สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 126 ไท่จื่อ หลังของท่านมีตะพาบน้ำ

        ครานี้ซูจิ่นซีหยิบผงเพชรออกมาจากระบบถอนพิษ

        แท้จริงแล้วตามหลักการทางการแพทย์ เพชรไม่ใช่วัตถุดิบยา ทว่าถังเหมินกลับมีหลักการในการถอนพิษของตนเอง และในสารพิษบางส่วน เพชรเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการถอนพิษ ดังนั้นในระบบถอนพิษจึงมีผงเพชรไว้

        ซูจิ่นซีพักผ่อนพลางดื่มชาไปด้วย นางใช้ผงเพชรวาดลวดลายที่ตลกขบขันลงบนโต๊ะอย่างไม่รีบไม่ร้อนนัก

        เมื่อครู่ซูจิ่นซีได้เล็งเห็นตำแหน่งนี้ก่อนที่นางจะตัดสินใจให้เยี่ยเซินมาแทนฮั่วอวี้เจียว ขณะนี้แสงที่ตำแหน่งนี้กำลังพอดี แสงแดดส่องกระทบลงบนโต๊ะทแยงเฉียงอย่างพอเหมาะ

        อาคารฝั่งตรงข้ามที่ชั้นบนคงมีสตรีอาศัยอยู่ ข้างหน้าต่างจึงมีกระจกวางไว้บานหนึ่ง

        แสงแดดส่องลงมาที่ผงเพชรบนโต๊ะ และสะท้อนไปยังบานกระจกบนอาคารชั้นบนฝั่งตรงข้าม จากนั้นก็สะท้อนจากกระจกตกกระทบลงบนร่างของเยี่ยเซินและฮั่วอวี้เจียวอย่างพอดิบพอดี

        คนส่วนใหญ่มักไม่เห็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนพวกนี้

        ดังนั้นอีกไม่ช้าก็จะมีการแสดงละครดีๆ ให้ชมอีกครั้ง…

        เมื่อซูจิ่นซีทำทั้งหมดเสร็จสิ้น นางอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มมุมปาก พลางเรียกเสี่ยวเอ้อมาเพิ่มชาอีกแก้ว

        รอคอยที่จะชมการแสดงดีๆ

        เยี่ยเซินเริ่มรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา เขาเอื้อมมือเกาแผ่นหลังของตนอยู่ตลอดเวลา

        ฮั่วอวี้เจียวอับอายยิ่ง เดิมทีนางก็ไม่ได้มองไปทางเยี่ยเซินจึงไม่พบสิ่งใดเลย

        ผู้ชมที่อยู่ล้อมรอบ มาเพื่อต้องการชมการแสดงดีๆ จึงไม่ได้ให้ความสนใจสิ่งใดเช่นกัน

        เริ่มเกิดผื่นแดงขึ้นในบริเวณที่เยี่ยเซินเกาอยู่ตลอดเวลา มันเผาไหม้จนร้อนฉ่า หลังจากนั้นผื่นแดงก็ขยายใหญ่ขึ้น

        ผู้ที่มีสายตาแหลมคมดูเหมือนจะมองเห็นร่องรอยบางอย่างเข้า

        “เอ๊ะ… นี่คือสิ่งใดกัน? ”

        “ใช่แล้ว หลังของไท่จื่อดูเหมือนจะมีบางอย่างปรากฎขึ้นมา”

        “ดูเหมือนว่าจะเป็นลวดลายอันใดบางอย่าง! ”

        “ลวดลายนี้… ”

        ทุกคนต่างมองหน้ากัน ไม่กล้าเอ่ยชื่อออกมา

        “ดูเหมือนว่าจะเป็นเต่า… ”

        “ไม่ถูกสิ เป็นตะพาบน้ำ! ”

        “เต่า! ”

        “ตะพาบน้ำ! ”

        “เต่าไม่ใช่ตะพาบน้ำหรอกหรือ? ”

        เด็กน้อยผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ทั้งสองเริ่มโต้เถียงกันขึ้นมา

        ฉับพลันนั้น เยี่ยเซินก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขามองไปที่ฮั่วอวี้เจียวที่อยู่ข้างกาย

        ฮั่วอวี้เจียวก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติเช่นกัน นางมองรูปลักษณ์ที่น่าสับสนบนแผ่นหลังของเยี่ยเซิน… ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจในทันใด

        เหตุใด… เหตุใดถึง…

        แผ่นหลังของไท่จื่อ เหตุใดจึงปรากฏภาพตะพาบน้ำพิลึกกึกกือได้กัน?

        เยี่ยเซินได้คำตอบจากดวงตาที่แสดงความตกตะลึงของฮั่วอวี้เจียว เขาเร่งรีบคว้าเสื้อผ้าที่โยนลงบนพื้น ทว่าก็สายเกินไปเสียแล้ว

        คาดไม่ถึงว่าเสื้อผ้าที่แผ่หลาอยู่บนพื้นอย่างปลอดภัยกลับเริ่มลุกเป็นไฟอย่างกะทันหัน ในขณะเดียวกันเสื้อผ้าบนร่างของฮั่วอวี้เจียวก็ถูกไฟไหม้เช่นกัน

        “โอ้ย… ไฟไหม้แล้ว… ไฟไหม้แล้ว ไท่จื่อ ช่วยข้า… ช่วยข้าด้วยเพคะ… ”

        ฮั่วอวี้เจียวตะโกนร้องไห้เสียงดังสนั่น เรียกให้ช่วยซ้ำแล้วซ้ำเล่า

        เยี่ยเซินไม่สนใจสิ่งอื่นใด รีบดับไฟบนร่างของฮั่วอวี้เจียว

        ทว่าไฟนั้นราวกับโดนมนต์สะกดอย่างไรอย่างนั้น ยิ่งดับยิ่งใหญ่ขึ้น ยิ่งดับยิ่งลุกลามขึ้น

        ฝูงชนที่ล้อมชมต่างตกตะลึง

        เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นรวดเร็วเกินไปแล้ว เกิดอันใดขึ้นกันแน่?

        แผ่นหลังของไท่จื่อปรากฏลวดลายตะพาบน้ำที่พิลึกได้อย่างไร?

        อีกทั้งร่างของฮั่วอวี้เจียวยังติดไฟอย่างน่าพิศวงได้อย่างไร?

        นี่มันช่างน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!

        “คือไฟจากสวรรค์ ต้องเป็นไฟจากสวรรค์อย่างแน่นอน… นี่คือการลงทัณฑ์ของสวรรค์ต่อพวกเขา! ไท่จื่อไร้มนุษยธรรม ใช้เล่ห์เหลี่ยมปั่นหัวคน ฮั่วอวี้เจียวภายนอกสง่าผ่าเผยชาญฉลาด ทว่าความจริงกลับมีจิตใจดุร้ายโหดเหี้ยม เต็มไปด้วยความแค้นเคือง เมื่อครู่พวกเขานั่งรถม้าและคิดชนพระชายาโยวอ๋องให้ตาย พระชายาโยวอ๋อง นางเคยเป็นคู่หมั้นของไท่จื่อมาก่อน! ไม่แน่ว่าที่ไท่จื่อไม่ต้องการนางเป็นเพราะฮั่วอวี้เจียวยุยงให้บาดหมางกัน บัดนี้พระเจ้าเห็นถึงความจริงแล้ว ในที่สุดก็ได้เวลาเก็บกวาดพวกเขา! ”

        ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดในฝูงชนที่ตะโกนขึ้นมา

        ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีวัฒนธรรม ทว่าพวกเขากลับเชื่อเรื่องโชคลาง ผีสาง และเทพเจ้ายิ่งนัก

        เรื่องราวเมื่อครู่พวกเขาเห็นด้วยตาของตนเอง ทุกสิ่งไม่สามารถทำความเข้าใจได้ด้วยความคิดของคนธรรมดา ยิ่งไม่สามารถอธิบายได้

        ดังนั้นหากมีคนนำหลักการเรื่องผีสางและเทพเจ้ามาพูด พวกเขาทั้งหมดจึงเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น

        “ใช่ ต้องเป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน พวกเขาทำสิ่งเลวร้ายมากเกินไปแล้ว กระทั่งสวรรค์ยังทนดูไม่ได้เลย”

        “คนกระทำ สวรรค์กำลังดู! อย่าคิดว่าทำเรื่องอันใดแล้วผู้อื่นจะไม่รู้ ความยุติธรรมและเสรีภาพล้วนมีสวรรค์ลิขิต”

        “เผาก็ดี เผาก็ดี! พระเจ้าจะเก็บกวาด ไม่มีสิ่งใดให้ต้องเสียดาย! ”

        “ถุย! พวกท่านคู่สุนัขชายหญิง ช่างหน้าไม่อายเสียจริง”

        “ใช่! สุนัขชายหญิง ตีพวกเขาให้ตาย ตี… ช่วยกันตี! ”

        “ตีพวกเขาให้ตาย… ”

        “ตีพวกเขาให้ตาย… ”

        “ตี! ”

        ทุกคนต่างคว้าบุรุษที่อยู่ถัดจากพวกเขาและพากันพุ่งไปยังด้านหน้า รุมต่อยและเตะเยี่ยเซินกับฮั่วอวี้เจียว มีทั้งใช้ไม้เท้าและใช้กระบอง

        ชาวบ้านลืมไปนานแล้วว่าในบรรดาสองคนนั้น ผู้หนึ่งปัจจุบันเป็นไท่จื่อที่มีฐานะสูงส่ง และอีกผู้หนึ่งเป็นสตรี บุตรสาวคนโตของตระกูลขุนพลที่ปกป้องพิทักษ์ประเทศ

        เมื่อฝูงชนรุมทำร้ายพวกเขาทั้งสอง ก็สามารถดับไฟบนร่างของฮั่วอวี้เจียวได้

        ในขณะนี้ เสื้อผ้าของฮั่วอวี้เจียวแทบจะถูกไฟเผาไหม้ไปหมดแล้ว ไม่มีตะปิ้งที่สมบูรณ์แบบสักชิ้น ทุกสิ่งทั้งที่ไม่ควรเปิดเผยและสิ่งที่ควรเปิดเผยล้วนตกอยู่ในสายตาของผู้คนที่อยู่เบื้องหน้า

        ฮั่วอวี้เจียวเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง นางก้มหน้าขดตัวอยู่บนพื้น ยกแขนบังศีรษะด้วยความอับอาย เเทบอยากจะหาตะเข็บมุดเข้าไป

        หมัดและเท้าของทุกคนยังคงดำเนินต่อไป แม้เยี่ยเซินจะมีวรยุทธ ทว่าเขาไม่สามารถต้านทานการห้อมล้อมของคนจำนวนมากถึงเพียงนี้ได้ เขาถูกทุบตีอยู่เป็นเวลานาน จึงไม่ได้สนใจฮั่วอวี้เจียวแม้แต่น้อย

        ในโรงน้ำชาที่อยู่ห่างไกล ซูจิ่นซีได้รวบรวมผงเพชรบนโต๊ะทิ้งไป ทั้งยังเทน้ำในหม้อชาลงบนโต๊ะเพื่อทำลายหลักฐานอีกด้วย

        หลังจากนั้น ซูจิ่นซีก็ยืนอยู่ริมหน้าต่าง เฝ้ามองทุกสิ่งอย่างเย็นชา

        เยี่ยเซินและฮั่วอวี้เจียว เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้เพื่อตอบแทนเรื่องในครั้งก่อนที่พวกเจ้าทั้งสองทำให้ข้าต้องเจ็บปวด ข้าคืนทั้งหมดให้กับพวกเจ้า

        หลังจากวันนี้ซูจิ่นซีไม่มีความรักความเกลียดต่อพวกเจ้า อย่ามายุ่งกับข้าอีก!

        พระราชวังสูงตระหง่าน ภายในท้องพระโรงของพระราชวังหลวงที่ยิ่งใหญ่สง่างาม น่าเคารพนับถือ ฮ่องเต้ทรงกวาดอนุสรณ์สถานบนโต๊ะลงกับพื้น บันดาลโทสะจนแทบกระอักเลือด

        “ไร้สาระ น่าขันยิ่งนัก! ไท่จื่ออยู่ที่ใด? ”

        “กราบทูลฝ่าบาท หมอหลวงอวิ๋นจากสำนักหมอหลวงพาคนไปแล้วหลายคนพ่ะย่ะค่ะ คนจากสกุลจิงเจ้าก็ถูกส่งไปแล้วเช่นกัน ได้ยินว่าไท่จื่อทรงบาดเจ็บไม่น้อย บัดนี้คงอยู่ระหว่างทางกลับวังหลวงพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งเอ่ยตอบ

        “ฝูงชนวุ่นวาย ล้วนเป็นฝูงชนที่วุ่นวาย คิดก่อกบฎ! จับพวกมันมาให้ข้า ประหาร! ประหารพวกมันให้หมด! ”

        คาดไม่ถึงว่ากระทั่งไท่จื่อยังกล้าทุบตี ก่อกบฎเป็นแน่แท้

        “ฝ่าบาท ไม่ได้อย่างเด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ ผู้คนจำนวนมากยิ่งนัก แทบจะทุกคนบนถนนหลักฉางอันที่ลงมือ ผู้คนมากมายถึงเพียงนั้น… ”

        ผู้คนบนถนนหลักฉางอันมีสัดส่วนเกือบหนึ่งในสามของประชากรทั้งหมดในเมืองตี้จิง!

        หากผู้คนมากมายถึงเพียงนั้นถูกฆ่า จะแตกต่างจากการสังหารทั้งเมืองอย่างไร?

        อีกประการหนึ่ง ในฐานะจุนหวาง [1] ไม่สมควรฆ่าผู้คนมั่วซั่วได้! นั่นไม่เหมาะสม! ยิ่งไปกว่านั้นยังเพื่อไท่จื่อ

        ถึงเวลานั้นจะต้องเกิดการจลาจลมากขึ้นอย่างแน่นอน

        ฮ่องเต้ไม่ได้ทรงไร้ความสามารถไปเสียทีเดียว ยังคงรับฟังและทำความเข้าใจได้ พระอารมณ์ของฮ่องเต้จึงก็ค่อยๆ สงบลง

        “เวลานั้นยังมีผู้ใดอยู่ที่นั่นอีกหรือไม่? ”

        “คุณหนูฮั่วจากจวนแท่ทัพใหญ่ แล้วยังมี… ยังมีพระชายาโยวอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”

        “ซูจิ่นซี? ”

        ฮ่องเต้ขมวดพระขนงแน่น

        “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ได้ยินมาว่าตอนนั้นไท่จื่อเพิ่งอ่านพระราชโองการอภิเษกสมรสของพระองค์ที่จวนท่านแม่ทัพฮั่วเสร็จสิ้น และเตรียมพาคุณหนูฮั่วไปซื้อเครื่องประดับเล็กน้อย เมื่อถึงทางถนนหลักฉางอัน รถม้าเกิดประสานเข้ากับรถม้าของพระชายาโยวอ๋องพ่ะย่ะค่ะ พระชายาโยวอ๋องริษยาการอภิเษกสมรสของไท่จื่อและคุณหนูฮั่ว จึงไม่ฟังข้อแก้ตัว ต้องการให้คุณหนูฮั่วทำตามที่แพ้เดิมพันเมื่อเดือนที่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

        ฮ่องเต้ทรงเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับการเดิมพันระหว่างฮั่วอวี้เจียวและซูจิ่นซีอยู่บ้าง หลังจากที่ฮั่วอวี้เจียวแพ้การเดิมพัน ทว่าซูจิ่นซียังคงไม่มีการเคลื่อนไหวอันใด ทั้งยังไม่ติดตามอันใดเช่นกัน พระองค์จึงลืมเรื่องนี้ไปหมดสิ้นแล้ว

        คาดไม่ถึงว่าวันนี้ซูจิ่นซีจะยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีกครั้ง

        “ผลสรุปเป็นอย่างไร? ” ฮ่องเต้ตรัสถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

        “เรื่องนั้น แน่นอนว่าคุณหนูฮั่วไม่ยอมพ่ะย่ะค่ะ ดังนั้นไท่จื่อจึงรับปากทำแทนคุณหนูฮั่ว พระชายากล่าวว่าไท่จื่อไม่ต้องไปที่ทางเข้าโรงน้ำชาจุ้ยหง เพียงอยู่บนถนนหลักฉางอันสามชั่วยามก็เพียงพอแล้ว ทว่า… ไม่มีผู้ใดคาดคิด คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น แผ่นหลังของไท่จื่อ คาดไม่ถึงว่า… คาดไม่ถึงว่าจะปรากฏเป็นตะพาบน้ำรูปร่างพิลึกขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นเสื้อผ้าของคุณหนูฮั่วยังถูกไฟเผาไหม้ขึ้นมาเอง บัดนี้พสกนิกรทั่วทั้งเมืองตี้จิงต่างพูดกันว่า… ”

        “อัปยศยิ่งนัก… เพียงจงใจก่อเรื่องวุ่นวาย! ”

        ฮ่องเต้ใช้กำปั้นทุบลงบนโต๊ะที่ว่าราชการ ทันใดนั้นโต๊ะก็แยกออกเป็นสองท่อนในทันที

        เศษไม้กระจัดกระจาย…

……

เชิงอรรถ

[1] จุนหวาง หมายถึง กษัตริย์

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset