“พี่หญิงใหญ่ ท่านยังอยู่ที่จวนรอสมรสหรือ? คราแรกไท่จื่อไม่ได้ตรัสไว้หรอกหรือว่าไม่ช้าก็เร็วจะพาท่านเข้าตงกง? โอ้ ข้าเกือบลืมไปแล้ว… ” ซูจิ่นซีดูเหมือนจะตระหนักได้ในทันใดว่าตนคล้ายจะพูดบางอย่างผิดไป “ตอนนี้ดูเหมือนว่าไท่จื่อจะหมั้นกับฮั่วอวี้เจียว คุณหนูใหญ่จวนแม่ทัพฮั่ว! ตอนนี้ฮั่วอวี้เจียวเป็นคู่หมั้นของไท่จื่อ ในไม่ช้านางก็จะกลายเป็นพระชายาไท่จื่อที่ถูกทำนองคลองธรรมแล้ว”
วันนี้ซูจิ่นซีกลับมายังเหนียงเจีย [1] ด้วยฐานะของพระชายาโยวอ๋อง ในตอนเช้า ประตูของจวนสกุลซูจึงเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย แม้คำพูดของซูจิ่นซีจะไม่ได้ดังมากนัก ทว่าก็เพียงพอให้ทุกคนในที่นั้นได้ยินอย่างทั่วถึง
“กระไรนะ? ซูเซียนฮุ่ยก็ชอบไท่จื่อเช่นเดียวกันหรือ? ”
“เป็นไปไม่ได้กระมัง? คราแรก กระทั่งพระชายาโยวอ๋องยังไม่เข้าตาไท่จื่อ เหตุใดจึงสามารถรับซูเซียนฮุ่ยได้เล่า? ”
“สถานการณ์ในตอนนั้นไม่ใช่ว่าผิดปรกติหรอกหรือ! รอยแผลบนใบหน้าของพระชายาโยวอ๋องยังไม่ได้รับการรักษา ไท่จื่อมองพลาดก็เป็นเรื่องธรรมดา”
“เช่นนั้น คำพูดของพระชายาโยวอ๋องเป็นความจริงหรือ? ไท่จื่อตรัสว่าจะพาซูเซียนฮุ่ยเข้าตงกงเมื่อใดเล่า? คงไม่ใช่ตอนที่พระชายาโยวอ๋องยังไม่ได้สมรสเข้าจวนโยวอ๋องหรอกนะ?”
“ข้าว่านะ ในเวลานั้นมีความเป็นไปได้สูงยิ่ง หลังจากพระชายาโยวอ๋องสมรสออกไปก็ไม่ได้กลับมายังจวนสกุลซูอีกเลย หากเป็นหลังจากตอนนั้น นางคงไม่ทราบ! ”
“สวรรค์! เวลานั้นพระชายาโยวอ๋องกับไท่จื่อยังหมั้นกันอยู่เลย! ไท่จื่อตรัสเช่นนี้กับซูเซียนฮุ่ยได้อย่างไร? เป็นซูเซียนฮุ่ยที่จงใจเกลี้ยกล่อมล่อหลวงไท่จื่อหรือไม่? ”
“ไท่จื่อเป็นคนอย่างไร พวกเจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ? เป็นไปได้ว่าไท่จื่อและซูเซียนฮุ่ยมีสัมพันธ์ลับกันตั้งนานแล้ว! ไม่แน่ว่าพิธีอภิเษกสมรสในคราแรกของไท่จื่อและพระชายาโยวอ๋องคงมีซูเซียนฮุ่ยแทรกกลาง! ”
“พี่สาวแท้ๆ คิดแย่งชายของน้องสาวตนเอง? ดูเหมือนซูเซียนฮุ่ยก็ไม่ใช่คนดีนัก! ”
“ใช่! ไม่ใช่คนดี! ”
“พระชายาเพคะ ท่านจะต้องจับตาดูโยวอ๋องนะเพคะ! อย่าให้ซูเซียนฮุ่ยแทรกกลางได้นะเพคะ! ”
“ใช่ ดูโยวอ๋องให้ดี อย่าให้ซูเซียนฮุ่ยแทรกกลางได้เด็ดขาด! ”
“พูดอันใดกัน! โยวอ๋องไม่ใช่บุรุษเช่นนั้น! ”
ประชาชนเริ่มมองไปทางซูจิ่นซีอีกครั้ง
ศีรษะของซูเซียนฮุ่ยก้มต่ำ มือทั้งสองที่ห้อยลงมาข้างลำตัวกำหมัดแน่น นางมองเช่นนั้น อยากหารอยตะเข็บบนพื้นดินแล้วแทรกลงไปเสีย
ทว่าซูจิ่นซีกลับทำเหมือนมองไม่เห็นความลำบากใจของซูเซียนฮุ่ย นางทำหน้านิ่วคิ้วขมวดกล่าวว่า “พี่หญิงใหญ่ เหตุใดท่านไม่สนใจข้าเลยเล่า? หรือคำพูดของทุกคนล้วนเป็นความจริง นี่ท่านกำลังหวาดกลัวหรือ? ”
“ซูจิ่นซี เจ้า… ”
ซูเซียนฮุ่ยเงยหน้าขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ดวงตาแดงก่ำ นางยังพูดประโยคหลังไม่จบ ทันใดนั้นฮั่วซื่อก็ก้าวเข้ามากดมือของซูเซียนฮุ่ยเอาไว้
“จิ่นซี! อย่ามัวแต่ยืนอยู่หน้าประตูเลย! รีบเข้าไปในจวนเถิด! แม่เตรียมของที่เจ้าชอบที่สุดไว้ให้ด้วยตนเองเลยนะ”
อีกนิดเดียว ซูจิ่นซีเกือบจะกวนประสาทซูเซียนฮุ่ยได้แล้ว อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น
ทว่าก็ไม่เป็นไร
วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล นางยังมีเวลาอีกนานนัก!
เจ้าคนข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรงเอ๋ย เจ้าหนีไม่พ้นแล้ว อีกไม่นานข้าจะกระชากหน้ากากของเจ้า ให้ใบหน้าที่แท้จริงปรากฏต่อสายตามวลชน
ซูจิ่นซีไม่ได้ใส่ใจมากนัก นางก้าวเท้าถี่ไปยังประตูจวนสกุลซู
ระหว่างทาง เมื่อเหล่าข้ารับใช้ของจวนสกุลซูมองซูจิ่นซี ทุกคนล้วนตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
แม้ในวันนี้ซูจิ่นซีจะไม่ได้สวมใส่ชุดเครื่องแบบพระชายา ทว่านางก็สวมเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าคุณภาพสูง
ส่วนด้านหน้าตัดด้วยสีกลีบบัวที่ทำอย่างประณีตละเอียดลออด้วยอวี้หลันฮวา [2] ดอกน้อย เสื้อผ้าเหล่านี้ ซูจิ่นซีเลือกมาจากของที่เยี่ยโยวเหยาส่งมาให้เมื่อวันก่อน มีเพียงชิ้นเดียวในเมืองตี้จิง ไม่ซ้ำกับผู้ใด
สีของเสื้อผ้าและซับในของซูจิ่นซี ปักได้อย่างมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก
นัยน์ตาสีเข้มวาววับ เมื่อกะพริบก็ราวกับปีกใหญ่ทั้งสองกำลังกระพืออย่างไรอย่างนั้น คิ้วเข้มเรียวยาว สันจมูกสวย ริมฝีปากเรียวเล็ก ผมสีดำเข้มเปล่งประกายเงางาม ทั่วทั้งร่างราวกับจิ่วเทียนเสวียนหนี่ว์ [3] ลงมาจากฟากฟ้า
ที่น่าตกตะลึงไปกว่านั้นคือ เดิมทีบนใบหน้าของซูจิ่นซีมีรอยพิษที่รุนแรงและน่าสะพรึงกลัวอยู่ ทว่าตอนนี้กลับอ่อนโยนราวกับหยก ผิวเนียนนุ่ม
เพริศแพร้วแจ่มจรัสไปทั้งร่าง ราวกับบริสุทธิ์ผุดผ่องมาตั้งแต่กำเนิด
นี่ยังเป็นคุญหนูเจ็ดผู้มีรูปลักษณ์น่าเกลียดที่ถูกผู้อื่นรังแกอยู่หรือไม่?
ซูจิ่นซีมองไปยังสายตาของทุกคน มุมปากยกยิ้มอย่างเย็นชา ที่ห้องโถงด้านหน้า ซูจิ่นซีนั่งอย่างมั่นคงบนเก้าอี้ตำแหน่งแขกผู้ทรงเกียรติ
ในอดีต จวนสกุลซูทั้งหมด มีเพียงซูจ้งเท่านั้นที่สามารถนั่งในตำแหน่งนี้ได้!
คราแรกซูจิ่นซีไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้ามาในประตูนี้ด้วยซ้ำ ทว่าตอนนี้คนที่นั่งอยู่ที่นี่คือนาง ซูจ้งที่เคยรุ่งโรจน์และเป็นที่นับถือในอดีตอยู่ในคุกหลวงแล้ว เขาจะออกมาได้หรือไม่ยังไม่อาจทราบได้
เหล่าอนุมองไปยังซูจิ่นซีซึ่งบัดนี้มีฐานะยิ่งใหญ่กลับมายังจวน พวกนางต้องการพูดอันใดบางอย่าง ทว่าเมื่อเห็นซูจิ่นซีที่เย่อหยิ่งและเย็นชาอยู่ตลอดเวลานั้น ก็นึกได้ถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้ที่ประตูจวน แม้แต่ฮั่วซื่อและซูเซียนฮุ่ยยังเสียเปรียบภายใต้น้ำมือของซูจิ่นซี ยิ่งทำให้พวกนางเพิ่มความระมัดระวังและไม่กล้าพูดจาให้มากความ
บ่าวรับใช้ยกน้ำชาเข้ามา ในที่สุดฮั่วซื่อก็ทำลายความเงียบลง นางพูดว่า “จิ่นซี! อุ่นร่างกายด้วยชาร้อนสักถ้วยเถิด! ระหว่างทางมาค่อนข้างเย็น! ”
‘ติ๊ดติ๊ดติ๊ด’
ระบบถอนพิษดังขึ้นอีกครั้ง มือของซูจิ่นซีที่กำลังจะยกน้ำชาขึ้นดื่มหยุดชะงัก นางเหลือบตามองหน้าผู้คนทีละคน
ใจกล้าดีนี่! ข้าพึ่งจะเข้าประตูมา ก้นยังไม่ทันร้อน บางคนก็มีเจตนาจะกระทำอย่างไม่หยุดยั้งเสียแล้ว
อย่างไรก็ตาม นางไม่คิดว่าเป็นฮั่วอวี้เจียวที่ทำสิ่งนี้
ฮั่วอวี้เจียวเป็นคนหน้าซื่อใจคดคนหนึ่ง ทว่าก็เป็นคนฉลาดเช่นกัน ซูจิ่นซีเข้ามาในจวนต่อหน้าผู้คนด้านนอกมากมายถึงเพียงนั้น หากนางถูกวางยาพิษจนตายที่นี่คงไม่เป็นประโยชน์อันใดกับฮั่วอวี้เจียว
เช่นนั้น… เป็นผู้ใดกัน?
“พระชายาโยวอ๋อง เหตุใดท่านไม่ดื่มชาเล่า? มองพวกเราด้วยเหตุใด? หรือกลัวว่าจะถูกวางยา? ” อนุหลิ่วโพล่งถามขึ้น
“จิ่นซี น้ำชาไม่ถูกปากหรือ? เจ้าดูแม่สิ กระทั่งน้ำชายังไม่รู้ว่าเจ้าดื่มกระไร ชอบดื่มกระไร แม่คงต้องให้คนไปชงให้เจ้าใหม่! ” ฮั่วซื่อเอ่ยขึ้น
อย่างไรซูเซียนฮุ่ยก็ยังเด็กอยู่ เมื่อเห็นดวงตาของซูจิ่นซีมองใบหน้าของนางอยู่ตลอด ในที่สุดก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป นางลุกขึ้นยืนและพูดอย่างกะทันหันว่า “ซูจิ่นซี เกิดอันใดขึ้นกับเจ้ากันแน่ แม้ชาจะมีพิษ ทว่าเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะเป็นคนวางยา ข้ายังรู้ฐานะสูงต่ำ เจ้าสงสัยข้าใช่หรือไม่? ”
“พี่หญิงใหญ่กับอนุหลิ่วไม่พูด ข้าก็เกือบจะลืมไปแล้ว คงต้องระวังเอาไว้เสียหน่อย ไม่แน่ว่าชานี้อาจมีพิษเข้าจริงๆ ! ”
ใบหน้าของอนุหลิ่วซีดเผือดไปชั่วขณะ นางหุบปากฉับทันที ไม่พูดจาอีกเลย
“ซูจิ่นซี เจ้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่? ” ซูเซียนฮุ่ยกล่าวขึ้น
“ไม่ได้หมายความว่ากระไร เช่นนั้นพี่หญิงใหญ่จะลองดื่มให้ข้าก่อนหรือไม่? ”
ซูจิ่นซียิ้มเย็นชา นางยกถ้วยชาส่งให้เบื้องหน้าซูเซียนฮุ่ย
“ซูจิ่นซี… ”
ซูเซียนฮุ่ยแทบจะกัดฟันกรอด
“อย่างไรเล่า? พี่หญิงใหญ่ไม่ยินยอมหรือ? หรือว่าในถ้วยชานี้จะมีอุบายอันใดจริงๆ ”
“จิ่นซี ดูเจ้าพูดสิ ได้ได้ ชานี้จะมีปัญหาได้อย่างไร? หากเจ้าไม่ชอบดื่ม แม่จะชงให้เจ้าใหม่” ฮั่วซื่อกู้หน้าแทนบุตรสาวของตนเอง
ขณะที่พูด ฮั่วซื่อก็ยื่นมือออกไปรับถ้วยชาจากมือซูจิ่นซี ทว่าซูจิ่นซีกลับถือไว้แน่น ฮั่วซื่อจึงไม่สามารถหยิบไปได้
ฮั่วซื่อลอบขยิบตาให้ซูเซียนฮุ่ย ส่งสัญญาณให้ซูเซียนฮุ่ยควบคุมอารมณ์ของตนเอง
ซูเซียนฮุ่ยลำบากใจจนแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว นางกัดฟันกรอด หยิบถ้วยชาจากมือของซูจิ่นซี “ได้ ซูจิ่นซี ข้าจะดื่มชาแทนเจ้า ทว่าหากชานี้ไม่มีพิษเล่า จะทำอย่างไร?”
“ข้าจะตัดศีรษะแล้วมอบให้เจ้า! ”
ซูจิ่นซีกล่าวอย่างไม่คิดแม้แต่น้อย
ทุกคนตกใจไปชั่วขณะ มือของซูเซียนฮุ่ยที่ถือถ้วยน้ำชาสั่นเทาเล็กน้อย
“ได้ หากในชานี้มีพิษจริง ข้า…ซูเซียนฮุ่ยก็จะตัดศีรษะมอบให้เจ้าเช่นกัน! ”
ฮั่วซื่อเป็นคนฉลาดเพียงใด ซูจิ่นซีล้วนพูดทุกอย่างเพื่อจุดประสงค์นี้ เป็นไปไม่ได้ที่ซูจิ่นซีจะไม่เห็นว่าผู้ใดสัมผัสถ้วยชาใบนั้น และซูจิ่นซีก็พบแล้ว
“จิ่นซี เหตุใดต้องก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ด้วย? ”
“เช่นนั้นในความหมายของท่านแม่ ข้าควรทำอย่างไรดี? ” ซูจิ่นซีจ้องไปที่ฮั่วซื่ออย่างเย็นชา
“ได้ ในเมื่อจิ่นซี เจ้าไม่วางใจ แม่จะดื่มชานี้แทนเจ้าเอง” ฮั่วซื่อพูด พลางหยิบชาจากในมือของซูเซียนฮุ่ย
เมื่อฮั่วซื่อกำลังจะดื่ม นางได้ยกแขนเสื้อขึ้น ทว่ากลับถูกซูจิ่นซีปัดถ้วยชาตกลงบนพื้น
ปฏิกิริยาของทุกคนมองไปยังน้ำชาหลังจากถูกสาดลงบนพื้น ทันใดนั้นพวกเขาก็ลุกขึ้นยืนด้วยความประหลาดใจ
……
เชิงอรรถ
[1] เหนียงเจีย หมายถึง บ้านภรรยา หรือบ้านพ่อแม่ของฝ่ายหญิงที่แต่งงานแล้ว
[2] อวี้หลันฮวา คือ ดอกแมกโนเลีย
[3] จิ่วเทียนเสวียนหนี่ว์ คือ เทวนารีตามความเชื่อปรัมปราของจีนและเป็นที่นิยมบูชาในลัทธิเต๋า