สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 130

        “พี่หญิงใหญ่ ท่านยังอยู่ที่จวนรอสมรสหรือ? คราแรกไท่จื่อไม่ได้ตรัสไว้หรอกหรือว่าไม่ช้าก็เร็วจะพาท่านเข้าตงกง? โอ้ ข้าเกือบลืมไปแล้ว… ” ซูจิ่นซีดูเหมือนจะตระหนักได้ในทันใดว่าตนคล้ายจะพูดบางอย่างผิดไป “ตอนนี้ดูเหมือนว่าไท่จื่อจะหมั้นกับฮั่วอวี้เจียว คุณหนูใหญ่จวนแม่ทัพฮั่ว! ตอนนี้ฮั่วอวี้เจียวเป็นคู่หมั้นของไท่จื่อ ในไม่ช้านางก็จะกลายเป็นพระชายาไท่จื่อที่ถูกทำนองคลองธรรมแล้ว”

        วันนี้ซูจิ่นซีกลับมายังเหนียงเจีย [1] ด้วยฐานะของพระชายาโยวอ๋อง ในตอนเช้า ประตูของจวนสกุลซูจึงเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย แม้คำพูดของซูจิ่นซีจะไม่ได้ดังมากนัก ทว่าก็เพียงพอให้ทุกคนในที่นั้นได้ยินอย่างทั่วถึง

        “กระไรนะ? ซูเซียนฮุ่ยก็ชอบไท่จื่อเช่นเดียวกันหรือ? ”

        “เป็นไปไม่ได้กระมัง? คราแรก กระทั่งพระชายาโยวอ๋องยังไม่เข้าตาไท่จื่อ เหตุใดจึงสามารถรับซูเซียนฮุ่ยได้เล่า? ”

        “สถานการณ์ในตอนนั้นไม่ใช่ว่าผิดปรกติหรอกหรือ! รอยแผลบนใบหน้าของพระชายาโยวอ๋องยังไม่ได้รับการรักษา ไท่จื่อมองพลาดก็เป็นเรื่องธรรมดา”

        “เช่นนั้น คำพูดของพระชายาโยวอ๋องเป็นความจริงหรือ? ไท่จื่อตรัสว่าจะพาซูเซียนฮุ่ยเข้าตงกงเมื่อใดเล่า? คงไม่ใช่ตอนที่พระชายาโยวอ๋องยังไม่ได้สมรสเข้าจวนโยวอ๋องหรอกนะ?”

        “ข้าว่านะ ในเวลานั้นมีความเป็นไปได้สูงยิ่ง หลังจากพระชายาโยวอ๋องสมรสออกไปก็ไม่ได้กลับมายังจวนสกุลซูอีกเลย หากเป็นหลังจากตอนนั้น นางคงไม่ทราบ! ”

        “สวรรค์! เวลานั้นพระชายาโยวอ๋องกับไท่จื่อยังหมั้นกันอยู่เลย! ไท่จื่อตรัสเช่นนี้กับซูเซียนฮุ่ยได้อย่างไร? เป็นซูเซียนฮุ่ยที่จงใจเกลี้ยกล่อมล่อหลวงไท่จื่อหรือไม่? ”

        “ไท่จื่อเป็นคนอย่างไร พวกเจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ? เป็นไปได้ว่าไท่จื่อและซูเซียนฮุ่ยมีสัมพันธ์ลับกันตั้งนานแล้ว! ไม่แน่ว่าพิธีอภิเษกสมรสในคราแรกของไท่จื่อและพระชายาโยวอ๋องคงมีซูเซียนฮุ่ยแทรกกลาง! ”

        “พี่สาวแท้ๆ คิดแย่งชายของน้องสาวตนเอง? ดูเหมือนซูเซียนฮุ่ยก็ไม่ใช่คนดีนัก! ”

        “ใช่! ไม่ใช่คนดี! ”

        “พระชายาเพคะ ท่านจะต้องจับตาดูโยวอ๋องนะเพคะ! อย่าให้ซูเซียนฮุ่ยแทรกกลางได้นะเพคะ! ”

        “ใช่ ดูโยวอ๋องให้ดี อย่าให้ซูเซียนฮุ่ยแทรกกลางได้เด็ดขาด! ”

        “พูดอันใดกัน! โยวอ๋องไม่ใช่บุรุษเช่นนั้น! ”

        ประชาชนเริ่มมองไปทางซูจิ่นซีอีกครั้ง

        ศีรษะของซูเซียนฮุ่ยก้มต่ำ มือทั้งสองที่ห้อยลงมาข้างลำตัวกำหมัดแน่น นางมองเช่นนั้น อยากหารอยตะเข็บบนพื้นดินแล้วแทรกลงไปเสีย

        ทว่าซูจิ่นซีกลับทำเหมือนมองไม่เห็นความลำบากใจของซูเซียนฮุ่ย นางทำหน้านิ่วคิ้วขมวดกล่าวว่า “พี่หญิงใหญ่ เหตุใดท่านไม่สนใจข้าเลยเล่า? หรือคำพูดของทุกคนล้วนเป็นความจริง นี่ท่านกำลังหวาดกลัวหรือ? ”

        “ซูจิ่นซี เจ้า… ”

        ซูเซียนฮุ่ยเงยหน้าขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ดวงตาแดงก่ำ นางยังพูดประโยคหลังไม่จบ ทันใดนั้นฮั่วซื่อก็ก้าวเข้ามากดมือของซูเซียนฮุ่ยเอาไว้

        “จิ่นซี! อย่ามัวแต่ยืนอยู่หน้าประตูเลย! รีบเข้าไปในจวนเถิด! แม่เตรียมของที่เจ้าชอบที่สุดไว้ให้ด้วยตนเองเลยนะ”

        อีกนิดเดียว ซูจิ่นซีเกือบจะกวนประสาทซูเซียนฮุ่ยได้แล้ว อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น

        ทว่าก็ไม่เป็นไร

        วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล นางยังมีเวลาอีกนานนัก!

        เจ้าคนข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรงเอ๋ย เจ้าหนีไม่พ้นแล้ว อีกไม่นานข้าจะกระชากหน้ากากของเจ้า ให้ใบหน้าที่แท้จริงปรากฏต่อสายตามวลชน

        ซูจิ่นซีไม่ได้ใส่ใจมากนัก นางก้าวเท้าถี่ไปยังประตูจวนสกุลซู

        ระหว่างทาง เมื่อเหล่าข้ารับใช้ของจวนสกุลซูมองซูจิ่นซี ทุกคนล้วนตกตะลึงจนอ้าปากค้าง

        แม้ในวันนี้ซูจิ่นซีจะไม่ได้สวมใส่ชุดเครื่องแบบพระชายา ทว่านางก็สวมเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าคุณภาพสูง

        ส่วนด้านหน้าตัดด้วยสีกลีบบัวที่ทำอย่างประณีตละเอียดลออด้วยอวี้หลันฮวา [2] ดอกน้อย เสื้อผ้าเหล่านี้ ซูจิ่นซีเลือกมาจากของที่เยี่ยโยวเหยาส่งมาให้เมื่อวันก่อน มีเพียงชิ้นเดียวในเมืองตี้จิง ไม่ซ้ำกับผู้ใด

        สีของเสื้อผ้าและซับในของซูจิ่นซี ปักได้อย่างมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก

        นัยน์ตาสีเข้มวาววับ เมื่อกะพริบก็ราวกับปีกใหญ่ทั้งสองกำลังกระพืออย่างไรอย่างนั้น คิ้วเข้มเรียวยาว สันจมูกสวย ริมฝีปากเรียวเล็ก ผมสีดำเข้มเปล่งประกายเงางาม ทั่วทั้งร่างราวกับจิ่วเทียนเสวียนหนี่ว์ [3] ลงมาจากฟากฟ้า

        ที่น่าตกตะลึงไปกว่านั้นคือ เดิมทีบนใบหน้าของซูจิ่นซีมีรอยพิษที่รุนแรงและน่าสะพรึงกลัวอยู่ ทว่าตอนนี้กลับอ่อนโยนราวกับหยก ผิวเนียนนุ่ม

        เพริศแพร้วแจ่มจรัสไปทั้งร่าง ราวกับบริสุทธิ์ผุดผ่องมาตั้งแต่กำเนิด

        นี่ยังเป็นคุญหนูเจ็ดผู้มีรูปลักษณ์น่าเกลียดที่ถูกผู้อื่นรังแกอยู่หรือไม่?

        ซูจิ่นซีมองไปยังสายตาของทุกคน มุมปากยกยิ้มอย่างเย็นชา ที่ห้องโถงด้านหน้า ซูจิ่นซีนั่งอย่างมั่นคงบนเก้าอี้ตำแหน่งแขกผู้ทรงเกียรติ

        ในอดีต จวนสกุลซูทั้งหมด มีเพียงซูจ้งเท่านั้นที่สามารถนั่งในตำแหน่งนี้ได้!

        คราแรกซูจิ่นซีไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้ามาในประตูนี้ด้วยซ้ำ ทว่าตอนนี้คนที่นั่งอยู่ที่นี่คือนาง ซูจ้งที่เคยรุ่งโรจน์และเป็นที่นับถือในอดีตอยู่ในคุกหลวงแล้ว เขาจะออกมาได้หรือไม่ยังไม่อาจทราบได้

        เหล่าอนุมองไปยังซูจิ่นซีซึ่งบัดนี้มีฐานะยิ่งใหญ่กลับมายังจวน พวกนางต้องการพูดอันใดบางอย่าง ทว่าเมื่อเห็นซูจิ่นซีที่เย่อหยิ่งและเย็นชาอยู่ตลอดเวลานั้น ก็นึกได้ถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้ที่ประตูจวน แม้แต่ฮั่วซื่อและซูเซียนฮุ่ยยังเสียเปรียบภายใต้น้ำมือของซูจิ่นซี ยิ่งทำให้พวกนางเพิ่มความระมัดระวังและไม่กล้าพูดจาให้มากความ

        บ่าวรับใช้ยกน้ำชาเข้ามา ในที่สุดฮั่วซื่อก็ทำลายความเงียบลง นางพูดว่า “จิ่นซี! อุ่นร่างกายด้วยชาร้อนสักถ้วยเถิด! ระหว่างทางมาค่อนข้างเย็น! ”

        ‘ติ๊ดติ๊ดติ๊ด’

        ระบบถอนพิษดังขึ้นอีกครั้ง มือของซูจิ่นซีที่กำลังจะยกน้ำชาขึ้นดื่มหยุดชะงัก นางเหลือบตามองหน้าผู้คนทีละคน

        ใจกล้าดีนี่! ข้าพึ่งจะเข้าประตูมา ก้นยังไม่ทันร้อน บางคนก็มีเจตนาจะกระทำอย่างไม่หยุดยั้งเสียแล้ว

        อย่างไรก็ตาม นางไม่คิดว่าเป็นฮั่วอวี้เจียวที่ทำสิ่งนี้

        ฮั่วอวี้เจียวเป็นคนหน้าซื่อใจคดคนหนึ่ง ทว่าก็เป็นคนฉลาดเช่นกัน ซูจิ่นซีเข้ามาในจวนต่อหน้าผู้คนด้านนอกมากมายถึงเพียงนั้น หากนางถูกวางยาพิษจนตายที่นี่คงไม่เป็นประโยชน์อันใดกับฮั่วอวี้เจียว

        เช่นนั้น… เป็นผู้ใดกัน?

        “พระชายาโยวอ๋อง เหตุใดท่านไม่ดื่มชาเล่า? มองพวกเราด้วยเหตุใด? หรือกลัวว่าจะถูกวางยา? ” อนุหลิ่วโพล่งถามขึ้น

        “จิ่นซี น้ำชาไม่ถูกปากหรือ? เจ้าดูแม่สิ กระทั่งน้ำชายังไม่รู้ว่าเจ้าดื่มกระไร ชอบดื่มกระไร แม่คงต้องให้คนไปชงให้เจ้าใหม่! ” ฮั่วซื่อเอ่ยขึ้น

        อย่างไรซูเซียนฮุ่ยก็ยังเด็กอยู่ เมื่อเห็นดวงตาของซูจิ่นซีมองใบหน้าของนางอยู่ตลอด ในที่สุดก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป นางลุกขึ้นยืนและพูดอย่างกะทันหันว่า “ซูจิ่นซี เกิดอันใดขึ้นกับเจ้ากันแน่ แม้ชาจะมีพิษ ทว่าเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะเป็นคนวางยา ข้ายังรู้ฐานะสูงต่ำ เจ้าสงสัยข้าใช่หรือไม่? ”

        “พี่หญิงใหญ่กับอนุหลิ่วไม่พูด ข้าก็เกือบจะลืมไปแล้ว คงต้องระวังเอาไว้เสียหน่อย ไม่แน่ว่าชานี้อาจมีพิษเข้าจริงๆ ! ”

        ใบหน้าของอนุหลิ่วซีดเผือดไปชั่วขณะ นางหุบปากฉับทันที ไม่พูดจาอีกเลย

        “ซูจิ่นซี เจ้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่? ” ซูเซียนฮุ่ยกล่าวขึ้น

        “ไม่ได้หมายความว่ากระไร เช่นนั้นพี่หญิงใหญ่จะลองดื่มให้ข้าก่อนหรือไม่? ”

        ซูจิ่นซียิ้มเย็นชา นางยกถ้วยชาส่งให้เบื้องหน้าซูเซียนฮุ่ย

        “ซูจิ่นซี… ”

        ซูเซียนฮุ่ยแทบจะกัดฟันกรอด

        “อย่างไรเล่า? พี่หญิงใหญ่ไม่ยินยอมหรือ? หรือว่าในถ้วยชานี้จะมีอุบายอันใดจริงๆ ”

        “จิ่นซี ดูเจ้าพูดสิ ได้ได้ ชานี้จะมีปัญหาได้อย่างไร? หากเจ้าไม่ชอบดื่ม แม่จะชงให้เจ้าใหม่” ฮั่วซื่อกู้หน้าแทนบุตรสาวของตนเอง

        ขณะที่พูด ฮั่วซื่อก็ยื่นมือออกไปรับถ้วยชาจากมือซูจิ่นซี ทว่าซูจิ่นซีกลับถือไว้แน่น ฮั่วซื่อจึงไม่สามารถหยิบไปได้

        ฮั่วซื่อลอบขยิบตาให้ซูเซียนฮุ่ย ส่งสัญญาณให้ซูเซียนฮุ่ยควบคุมอารมณ์ของตนเอง

        ซูเซียนฮุ่ยลำบากใจจนแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว นางกัดฟันกรอด หยิบถ้วยชาจากมือของซูจิ่นซี “ได้ ซูจิ่นซี ข้าจะดื่มชาแทนเจ้า ทว่าหากชานี้ไม่มีพิษเล่า จะทำอย่างไร?”

        “ข้าจะตัดศีรษะแล้วมอบให้เจ้า! ”

        ซูจิ่นซีกล่าวอย่างไม่คิดแม้แต่น้อย

        ทุกคนตกใจไปชั่วขณะ มือของซูเซียนฮุ่ยที่ถือถ้วยน้ำชาสั่นเทาเล็กน้อย

        “ได้ หากในชานี้มีพิษจริง ข้า…ซูเซียนฮุ่ยก็จะตัดศีรษะมอบให้เจ้าเช่นกัน! ”

        ฮั่วซื่อเป็นคนฉลาดเพียงใด ซูจิ่นซีล้วนพูดทุกอย่างเพื่อจุดประสงค์นี้ เป็นไปไม่ได้ที่ซูจิ่นซีจะไม่เห็นว่าผู้ใดสัมผัสถ้วยชาใบนั้น และซูจิ่นซีก็พบแล้ว

        “จิ่นซี เหตุใดต้องก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ด้วย? ”

        “เช่นนั้นในความหมายของท่านแม่ ข้าควรทำอย่างไรดี? ” ซูจิ่นซีจ้องไปที่ฮั่วซื่ออย่างเย็นชา

        “ได้ ในเมื่อจิ่นซี เจ้าไม่วางใจ แม่จะดื่มชานี้แทนเจ้าเอง” ฮั่วซื่อพูด พลางหยิบชาจากในมือของซูเซียนฮุ่ย

        เมื่อฮั่วซื่อกำลังจะดื่ม นางได้ยกแขนเสื้อขึ้น ทว่ากลับถูกซูจิ่นซีปัดถ้วยชาตกลงบนพื้น

        ปฏิกิริยาของทุกคนมองไปยังน้ำชาหลังจากถูกสาดลงบนพื้น ทันใดนั้นพวกเขาก็ลุกขึ้นยืนด้วยความประหลาดใจ

……

เชิงอรรถ

[1] เหนียงเจีย หมายถึง บ้านภรรยา หรือบ้านพ่อแม่ของฝ่ายหญิงที่แต่งงานแล้ว

[2] อวี้หลันฮวา คือ ดอกแมกโนเลีย

[3] จิ่วเทียนเสวียนหนี่ว์ คือ เทวนารีตามความเชื่อปรัมปราของจีนและเป็นที่นิยมบูชาในลัทธิเต๋า

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset