จะฆ่าอวิ๋นจิ่นอย่างนั้นหรือ?
เหตุใดกัน?
“เยี่ยโยวเหยา… ” ซูจิ่นซีไม่เข้าใจ
“หมอชั้นต่ำ! ทั้งยังโอ้อวดว่าสำนักหมอหลวงมีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมกว่าผู้ใด วินิจฉัยว่าเจ้าจะตื่นในวันรุ่งขึ้น ทว่ากลับทำให้เจ้าหมดสติไปสิบกว่าวัน ขยะจำพวกนี้ จะเก็บเอาไว้ด้วยเหตุใด? ”
เยี่ยโยวเหยาจับไหล่ของซูจิ่นซีแน่นยิ่งขึ้น
ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว
เรื่องนี้ไม่ควรจะโทษอวิ๋นจิ่นกระมัง?
ซูจิ่นซีหมดสติไปกะทันหันอย่างน่าประหลาด อีกทั้งภาพในความฝันก็แปลกมากเช่นกัน เรื่องนี้คงไม่เกี่ยวอันใดกับร่างกายของนาง ทว่าเป็นเพราะสาเหตุอื่นมากกว่า
เป็นเรื่องปกติที่หมอจะวินิจฉัยผิดพลาดหรือมองสาเหตุของอาการป่วยไม่ออก จะมาโทษอวิ๋นจิ่นได้อย่างไรกัน?
ซูจิ่นซีคิดจะพูดสองประโยคนี้แทนอวิ๋นจิ่น ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับหันไปพูดกับแม่นมฮวาว่า “ช่างเถิด ไปเชิญเขามาแล้วกัน! ”
ซูจ้งไม่ได้อยู่ในสำนักหมอหลวงแล้ว ตอนนี้สำนักหมอหลวงมีเพียงอวิ๋นจิ่นที่ใช้ประโยชน์ได้ เมื่ออวิ๋นจิ่นยังไม่สามารถวินิจฉัยอาการได้ การเชิญหมอหลวงท่านอื่นก็ยิ่งไร้ประโยชน์
“เพคะ! ”
แม่นมฮวาเร่งรีบลงมาชั้นล่าง
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม แม่นมฮวาก็เชิญอวิ๋นจิ่นเข้ามา
อวิ๋นจิ่นทำการตรวจซูจิ่นซีอีกครั้งตามขั้นตอน พบว่านอกจากซูจิ่นซีจะมีอาการที่หูมีประสาทสัมผัสค่อนข้างน่าอัศจรรย์แล้วก็ไม่มีอาการอื่นใดอีก
“พระชายา นี่ไม่นับเป็นเรื่องร้ายอันใดพ่ะย่ะค่ะ ทว่าหลังจากนี้ท่านยังต้องดูแลตนเอง หากพบว่าไม่สบายที่ใดจะต้องให้คนไปตามกระหม่อมมาทันทีนะพ่ะย่ะค่ะ”
ซูจิ่นซีพยักหน้า “อวิ๋นจิ่น เหนื่อยหน่อยนะ! ”
อวิ๋นจิ่นมีท่าทีไม่เป็นธรรมชาติเท่าใดนัก ราวกับว่าไม่ค่อยคุ้นชินวิธีการพูดของซูจิ่นซีเท่าไร
ซูจิ่นซีก็ดูออกเช่นกัน นางจึงแย้มยิ้มสดใส และใช้วิธีการพูดแบบสมัยโบราณอธิบายซ้ำอีกครั้ง “รบกวนเจ้าแล้ว! ”
อวิ๋นจิ่นกล่าวอย่างถ่อมตนว่า “พระชายา นี่เป็นสิ่งที่กระหม่อมควรทำพ่ะย่ะค่ะ! ”
ใบหน้าของซูจิ่นซีปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาอย่างแผ่วเบา
ทว่าใบหน้าของเยี่ยโยวเหยากลับอึมครึมถึงขีดสุด “อวิ๋นจิ่น ตอนแรกเจ้าบอกว่าพระชายาจะตื่นบรรทมในตอนเที่ยงของวันรุ่งขึ้น ทว่านางกลับบรรทมไปนานถึงเพียงนี้ เจ้าสมควรได้รับโทษอย่างไร? ”
อวิ๋นจิ่นเร่งรีบยอมรับความผิดกับเยี่ยโยวเหยา “ท่านอ๋อง ตามที่กระหม่อมกล่าวว่าพระชายาจะตื่นบรรทมในไม่ช้า เนื่องจากอาการทั้งหมดของพระชายาเกิดจากความเหนื่อยล้าจนเกินไป อีกทั้งยังเกิดจากสภาพจิตใจที่วิตกกังวล ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดพระชายาจึงได้บรรทมนานถึงเพียงนี้ กระหม่อมก็ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ชัดเจนนัก ทว่าตอนนี้ร่างกายของพระชายากลับมาเป็นปกติดีแล้วอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“หากเกิดจากสาเหตุอื่นเล่า? อวิ๋นจิ่น ในเมื่อเจ้าไม่สามารถวินิจฉันได้ เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์พูดอันใด หากข้าจะสังหารหมอชั้นต่ำเช่นเจ้า”
ใบหน้าของเยี่ยโยวเหยามืดคล้ำ ราวกับถูกเมฆดำปกคลุม
“กระหม่อมบกพร่องในการวินิจฉัย ท่านอ๋องโปรดลงโทษ กระหม่อมไม่มีอันใดจะพูด ทว่าท่านอ๋องบอกกระหม่อมได้หรือไม่ว่า แท้จริงแล้วเกิดอันใดขึ้นกับพระชายาก่อนที่นางจะหมดสติไป?”
กล้าดียิ่งนัก ไม่คิดว่าอวิ๋นจิ่นจะกล้าต่อรองกับเยี่ยโยวเหยา แม้แต่รัชทายาทองค์ปัจจุบันยังไม่กล้าพูดกับเยี่ยโยวเหยาเช่นนี้
ดวงตาของเยี่ยโยวเหยาดุร้าย กวาดมองไปยังอวิ๋นจิ่นอย่างเย็นชา
ทว่าอวิ๋นจิ่นกลับยังแสดงท่าทีถ่อมตน ยืนคำนับอย่างนอบน้อม
“เยี่ยโยวเหยา! หม่อมฉันเหนื่อยมากเพคะ”
ซูจิ่นซีคว้าแขนของเยี่ยโยวเหยาไว้อย่างทันท่วงที พลางพูดขึ้นอย่างอ่อนแรง
เหตุการณ์ก่อนที่ซูจิ่นซีจะหมดสติไป เยี่ยโยวเหยาบอกกับผู้ใดไม่ได้อย่างแน่นอน แม้ซูจิ่นซีจะไม่ทราบถึงสถานการณ์ ทว่านางไม่สามารถปล่อยให้เยี่ยโยวเหยาทำให้อวิ๋นจิ่นลำบากใจได้ ดังนั้นจึงพูดแทนอวิ๋นจิ่นโดยการเบี่ยงเบนประเด็นออกไป
“ไสหัวไป! ”
เยี่ยโยวเหยากล่าวอย่างเย็นชา
อวิ๋นจิ่นหยิบกล่องยาขึ้นมา พลางหันไปยิ้มอย่างอบอุ่นให้ซูจิ่นซี “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอลา! ”
“เดินทางปลอดภัยนะหมอหลวงอวิ๋น! ” ซูจิ่นซีพยักหน้า
“คราวหลังห้ามเรียกอวิ๋นจิ่นมารักษา! ”
หลังจากอวิ๋นจิ่นเดินออกไป ท่าทีของเยี่ยโยวเหยาก็แข็งกร้าวขึ้นมาทันที
ซูจิ่นซียิ้มเจื่อนที่มุมปาก “เพคะ ตราบใดที่ท่านยอมให้หมอหลวงชั้นต่ำตัวจริงมารักษาให้หม่อมฉัน! ”
“พวกขยะ! ไม่มีผู้ใดปกติแม้แต่คนเดียว”
หมอหลวงเหล่านั้น แท้จริงแล้วหาใช่หมอชั้นต่ำของสำนักหมอหลวง ผู้ที่สามารถเข้าร่วมสำนักหมอหลวงได้ต้องผ่านการทดสอบมากมาย ได้รับคัดเลือกมาจากระดับท้องถิ่น ทว่าทักษะทางการแพทย์ของอวิ๋นจิ่นนั้นสูงมาก จึงทิ้งห่างพวกเขาไปไกล ดังนั้นหมอหลวงเหล่านั้นจึงนับว่าไร้ความสามารถ
ยิ่งไปกว่านั้นความคาดหวังของเยี่ยโยวเหยาก็สูงเสียเหลือเกิน
ซูจิ่นซีไม่ต้องการถามเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องกับเยี่ยโยวเหยาอีกต่อไป
“เยี่ยโยวเหยาเพคะ หม่อมฉันเจ็บเหลือเกินเพคะ! ”
“กระไรนะ?”
เยี่ยโยวเหยาคิดว่าซูจิ่นซีรู้สึกไม่สบายอีกแล้ว จึงก้มศีรษะลงมา ขมวดคิ้วมุ่นมองซูจิ่นซี กลับไม่คิดว่าซูจิ่นซีจะยกมือปิดปากด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “เยี่ยโยวเหยา ไม่ใช่ว่าท่านหึงอีกแล้วนะเพคะ? ”
เยี่ยโยวเหยาจับแก้มของซูจิ่นซีไว้ จัดการลงโทษกับริมฝีปากของนางสองครั้ง “อืม ข้าทนไม่ได้ที่เจ้ายักคิ้วหลิ่วตากับผู้อื่น”
“พูดยังไม่ทันขาดคำ เยี่ยโยวเหยาเพคะ ท่านช่างอันธพาลเสียจริง! ”
“กระไรนะ? ”
ซูจิ่นซีบ่นพึมพำสองครั้งอยู่ในปาก เยี่ยโยวเหยาจึงได้ยินไม่ชัดเจนเท่าไร
“ไม่มีกระไรเพคะ หม่อมฉันเพียงต้องการพักผ่อนเพคะ! ”
“เพิ่งตื่น จะนอนอีกแล้วหรือ? ”
เหตุใดซูจิ่นซีจึงขี้เซาได้ถึงเพียงนี้? เยี่ยโยวเหยากังวลขึ้นมาเล็กน้อย
“เหนื่อยเพคะ! ”
“ได้ หากมีเรื่องอันใดก็ให้แม่นมฮวาหรือลวี่หลีมาเรียกข้าที่ตำหนักฝูอวิ๋น”
“เพคะ! ”
เมื่อมองจนร่างสูงใหญ่กำยำของเยี่ยโยวเหยาเดินลงไปจากเรือนแล้ว ซูจิ่นซีก็หลับตาทั้งสองข้างลงอย่างเชื่องช้า
ไม่ใช่เพราะซูจิ่นซีขี้เซา หรือเหนื่อยจึงต้องการพักผ่อน ทว่าซูจิ่นซีต้องการแยกตัวออกจากทุกคน เพื่อคิดบางเรื่องด้วยตัวคนเดียวเงียบๆ
เรื่องเกี่ยวกับกำไลดอกปี่อั้นและหยกกิเลน
ความจริงแล้วในฝันนอกจากนางจะเห็นผลึกแก้วดอกปี่อั้นที่เปลี่ยนสีและมีกลีบดอกเพิ่มขึ้นมาสองกลีบแล้ว นางยังเห็นตัวอักษรบนแท่นหินศิลาด้านข้างได้อย่างชัดเจนมากกว่าหนึ่งบรรทัด อีกทั้งยังเห็นกิเลนอีกหนึ่งตัว
กิเลนตัวนั้นเหมือนกับกิเลนที่ตกลงมาจากตัวของเยี่ยโยวเหยา ก่อนที่นางจะหมดสติไป
ภาพในความฝันทั้งสองครั้งเป็นสถานที่เดียวกัน ทว่าสิ่งที่ไม่เหมือนกันคือด้านในนั้นมีสิ่งของมากมาย
ซูจิ่นซีรู้สึกว่าสิ่งของเหล่านั้นไม่ได้ปรากฏออกมาอย่างไร้สาเหตุ
กลีบดอกปี่อั้นสองกลีบ กลีบหนึ่งคงเป็นตอนที่ซูจิ่นซีตามหาซูเมิ่งเหยาและทูตซ้ายชุดดำในถ้ำด้านหลังวัดพุทธฝ่า ดอกปี่อั้นดอกนั้นนางพบที่บ่อโลหิตงูยักษ์ หลังจากนั้นมันก็ลอยเข้ามาในร่างกายของนาง
อีกกลีบคงมาจากตัวกิเลนก่อนที่นางจะหมดสติไป
แม้ในเวลานั้นเหตุการณ์จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทว่านางยังคงมองเห็นตอนที่ดอกปี่อั้นลอยเข้ามาในร่างกายของตน
ส่วนกิเลนตัวนั้นออกมาได้อย่างไร…
ซูจิ่นซีก็นึกไม่ออกเช่นกัน
ทว่าตอนนี้ซูจิ่นซีมั่นใจแล้วว่า หยกกิเลนนั้นอาจมีความเกี่ยวข้องกับนาง มิฉะนั้นตอนที่นางเพิ่งข้ามภพมา เยี่ยเซินกับซูเซียนฮุ่ยคงไม่จับนางมัดเอาไว้และขู่เข็ญ อีกทั้งเยี่ยโยวเหยาคงไม่แสดงสีหน้าท่าทางเช่นนั้น ตอนที่ถามนางว่าไม่รู้จักหยกกิเลนจริงหรือ
ทว่าจากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม ซูจิ่นซีไม่พบข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับหยกกิเลนเลยจริงๆ
ซูจิ่นซีรู้สึกราวกับถูกเรื่องลึกลับซับซ้อนจำนวนมากห้อมล้อมอยู่ ดั่งภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก
หลังจากนั้นไม่นาน ก็เกิดแสงประกายวาบขึ้นมาในสมองของซูจิ่นซี จู่ๆ นางก็คิดอันใดขึ้นมาได้ ซูจิ่นซีลืมตาขึ้นมาในทันที มองกำไลดอกปี่อั้นที่ข้อมือของตน
หรือกำไลวงนี้ไม่ใช่กำไลธรรมดา ทว่าเป็นเหมือนระบบถอนพิษที่มีช่องว่างของเวลา?
ความคิดเช่นนี้ทำให้ซูจิ่นซีตกใจเป็นอย่างมาก
เมื่อซูจิ่นซีสงบจิตใจลงได้ นางจึงใคร่ครวญสิ่งที่เกิดขึ้น ซูจิ่นซีทั้งรู้สึกมหัศจรรย์ทั้งรู้สึกว่ามันควรจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
นางมั่นใจเต็มร้อยส่วนว่ากำไลดอกปี่อั้นวงนี้นำมาซึ่งช่องว่างของเวลา
ป่าไผ่มายาที่ซูจิ่นซีเห็นในภาพความฝันนั้นคงเป็นช่องว่างเวลาของดอกปี่อั้น กลีบดอกทั้งเจ็ดคือหนทางที่จะเลื่อนขั้นกำไลข้อมือปี่อั้น
อีกด้านหนึ่งของกลีบดอกไม้ สามารถมองเห็นตัวอักษรบางส่วนบนแท่นหินศิลาที่อยู่ด้านข้างผลึกแก้วดอกปี่อั้นได้อย่างชัดเจน ผู้ที่เข้ามาในช่องว่างของเวลาสามารถฝึกฝนตามตัวอักษรที่มองเห็นบนแท่นหินศิลาได้
จนกว่าจะรวบรวมกลีบของดอกปี่อั้นที่ขาดหายไปได้ครบเจ็ดกลีบ
นั่นจึงจะเป็นระดับสูงที่สุดของอาณาเขตการฝึกฝนในกำไลดอกปี่อั้น
ในตอนนี้ที่ซูจิ่นซีได้ยินเสียงมากกว่าคนทั่วไป คงเป็นทักษะที่นางปฏิบัติตามตัวอักษรบนแท่นหินศิลานั้น ดอกปี่อั้นจึงเพิ่มความสามารถในการได้ยินของนางให้ดีขึ้น
ซูจิ่นซีมองไปที่กำไลดอกปี่อั้นอย่างเหม่อลอยครู่หนึ่ง
ดอกปี่อั้นทั้งสองดอกมีความสามารถเกินกว่ามนุษย์เช่นนี้ หากปฏิบัติจนถึงระดับสูงสุดของกำไลดอกปี่อั้น จะมีพลังอันน่าเหลือเชื่อเพียงใดกัน?
เมื่อถึงเวลานั้น ซูจิ่นซีก็จะมีอำนาจยิ่งใหญ่ทั้งในโลกและแผ่นดินนี้ แล้วยังจะมีผู้ใดกล้ารังแกนาง?
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีคงคาดไม่ถึงว่า เมื่อได้รับการฝึกฝนจากกำไลดอกปี่อั้นจนถึงทักษะสูงสุดอย่างแท้จริง นางหวังว่าจะไม่เคยได้รับมันมาก่อน กระทั่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่านางจะไม่เคยเดินทางข้ามภพมายังสถานที่แห่งนี้