงหนึ่งครา

        เยี่ยโยวเหยารู้สึกเจ็บปวดชั่วครู่ จึงปล่อยปากของซูจิ่นซีออก

        “ไม่ยอมหรือ? ว่าอย่างไร? ”

        เยี่ยโยวเหยาถามเสียงเย็นชา

        “เยี่ยโยวเหยา ท่านมันสัตว์ร้าย! ”

        เยี่ยโยวเหยาปล่อยมือของซูจิ่นซี และเช็ดเลือดที่มุมปาก

        “คืนนั้นเจ้าก็ดูเหมือนสัตว์ร้ายเช่นกันไม่ใช่หรือ? ” เยี่ยโยวเหยาถามเสียงเย็น

        ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็นึกขึ้นได้ถึงดอกท้อที่พลิ้วไหว ค่ำคืนแห่งความสัมพันธ์ที่อ่อนหวาน แก้มของนางพลันแดงก่ำขึ้นมาในทันที

        “เยี่ยโยวเหยา ท่านหน้าไม่อาย นั่นมันเป็นเพียงอุบัติเหตุนะเพคะ”

        “ดังนั้น เจ้าเป็นหนี้ข้า เจ้าต้องชดใช้คืนทุกอย่าง”

        ชดใช้?

        เอาอันใดมาชดใช้?

        ซูจิ่นซียังไม่ทันคิด จูบของเยี่ยโยวเหยาก็จู่โจมเข้ามาอีกครั้ง

        เดิมทีซูจิ่นซีคิดจะดิ้นรนขัดขืน ทว่าทันใดนั้นร่างของนางก็ถูกทำให้ขยับไม่ได้

……

เชิงอรรถ

[1] ยักษะ แปลว่า บุคคลที่มีหน้าตาอัปลักษณ์และโหดร้ายหรือบุคคลที่ดูดุร้าย

[2] สามเศียรหกกร คือสำนวนจีน หมายถึง ความสามารถล้ำเลิศ มีฤทธิ์เดชมาก หรือมีอิทธิฤทธิ์มาก

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset