เยี่ยโยวเหยาจูบลงไปสองครั้งพลันรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องจึงผละออก นิ้วมือเชยคางของซูจิ่นซีขึ้น นัยน์ตาสีดำสนิทสบกับดวงตาที่วาววับของซูจิ่นซี
“เยี่ยโยวเหยา ท่านหมายความว่าอย่างไรเพคะ? ”
“เจ้าต้องการเป็นสตรีของข้าหรือไม่? ”
“ไม่ต้องการเพคะ! ” ซูจิ่นซีขบริมฝีปาก
คิ้วของเยี่ยโยวเหยาขมวดแน่น “ซูจิ่นซี เจ้าต้องการหรือไม่ต้องการเป็นพระชายาของข้ากันแน่? ”
นี่นางมีตัวเลือกด้วยหรืออย่างไร?
นางสามารถเลือกได้หรือ?
เมื่อเห็นว่าซูจิ่นซีไม่พูดจา เยี่ยโยวเหยาจึงดึงซูจิ่นซีเข้ามาในอ้อมอก ใช้ปลายคางถูเกศาที่อยู่บนศีรษะของซูจิ่นซีอย่างรักใคร่ “ไม่ว่าเจ้าต้องการเป็นหรือไม่ ชื่อด้านหน้าของเจ้าในชีวิตนี้ก็จะต้องเพิ่มชื่อของเยี่ยโยวเหยาเข้าไป เจ้าเลิกคิดหนีได้เลย”
“เยี่ยโยวเหยา ท่านหมายความว่าอย่างไรกันแน่เพคะ? ”
หัวใจของซูจิ่นซีกระตุกอย่างเจ็บปวด นางหลับตาทั้งสองข้างลงอย่างหมดหนทาง
เยี่ยโยวเหยาไม่พูดตอบ หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ซูจิ่นซีจึงลืมตาทั้งสองข้างขึ้น นางผลักเยี่ยโยวเหยาออกและสบมองนัยน์ตาของเขา “เยี่ยโยวเหยาเพคะ คุณหนูหนานกงผู้นั้นใช่คู่หมั้นของท่านหรือไม่เพคะ? ”
“ใช่! ”
ซูจิ่นซีคิดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะยอมรับอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ นางกำหมัดแล้วก็ทุบไปบนร่างของเยี่ยโยวเหยา
“ท่านมันคนใจร้าย! ”
เยี่ยโยวเหยารับกำปั้นของซูจิ่นซี แล้วดึงซูจิ่นซีเข้ามาในอ้อมอกอีกครั้ง “จิ่นซี คราก่อนตอนที่เจ้าถูกลักพาตัวไปจากหอสุราตู้คัง ข้ากังวลเป็นอย่างยิ่ง ครานี้ที่วัดพุทธฝ่าเจ้านำกำลังคนมากมายถึงเพียงนั้นไปเผชิญหน้ากับผีดิบติดพิษ ข้าหวาดกลัวยิ่งนัก เจ้ารับปากข้า หลังจากนี้เป็นต้นไปอย่าได้พยายามกล้าหาญทำเรื่องเช่นนี้อีก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า”
กระแสความอบอุ่นไหลผ่านดวงใจของซูจิ่นซี ละลายความโศกเศร้าและความทุกข์ระทมทั้งหมดในชั่วพริบตา
ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปาก พลางหลับตาทั้งสองข้างลงอย่างเชื่องช้า หยดน้ำที่ชุ่มชื้นค่อยๆ ไหลลงมาจากแพขนตา
“เยี่ยโยวเหยาเพคะ ท่านหมายความว่าอย่างไรกันแน่เพคะ? ”
เยี่ยโยวเหยาไม่ตอบคำถามของซูจิ่นซี
ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงกล่าวว่า “เจ้าดื่มจนเมาแล้ว ให้แม่นมฮวาต้มน้ำแกงสร่างเมาให้เจ้าสักชาม ข้าจะไปอาบน้ำก่อน ยามค่ำจะมาทานข้าวเป็นเพื่อนเจ้า”
ซูจิ่นซีเฝ้ามองเรือนร่างของเยี่ยโยวเหยาที่ลับหายไปจากห้องใต้หลังคาของเรือนอวิ๋นไค นางยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองร่างของเยี่ยโยวเหยาที่เข้าไปในตำหนักฝูอวิ๋นอีกครั้ง
ภายในใจสับสนเป็นอย่างยิ่ง
เยี่ยโยวเหยา ความกังวลและความหวาดกลัวของท่านนั้นแปลว่าในใจของท่าน แท้จริงแล้วมีหม่อมฉันอยู่ใช่หรือไม่?
หากไม่มี ทว่าคำว่าชอบสักคำก็เอ่ยยากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
เมื่อครู่ที่ซูจิ่นซีถามเยี่ยโยวเหยาอยู่ตลอดว่า “ที่ท่านพูดหมายความว่าอย่างไร? ” นั้น เป็นเพราะนางต้องการฟังเยี่ยโยวเหยาเอ่ยคำว่าชอบสักครา
ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ นางก็ไม่ได้ยินเลยแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีก็ค่อยๆ ยกยิ้มมุมปากขึ้น
เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้วนี่!
เมื่อก่อนนางมักจะคิดว่าภาพลักษณ์ของเยี่ยโยวเหยาสูงส่งประดุจดั่งเทพเซียนอย่างไรอย่างนั้น ระยะห่างของพวกเขาต่างกันราวฟ้ากับเหว ดังนั้นนางจึงไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดที่มากจนเกินไป
แม้ในภายหลัง ความชอบของซูจิ่นซีที่มีต่อเยี่ยโยวเหยานับวันจะยิ่งลึกซึ้งมากขึ้น ทว่านางก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่า วันหนึ่งพวกเขาจะได้ใกล้ชิดกันเหมือนดั่งวันนี้
นี่ก็ดีกว่าเมี่อก่อนมากโขแล้ว!
ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนจะต้องค่อยเป็นค่อยไปใช่หรือไม่?
เมื่อคิดเช่นนี้ ความรู้สึกของซูจิ่นซีก็ดีขึ้นกว่าเดิมมาก
อันดับแรก นางต้องดื่มน้ำแกงสร่างเมาที่แม่นมฮวาต้มให้ก่อน จากนั้นก็ขออาบน้ำร้อนอีกครั้ง
นอนหลับฝันดีสักตื่น
เมื่อตื่นขึ้นมาก็เย็นค่ำเสียแล้ว
“พระชายาโยวอ๋อง ท่านตื่นบรรทมแล้วหรือเพคะ? ท่านอ๋องรอท่านอยู่เพคะ! นี่ข้าน้อยก็กำลังจะยกสำรับไปให้พวกท่านเพคะ! ” วันนี้อารมณ์ของแม่นมฮวาดียิ่ง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มแฉ่ง
ซูจิ่นซีเดินไปถึงหน้าประตูก็มองเห็นเยี่ยโยวเหยาที่สวมชุดคลุมสีขาวราวกับหิมะ ปล่อยชายเสื้อยาวระพื้น กำลังนั่งจิบชาอยู่ในลาน
ด้านหลังของเขาคือแสงอรุณที่แดงฉาน ภาพนั้นดูราวกับคุ้นเคยมาก่อน ช่างงดงามเหลือเกิน
“เยี่ยโยวเหยาเพคะ! ”
ซูจิ่นซีตะโกนเรียก
เยี่ยโยวเหยาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ดวงตาทั้งสองสบมองกันในทันใด บัดนี้ภายในดวงตาพวกเขาทั้งสองล้วนมีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
หลังจากนั้นไม่นานซูจิ่นซีก็ยกกระโปรงขึ้นและก้าวเท้าลงบันไดเดินไปหาเยี่ยโยวเหยา นางเดินไปยังฝั่งตรงข้ามของเยี่ยโยวเหยาแล้วนั่งลง
“เจ้าลองชิมนี่ดูสิว่ารสชาติเป็นอย่างไร? ”
เยี่ยโยวเหยาเทน้ำชาให้ซูจิ่นซีหนึ่งจอก
ซูจิ่นซีจิบลิ้มรส จึงทราบได้ว่าเป็นชาดอกหวงจินกุ้ย [1] ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในหมู่ชาเขียว
ชาชนิดนี้เป็นชากึ่งหมัก ผสมผสานความสดสะอาดและความหวานของชาดำและชาบริสุทธิ์ไร้รส มันสามารถรักษากลิ่นความหอมไว้ระหว่างช่องฟัน รสชาติติดตาตรึงใจไม่รู้จบ
ที่แท้เยี่ยโยวเหยาก็ชอบดื่มชาชนิดนี้
“ไม่เลวเลยเพคะ! ” ซูจิ่นซีเอ่ยชื่นชม จดจำไว้ในใจ
“สิ่งเหล่านี้ก็ไม่เลวเช่นกัน! ”
เยี่ยโยวเหยามองไปยังสวนยาสมุนไพรด้านข้างแล้วเอ่ยขึ้น
พักนี้ซูจิ่นซียุ่งมาก นางจึงไม่มีเวลามาดูสวนยาสมุนไพรของตน บัดนี้จึงพบว่าพวกมันได้เติบโตสูงขึ้นอย่างมาก บ้างก็สามารถเก็บเกี่ยวได้ บ้างก็ผลิดอกออกผล แม้พวกมันไม่ได้ดูสวยงามตระการตาเท่าใดนัก ทว่ากลับปลอดโปร่ง สดชื่นและทำให้สบายใจได้
“หากท่านอ๋องโปรด บนเรือนยังมีดอกไม้ปลูกไว้มากมาย หม่อมฉันจะให้แม่นมฮวานำกระถางดอกไม้ไปถวายให้ที่ตำหนักฝูอวิ๋นนะเพคะ”
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้ว ไม่ได้ตอบรับในทันที
ทันใดนั้นซูจิ่นซีจึงรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่ผิดพลาดในคำพูดของตน
เหมือนว่าพ่อบ้านจะเคยเตือนแล้ว! เยี่ยโยวเหยาไม่ชอบพวกต้นไม้ใบหญ้าเท่าไร นางถามเช่นนี้ เขาคงไม่ยินดีใช่หรือไม่นะ?
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วมุ่น เยี่ยโยวเหยาพยักหน้าทันที “ดี เจ้าตัดสินใจแล้วกัน! ”
ในใจของซูจิ่นซีรู้สึกเบิกบานเล็กน้อย
“ท่านอ๋องเพคะ พระชายา อาหารมาแล้วเพคะ! ”
แม่นมฮวายิ้มร่า รีบยกถาดอาหารขึ้นมา
ซูจิ่นซีตะลึงงันเมื่อมองดูชามสำรับกับข้าวที่ยกเข้ามา “นี่… ”
“ฮิๆ ท่านอ๋องและพระชายาเพคะ นี่เป็นของที่แสดงการขอบพระคุณอย่างสุดซึ้งสำหรับการวางเดิมพันของท่านอ๋องที่บ่อนพนันเพคะ เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารของคู่รักเหล่านี้ส่งมาให้พวกท่านโดยเฉพาะ ข้าน้อยมองแล้วฝีมือประณีตบรรจงไม่เลวจึงทำตามความคิดของตนเองโดยพลการ นำมาให้พวกท่านใช้เพคะ”
ก่อนหน้านี้ที่คนจากกองคลังมา ซูจิ่นซีอารมณ์ไม่ดีเท่าไร ดังนั้นจึงไม่ได้มองให้ละเอียด ครานี้มองเห็นแล้วว่ารูปลักษณ์ช่างวิจิตรงดงามเสียจริง
โดยเฉพาะชามสำรับใส่อาหาร บนชามสำรับข้าวของเยี่ยโยวเหยาเคลือบด้วยลายมังกร ส่วนบนชามสำรับข้าวของซูจิ่นซีเคลือบด้วยลายหงส์ รูปแบบที่สรรสร้างของชามทั้งสอง หากวางไว้คู่กันก็จะเป็นภาพหงส์ร่อนมังกรรำ [2] ซึ่งมีนัยความหมายที่ดียิ่งนัก
ทว่าแม่นมฮวาทำตามความคิดของตนโดยไม่ถามได้อย่างไรกัน?
หากเยี่ยโยวเหยาไม่ชอบจะทำอย่างไรเล่า?
“อืม… ดียิ่ง! ต่อจากนี้ไปก็ใช้พวกมันเถิด! ”
เยี่ยโยวเหยาเอ่ยขึ้น
แววตาของแม่นมฮวาเป็นประกายขึ้นมาในทันที นางดีใจยิ่งว่าซูจิ่นซีเสียอีก ทั้งยังสามารถจับประเด็นในคำพูดของเยี่ยโยวเหยาได้อย่างเฉียบขาด ในขณะที่ซูจิ่นซีไม่สามารถจับใจความอันใดได้เลย
“ความหมายของท่านอ๋องก็คือ ต่อจากนี้ไปจะกลับมาร่วมโต๊ะอาหารเป็นเพื่อนพระชายาให้บ่อยขึ้นใช่หรือไม่เพคะ? ”
“อืม ประมาณนั้น! ” เยี่ยโยวเหยาพูดขึ้นอย่างแผ่วเบาอีกครั้งว่า “หากกลับมาไม่ได้จะให้คนล่วงหน้ามาบอกก่อน”
สวรรค์!
ท่านอ๋องปฏิบัติต่อพระชายาดียิ่งนัก
สมัยก่อน ท่านอ๋องกลับมาเสวยอาหารที่จวนน้อยครั้งมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องแจ้งข่าวคราวให้กับคนที่จวนทราบ นางไม่กล้าแม้แต่จะคิดอย่างแน่นอน
ทว่าพอมีฮูหยินแล้ว ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิม!
แม่นมฮวามองดูเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซี รอยยิ้มบนใบหน้าแย้มบานดั่งดอกไม้
“แม่นมฮวา! ข้าวเย็นชืดหมดแล้วนะ! ”
ซูจิ่นซีเตือนแม่นมฮวา นางถึงจะตักสำรับให้เยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซี
ในขณะที่ซูจิ่นซีถือข้าวกำลังจะคีบซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานมาทานสักชิ้น ก็พอดีกับตะเกียบของเยี่ยโยวเหยาที่เอื้อมมาคีบซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานชิ้นนั้นเช่นกัน
เยี่ยโยวเหยาต้องการคีบกุ้งแช่บ๊วยสักชิ้น ตะเกียบของซูจิ่นซีก็คีบไปพอดีเช่นกัน
ทันใดนั้นซูจิ่นซีจึงคีบซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานวางลงในชามของเยี่ยโยวเหยาอย่างเป็นธรรมชาติ เยี่ยโยวเหยาก็กำลังคีบกุ้งแช่บ๊วยชิ้นที่ซูจิ่นซีคีบไม่ถึงและวางลงในชามของซูจิ่นซีเช่นกัน
แก้มของซูจิ่นซีแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย ทำเพียงก้มหน้าทานข้าวอย่างเดียว
ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็ได้ยินเสียงของเยี่ยโยวเหยาเอ่ยว่า “ซี่โครงเปรี้ยวหวานชิ้นนี้ดูไม่เปรี้ยวเอาเสียเลย! ”
พลันซูจิ่นซีก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่ถนนหรงหวาฟู่กุ้ย นางจงใจใส่น้ำส้มสายชูจำนวนมากลงในชามสำรับของเยี่ยโยวเหยาและคุณหนูหนานกง ในสำรับอาหารเหล่านั้นก็มีซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานเช่นกัน
นี่! เยี่ยโยวเหยาจงใจแกล้งนาง!
“แม่นมฮวา ไปเอาน้ำส้มสายชู [3] มา! ”
ซูจิ่นซีเงยหน้าขึ้นจ้องไปที่รอยยิ้มไร้เดียงสาของแม่นมฮวา
……
เชิงอรรถ
[1] ดอกหวงจินกุ้ย คือ ดอกอบเชยสีทอง มักนำไปทำเป็นชาดอกไม้ มีชื่อเสียงในเมืองฝูเจี้ยนของประเทศจีน
[2] หงส์ร่อนมังกรรำ คือสำนวนจีน ในประเทศจีนใช้สำนวนนี้เป็นคำมหามงคลยิ่ง ภาพมังกรกับหงส์อยู่คู่กัน สื่อความหมายว่า บ้านเมืองสงบสุข ประชาชนอยู่ดีกินดี ลวดลายมังกรและหงส์มักนำมาใช้เป็นของชำร่วย จึงสื่อความหมายนามธรรมในงานแต่งได้อีกว่า “คู่ชีวิตที่มีความสมปรารถนาและชีวิตอุดมสมบูรณ์พูนสุข”
[3] กินน้ำส้มสายชู ความหมายแฝงที่คนจีนใช้ในอีกนัยยะ หมายความถึง รู้สึกหึงหวง ดังนั้นน้ำส้มสายชูจึงสามารถใช้แทนความรู้สึกหึงหวงได้เช่นกัน