หลังออกมาจากคุกหลวง ซูจิ่นซีก็อารมณ์ไม่ดีตลอดทาง
นางนั่งในรถม้าด้วยใบหน้าเคร่งขรึม บ่าวรับใช้ที่มาด้วยต่างเดินตามรถม้าด้วยความรอบคอบระมัดระวัง ไม่กล้าพูดจาเกินจำเป็นแม้แต่ประโยคเดียว
แม้แต่คนขับรถม้าก็ไม่กล้าขับเร็วจนเกินไปหรือทำให้รถม้าได้รับการกระทบกระเทือน ด้วยกลัวว่าหากบริการอย่างไม่ระวัง ชีวิตน้อยๆ ของตนอาจจบสิ้นลงได้
พวกเขาได้ยินมาว่า ในคุกหลวง พระชายาได้ลงมือทุบตีบิดาของนางไปยกหนึ่ง!
ทว่าให้การป้องกันนับแสน ก็ยังไม่อาจป้องกันรถม้าของผู้อื่นได้!
ขณะที่รถม้าของซูจิ่นซีกำลังเข้าสู่ถนนหลักฉางอัน เมื่อใกล้ทางสามแยก ทันใดนั้นรถม้าคันหนึ่งก็วิ่งออกมาจากถนนด้านข้างอย่างรวดเร็วและชนเข้ากับรถม้าของซูจิ่นซี
อีกเพียงนิดเดียวซูจิ่นซีก็จะถูกสะบัดออกจากรถแล้ว
“คนขับรถม้า เจ้าขับรถประสากระไร? ”
ซูจิ่นซีแสดงความโกรธเกรี้ยวและโหดร้ายเป็นอย่างยิ่ง นางกำแขนที่ช้ำจากการชนกับกำแพงรถ พลางตะโกนออกไปด้านนอก
คนขับรถม้าเร่งรีบเปิดม่านรถม้าเพื่ออธิบาย “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ไม่ใช่ความผิดของข้าน้อยนะพ่ะย่ะค่ะ เป็นรถม้าอีกคันที่อยู่ข้างถนนขับพุ่งออกมาชนกับรถของพวกเราพ่ะย่ะค่ะ”
ซูจิ่นซียังไม่ทันพูดสิ่งใด วินาทีต่อมา แส้หนังเส้นหนึ่งก็พุ่งเข้ามากระแทกคนขับรถม้าจนกระเด็นออกไป ในเวลาเดียวกัน เสียงของชายผู้หนึ่งก็ดังขึ้นมาจากนอกรถม้า น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและหยาบคาย “เจ้าลูกหมา นี่คือรถม้าของผู้ใด? ”
เมื่อพูดจบ แส้หนังเส้นนั้นก็พุ่งเข้ามาอีกครั้ง ตรงเข้ามาตวัดเอาผ้าม่านรถม้าของซูจิ่นซีออกไป
แรงของแส้ที่บินโฉบมาไม่เบาเลย หากไม่ใช่เพราะปฏิกิริยาของซูจิ่นซีที่ตอบโต้อย่างรวดเร็ว ปลายแส้หนังนั้นคงสัมผัสโดนใบหน้าของซูจิ่นซีจนเกิดรอยแผลเป็นแน่
เดิมทีภายในใจของซูจิ่นซีก็เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างรุนแรงไม่น้อยไปกว่าผู้ที่ควบคุมแส้นี้ ทว่าตอนนี้นางโกรธจนถึงขีดสุด ไม่สามารถโกรธไปมากกว่านี้ได้แล้ว!
ซูจิ่นซีค่อยๆ เงยศีรษะขึ้น นางมองเห็นชายที่มีหนวดเคราเป็นแพบนแก้มขนาดใหญ่ เขานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามที่ตำแหน่งบังคับรถม้า แส้หนังนั้นก็มาจากมือของชายผู้นี้
คนขับรถม้ากล้าอวดดีจองหองเช่นนี้ ที่นั่งในรถมาคันนั้นเป็นผู้ใดกันแน่?
อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นนฤเทพ ทว่าวันนี้เขาชนเข้ากับกองไฟแห่งความโกรธเกรี้ยวของซูจิ่นซี ซูจิ่นซีก็จะนำความโกรธเกรี้ยวที่ได้รับจากคุกหลวงมาไว้บนร่างของเขาอย่างแน่นอน
ดวงตาของซูจิ่นซีหรี่ลงอย่างดุดัน นางพูดด้วยเสียงเย็นเยือกว่า “เจ้าลูกหมา เจ้าด่าผู้ใดกัน? ”
“เจ้าลูกหมา ก็ด่าเจ้าอย่างไรเล่า! ” ชายผู้นั้นเอ่ยตอบกลับมา
“ที่แท้ก็หมาสารเลว! ”
ชายคนนั้นสำลัก เขาตระหนักได้ในทันทีว่านางคือซูจิ่นซี ใบหน้าของเขาแดงก่ำ “พวกคุณหนู ปากดีทีเดียว ท่านไม่เห็นว่าผู้ใดนั่งอยู่ในรถม้าก็กล้าที่จะประพฤติตัวย่ำแย่เช่นนี้หรือ? รีบไสหัวออกไปจากข้า”
“จนถึงตอนนี้แล้วยังข่มอารมณ์ไว้ได้โดยไม่แสดงตัว? ใจเย็นอันใดหนักหนา? หรือแม้แต่หมาของตนเองยังเทียบไม่ติด? ” ซูจิ่นซีขึ้นเสียงตะโกนใส่คนที่อยู่ในรถม้า
“ซูจิ่นซี เจ้าว่าผู้ใดเป็นหมากัน? ”
คำพูดของซูจิ่นซีพึ่งสิ้นสุดลง ทันใดนั้นผ้าม่านของรถม้าฝั่งตรงข้ามก็เปิดออก ผู้ที่พุ่งตัวออกมาคือฮั่วอวี้เจียว
ซูจิ่นซีคิดไม่ถึงว่าจะเป็นนาง หลังจากชะงักไปชั่วครู่ มุมปากของนางก็ยกยิ้มอย่างเย็นชา
“ฮั่วอวี้เจียว ฝ่าบาทไม่ได้ทรงรับสั่งให้เจ้าไปยังอารามอวิ๋นเยวี่ยหรือ? เหตุใดเจ้าจึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้? เจ้าต่อต้านพระราชโองการหรือ? ”
“อวี้เจียวเป็นคู่หมั้นของข้าแล้ว”
ทันทีที่ซูจิ่นซีพูดจบ เสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งก็ดังสะท้อนขึ้นมาจากด้านในรถม้าอีกครั้ง
ดวงตาของซูจิ่นซีหรี่ลงอย่างเชื่องช้า จ้องมองม่านรถม้าที่ถูกเปิดออก บุคคลที่นางเห็นกลับกลายเป็นเยี่ยเซิน
ฮั่วอวี้เจียวเป็นคู่หมั้นของเยี่ยเซินแล้ว?
แม้จะเกินความคาดหมายไปบ้าง ทว่าเป็นความบังเอิญพอดี ถือโอกาสเก็บกวาดพร้อมกันเลยก็แล้วกัน
“ซูจิ่นซี ฮั่วอวี้เจียวเป็นคู่หมั้นของข้าแล้ว ข้าและนางรักกันอย่างแท้จริง ต่อไปนี้ขอให้เจ้าดีต่อนางสักหน่อยเถิด”
เยี่ยเซินกล่าวขณะที่กระโดดลงจากรถม้า เขาประคองฮั่วอวี้เจียวให้เดินลงมา จากนั้นทั้งสองก็เดินจูงมือกันมาทางรถม้าของซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีนั่งอยู่ในรถม้า นิ่งสงบและมั่นคง
มุมปากของนางยกยิ้มขึ้นอย่างแผ่วเบา “ไท่จื่อ นี่ท่านกำลังขอร้องหรือสั่งข้ากัน? ”
“ซูจิ่นซี เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ”
“หากสั่งข้า เกรงว่าไท่จื่อยังไม่มีอำนาจนั้น ข้าเป็นอาสะใภ้ของท่าน ท่านในตอนนี้เป็นเพียงชูจุน [1] ยังสั่งข้าไม่ได้ ขออภัยหากข้าไม่อาจปฏิบัติตาม หากท่านกำลังขอร้องข้า… ” ดวงตาที่ไม่แยแสของซูจิ่นซีกวาดมองไปยังใบหน้าของฮั่วอวี้เจียว มุมปากพลันยกยิ้มอย่างเย็นชา “เห็นแก่ท่านและข้าที่เคยอยู่ในฐานะนั้นช่วงเวลาหนึ่ง ข้าจะอดกลั้นพิจารณาดูก็แล้วกัน”
ซูจิ่นซีไม่ได้อิจฉาที่เยี่ยเซินและฮั่วอวี้เจียวอยู่ด้วยกัน ทว่านางต้องการตอบโต้ฮั่วอวี้เจียว
และซูจิ่นซีก็ทำสำเร็จ
หลังจากฮั่วอวี้เจียวฟังคำพูดของซูจิ่นซีจบ การแสดงออกของนางก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ซูจิ่นซีประหลาดใจก็คือเยี่ยเซินไม่ได้โกรธเคืองแม้แต่น้อย
ทว่ากลับปล่อยมือจากฮั่วอวี้เจียว และเดินมาเผชิญหน้ากับซูจิ่นซี
เมื่อมองไปยังแววตาห่างเหินของเยี่ยเซินที่มองมายังนาง ซูจิ่นซีก็คิดอยู่ครู่หนึ่งว่าเยี่ยเซินหลงรักตนเองหรือไม่
ทว่าความเป็นจริงกลับล้มล้างความคิดไร้สาระในช่วงเวลาสั้นๆ ภายในใจของซูจิ่นซีลง
“จิ่นซี ข้ารู้มาตลอดว่าเจ้ารักข้า แม้เจ้าจะอภิเษกกับเสด็จอาโยวอ๋อง ทว่าเจ้ายังคงมีความรู้สึกดีๆ ต่อข้า ข้ารู้ว่าเจ้าต่อต้านฮั่วอวี้เจียวมาโดยตลอดเพื่อเรียกร้องความสนใจจากข้า ทว่าไม่มีประโยชน์อันใด คนที่ใจของข้ารักมากที่สุดเสมอมาคือฮั่วอวี้เจียว นางเป็นคู่หมั้นของข้าแล้ว อีกไม่นานพวกเราก็จะอภิเษกสมรสกัน เสด็จพ่อของข้าพึ่งแถลงพระราชโองการแก่แม่ทัพฮั่วไป หรือว่าเจ้าลืมแล้วกระมัง! ”
ถุย!
เยี่ยเซิน เจ้ากำลังหลงตนเองอยู่กระมัง?
ราวกับว่าเป็นการตอบรับคำสารภาพรักของเยี่ยเซิน คาดไม่ถึงว่าฮั่วอวี้เจียวจะเดินไปยังด้านข้างของเยี่ยเซิน นางจับมือเยี่ยเซินและยิ้มให้เขาอย่างเสน่หา
ทว่าเมื่อหันมามองยังซูจิ่นซี ดวงตาทั้งสองล้วนเต็มไปด้วยการยั่วยุ
ฮั่วอวี้เจียวคิดว่าซูจิ่นซีจะต้องอิจฉาริษยานางจนเป็นบ้าอย่างแน่นอน แม้จะไม่อิจฉาริษยาจนเป็นบ้า อย่างน้อยซูจิ่นซีก็ต้องเดือดดาล
ทว่าฮั่วอวี้เจียวนึกไม่ถึงว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ส่งผลต่อซูจิ่นซีเลย เพราะเดิมทีซูจิ่นซีไม่มีความรู้สึกต่อเยี่ยเซินแม้แต่น้อย
ตรงกันข้าม ซูจิ่นซีดูเหมือนกำลังเฝ้าดูตัวตลกวายร้ายที่น่ารังเกียจสองตัวแสดงละครต่อหน้านาง นอกจากความตลกขบขันแล้วก็มีเพียงสองคำเท่านั้น
รังเกียจ!
ทันใดนั้นในสมองของซูจิ่นซีก็เกิดแสงสว่างวาบ นางคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
แววตาที่เฉยเมยแปรเปลี่ยนเป็นความสนุกสนาน นางพูดกับฮั่วอวี้เจียวว่า “คุณหนูฮั่ว ดูเหมือนเจ้าจะลืมเรื่องที่สำคัญมากเรื่องหนึ่งกระมัง? ”
การแสดงออกบนใบหน้าของฮั่วอวี้เจียวเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน นึกถึงสิ่งที่ซูจิ่นซีกำลังจะพูดได้คร่าวๆ ฮั่วอวี้เจียวเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ ทว่าในไม่ช้า การแสดงออกบนใบหน้าเหล่านั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว นางเบียดเข้าไปใกล้เยี่ยเซินมากยิ่งขึ้นด้วยใบหน้ามั่นใจและภูมิใจในตนเอง
นางคิดว่ามีเยี่ยเซินอยู่ มีคนหนุนหลังนาง แล้วซูจิ่นซีจะไว้ชีวิตนางหรือ?
คิดเพ้อเจ้อ!
ในทางกลับกัน ซูจิ่นซีไม่เคยเห็นเยี่ยเซินอยู่ในสายตามาก่อน
ซูจิ่นซีจงใจพูดเสียงแหลมและดังก้องกังวานเป็นพิเศษว่า “คุณหนูฮั่ว ยังมีเดิมพันระหว่างเราสองคน! ยอมรับความพ่ายแพ้และทำตามคำพูดเสียเถิด เจ้างดงามถึงเพียงนี้ คงไม่โง่ ยังไม่ลืมหรอกกระมัง? ”
การทุบด้วยตะบอง [2] !
ซูจิ่นซีเรียนมาจากเว่ยเหม่ยเจียนั่นเอง
ฮั่วอวี้เจียวพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
ซูจิ่นซีเอ่ยต่อว่า “ดูเหมือนว่า แม้คุณหนูฮั่วจะมีใบหน้างดงาม ทว่าสมองยังไม่กระจ่างเท่าไรนัก! ยังต้องให้ข้ามาเตือนคุณหนูฮั่ว! คุณหนูฮั่วแพ้เดิมพันแล้ว ข้าจำได้ว่า ตอนแรกเจ้าพูดต่อหน้าผู้คนมากมายที่ทางเข้าจวีเซียงฟางว่า หากเจ้าแพ้ เจ้าจะถอดเสื้อผ้าและยืนอยู่ที่ทางเข้าโรงน้ำชาจุ้ยหงเป็นเวลาสามวัน”
“ซูจิ่นซี ข้าไปพูดพนันกับเจ้าเช่นนี้เมื่อใดกัน? ” ฮั่วอวี้เจียวกำหมัดแน่น ร่างกายสั่นสะท้านไม่หยุด
มุมปากของซูจิ่นซีวาดยิ้มขึ้น “แม้เจ้าจะไม่ได้พูด ทว่าเจ้ากลับตอบรับด้วยปากของตนเอง ฮั่วอวี้เจียว เจ้าจะผิดคําพูดหรือ? ”
……
เชิงอรรถ
[1] ชูจุน หมายถึง ว่าที่กษัตริย์
[2] ทุบด้วยตะบอง คือ การใช้ไม้เท้าหรือตะบองลงโทษ ในราชวงศ์ถังเป็นวิธีการประหารชีวิตอาชญากรที่ถูกทุบด้วยตะบองหนักจนตาย