ซูจวิ้นถูกตอกกลับหน้าหงายจนชะงักไปชั่วครู่ พูดอันใดไม่ออก หลังจากนั้นก็จ้องซูจิ่นซีเขม็งและกล่าวว่า “ผู้ใดจะรู้ว่าแผ่นป้ายสัญลักษณ์ประจำสกุลในมือของเจ้ามาจากที่ใด ไม่แน่ว่าเจ้าอาจทรมานท่านพ่อในคุกหลวงแล้วขู่บังคับเอามาจากมือของท่านพ่อ ”
“ใช่ ซูจิ่นซี ไม่แน่ว่าที่อยู่ในมือของเจ้านั้นอาจเป็นของปลอมก็เป็นได้ แผ่นป้ายสัญลักษณ์ประจำสกุลของประมุขสกุลซู ผู้ใดเคยพบเห็นบ้างเล่า? พวกเจ้าคนใดเคยเห็นมาก่อนหรือ? อนุเยวี่ย ท่านเคยเห็นหรือไม่? อนุปี้ เจ้าเล่า? แล้วก็เจ้าอนุหลิ่ว ท่านพ่อโปรดปรานเจ้าที่สุดไม่ใช่หรือ? เคยให้เจ้าดูแผ่นป้ายสัญลักษณ์ประจำสกุลนั่นหรือไม่? เจ้าเคยเห็นหรือ? ”
ซูเซียนฮุ่ยเห็นด้วยกับซูจวิ้น นางส่งเสียงดังลั่นด้วยใบหน้าเหยียดหยาม
มุมปากของซูจิ่นซียกยิ้มเย็นชาอยู่ตลอดเวลา นางเอ่ยกับฮั่วซื่อว่า “ท่านแม่ ท่านเป็นนายหญิงของจวนนี้ที่มีความยุติธรรมที่สุด อีกอย่างแผ่นป้ายคำสั่งเสียของประมุขสกุลซูนี้ คิดดูแล้วก็มีเพียงท่านผู้เดียวที่แยกออกว่าจริงหรือปลอม ท่านต้องพูดแทนข้าอย่างยุติธรรมแล้วเล่า! อย่าปล่อยให้เหล่าอนุทั้งหลายและลูกๆ ของท่านผิดหวัง”
ขณะที่พูดอยู่ ซูจิ่นซีก็นำแผ่นป้ายสัญลักษณ์ประจำสกุลส่งไปยังมือของฮั่วซื่อ
เยี่ยมเสียจริง!
ในเวลานี้ แม้ฮั่วซื่อจะไม่ได้ออกปากโจมตีซูจิ่นซีโดยตรงเหมือนที่ซูเซียนฮุ่ยและซูจวิ้นทำ ทว่าภายในใจนั้นโกรธแค้นเดือดดาลต่อซูจิ่นซีไม่น้อยไปกว่าสองคนนั้นเลย
ซูจิ่นซีได้โยนเผือกร้อน [1] หัวนี้เข้าไปในอ้อมแขนของฮั่วซื่อ
ฮั่วซื่อรักการแสดงละครไม่ใช่หรือ?
ชอบเสแสร้งไม่ใช่หรืออย่างไร?
ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการใช้ตะบองฆ่า ขึ้นอยู่กับว่านางสามารถแสดงไปได้ถึงเมื่อใด
ฮั่วซื่อถือสัญลักษณ์ของประมุขสกุลซูไว้ในมือ นางโกรธจนมือสั่น ฟันกระทบกันไม่หยุด ฮั่วซื่อฝืนวาดรอยยิ้มประดับบนใบหน้า ทว่ามันกลับน่าเกลียดเสียยิ่งกว่าการร้องไห้
“โอ้ มองนานถึงเพียงนี้ แผ่นป้ายคำสั่งเสียของสกุลซูจริงหรือปลอมกันแน่เล่า? ” อนุหลิ่วส่งเสียงถาม
“ใช่ จริงหรือไม่เล่า? ”
“พี่หญิง ท่านพูดสิเจ้าคะ! เป็นไปได้ว่ามันคือของจริง ท่านคงคิดจะกอบโกยเอาไว้คนเดียวกระมัง? ” อนุอีกนางยังคงยั่วยุฮั่วซื่อไม่หยุด
“สารเลว เจ้าพูดว่ากระไรนะ? ”
ซูเซียนฮุ่ยกล่าวตำหนิ
อนุผู้นั้นนิ่งเงียบ นางจ้องไปที่ซูเซียนฮุ่ยและไม่พูดอันใด
“ท่านแม่เจ้าคะ? เป็นของจริงหรือไม่ ท่านคงมิได้ดูไม่ออกหรอกกระมัง? ” ซูจิ่นซีเอ่ยถามขึ้น
ฮั่วซื่อจะมองไม่ออกได้อย่างไร ผู้คนทั้งหมดในจวนสกุลซู นอกจากซูจ้งแล้ว ฮั่วซื่อเป็นผู้เดียวที่ได้เห็นสัญลักษณ์ของประมุขสกุลซู
ทว่าจะพูดว่าเป็นของจริงก็ไม่ได้ พูดว่าเป็นของปลอมก็ไม่ถูก นางถูกซูจิ่นซีทำให้โกรธจนแทบจะระเบิดอยู่แล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน ฮั่วซื่อที่ลอบกัดฟันจนแทบจะแหลกละเอียด ดวงตาถมึงทึงแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอันอ่อนโยน ฮั่วซื่อยิ้มและถามขึ้นว่า “ป้ายสัญลักษณ์ประจำสกุลนี้เป็นสัญลักษณ์ของสกุลซูจริงๆ อย่างไรก็ตาม จิ่นซี ป้ายสัญลักษณ์นี้เจ้าเอามันมาได้อย่างไร? ”
ซูจิ่นซียิ้มเย็นชาอย่างสงบ นางนำป้ายสัญลักษณ์ประจำสกุลจากมือของฮั่วซื่อส่งให้แม่นมฮวา แม่นมฮวารับมาแล้วเก็บใส่เข้าไปในแขนเสื้อ
“ท่านแม่มองออกก็ดีแล้วเจ้าค่ะ คาดว่าท่านแม่คงได้พลิกจวนสกุลซูหาทุกซอกทุกมุมแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ? น่าเสียดายที่ป้ายสัญลักษณ์ประจำสกุลอยู่ในมือของท่านพ่อ เป็นท่านพ่อที่มอบมันให้กับข้า”
ซูจิ่นซีโกหกไปเล็กน้อย
“ซูจิ่นซี เจ้าพูดจามั่วซั่ว เจ้าจะต้องขู่บังคับแย่งมาจากมือของท่านพ่ออย่างแน่นอน”
“ใช่ ตอนนี้ท่านพ่ออยู่ในคุกหลวง พวกเราล้วนเข้าไปไม่ได้ ทั้งยังไม่ได้พบหน้าท่านพ่อด้วยซ้ำ ด้านในเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ กลัวก็เพียงแต่เจ้าจะรู้อยู่ผู้เดียวกระมัง? ”
ซูจวิ้นและซูเซียนฮุ่ยยังมุ่งเป้าไปที่ซูจิ่นซี ทว่ากลับถูกฮั่วซื่อบังคับให้ออกไปจากห้องโถง
“จิ่นซี ท่านพ่อของเจ้ามอบแผ่นป้ายสัญลักษณ์ประจำสกุลให้เจ้า…บุตรสาวที่แต่งออกไปแล้ว หมายความว่าอย่างไร? … ”
ฮั่วซื่อยกยิ้มให้กับซูจิ่นซีดั่งรอยยิ้มที่ซ่อนด้วยมีด [2] นางจงใจกวนโมโหด้วยคำว่า ‘บุตรสาวที่แต่งออกไปแล้ว’ เจ็ดพยางค์นี้
“ท่านแม่โปรดวางใจ ความหมายของท่านพ่อไม่ได้ต้องการยกมรดกสกุลซูให้ข้า…บุตรสาวที่แต่งออกไปแล้วผู้นี้หรอกเจ้าค่ะ ท่านเพียงสั่งให้ข้าในฐานะพระชายาโยวอ๋อง เลือกประมุขสกุลซูคนใหม่ที่มีความสามารถ มีความรับผิดชอบและแบกรับหน้าที่ได้ดี อีกประการหนึ่งยังเป็นการฟื้นคืนจวนสกุลซูที่ถูกราชวงศ์กำจัดและหอโอสถที่ถูกสั่งปิดให้เปิดตัวขึ้นมาใหม่”
ซูจิ่นซีจงใจกดเสียง ‘พระชายาโยวอ๋อง’ ห้าพยางค์นี้ นางใช้สายตาจ้องปะทะกับฮั่วซื่อโดยไม่แสดงจุดอ่อนใดแม้แต่น้อย
“เหอะๆ เรื่องตลกทั้งเพ เดิมทีข้าก็เป็นทายาทผู้ถือมรดกของสกุลซูคนต่อไป ท่านพ่อยังจะสั่งให้เจ้าคัดเลือกประมุขสกุลคนใหม่กระไรกัน? เจ้ากำลังโกหก” ซูจวิ้นวิตกขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าเดิมทีซูจิ่นซีและฮั่วซื่อก็ไม่ได้ใส่ใจเขาสักนิด
“ท่านพี่มีคนที่เลือกไว้ในใจหรือไม่? ” ฮั่วซื่อถามขึ้น
“ไม่มีเจ้าค่ะ ดังนั้นข้าถึงต้องมาเลือกเฟ้นด้วยตนเอง” ซูจิ่นซีตอบ
ในความเป็นจริงมีการเลือกคนไว้ ซูจ้งที่อยู่ในคุกได้บอกซูจิ่นซีแล้ว ทว่าซูจิ่นซีไม่สามารถบอกฮั่วซื่อได้ในตอนนี้ หากให้ฮั่วซื่อรู้เข้า ตามวิธีการของฮั่วซื่อในการจัดการเรื่องราวต่างๆ หากคนผู้นั้นมีชีวิตรอดมาคัดเลือกคงแปลกน่าดู
“เช่นนั้น เจ้ามีวิธีการคัดเลือกอย่างไร? ” ฮั่วซื่อถามขึ้น
ซูจิ่นซีชำเลืองมองฝูงชนอีกครั้งแล้วกล่าวว่า “ในสกุลซูมีคนรุ่นหลังที่มีความสามารถไม่กี่คน ปกติไม่ว่าจะเป็นบุตรของอนุหรือบุตรของฮูหยิน ท่านพ่อก็ได้สั่งสอนโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ดังนั้นหลังจากนี้เจ็ดวันทุกคนต้องทำการแข่งขันกันที่หอกุ้ยเหรินตรงถนนหลักฉางอัน ให้ผู้คนที่อยู่ตรงถนนหลักฉางอันเป็นพยาน ถึงเวลานั้นข้าจะเชิญให้ผู้อาวุโสที่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่กี่ท่านมาเป็นผู้ประเมินการตัดสินเพื่อรับประกันความยุติธรรมในการแข่งขัน ผู้ชนะจะเป็นประมุขรุ่นต่อไปของสกุลซู ท่านแม่ ท่านคิดว่าอย่างไรเจ้าคะ? ”
“ถึงเวลานั้นจะมีวิธีการแข่งขันอย่างไร? ” ใบหน้าของฮั่วซื่อปราศจากรอยยิ้ม
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปาก “เรื่องนี้ ในวันแข่งขันเท่านั้นจึงจะสามารถประกาศได้ พูดออกมาตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด? ”
“ได้! ”
ฮั่วซื่อแทบจะกัดฟันกรอดเสียแล้ว
“อนุทุกท่าน น้องชายและน้องหญิงทั้งหลาย หากมีความสนใจที่จะสมัครเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ ถึงเวลานั้นแม้จะไม่สามารถคว้าลำดับที่หนึ่งได้ ทว่าตราบใดที่ผลคะแนนการแข่งขันมีความโดดเด่น ล้วนสามารถไปฝึกฝนประสบการณ์ที่ร้านขายยาทุกหนแห่งของสกุลซูได้เช่นกัน” ซูจิ่นซีหันไปเอ่ยกับเด็กชายหญิงและอนุทุกคน
“ซูจิ่นซี เจ้าอาศัยกระไรมารับหน้าที่ตัดสินใจเอง? ” ซูเซียนฮุ่ยพูดอย่างแน่วแน่
“อาศัยแผ่นป้ายสัญลักษณ์สกุลซูในมือข้าอย่างไรเล่า” ซูจิ่นซีทะนงตนเป็นอย่างยิ่ง นางไม่นำซูเซียนฮุ่ยมาอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
“ท่านแม่ ข้าไม่ทำตาม ข้าไม่ทำตามแน่ๆ เดิมทีข้าเป็นทายาทของสกุลซูคนต่อไป ยังต้องอาศัยกระไรมาคัดเลือกคนอีก? อาศัยกระไรกัน? ” ซูจวิ้นกระทืบเท้าพูดขึ้น
ฮั่วซื่อจับมือของซูจวิ้นโดยไม่พูดจาอันใด
ซูจวิ้นชี้ไปทางซูจิ่นซีแล้วด่าว่า “ซูจิ่นซี ตั้งแต่เกิดมา พวกเขามีผู้ใดที่เทียบเท่าข้า…ซูจวิ้นได้สักคนหรือ? ไม่ว่าจะเป็นฝีมือการแพทย์ พวกเขาล้วนไม่อาจเทียบข้า พวกเขามีคุณสมบัติอะไรมาสู้กับข้า? เจ้าสร้างกฎถึงเพียงนี้เพื่ออันใดกันแน่? ”
“มรดกของสกุลซูแต่ไหนแต่ไรมาก็ควรส่งต่อให้กับผู้ที่มีความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นบุตรอนุท่านใด ซูจวิ้น หากเจ้ามีความสามารถอย่างแท้จริง เมื่อถึงเวลาการแข่งขันก็จะรู้เองและข้าจะสนับสนุนเจ้า! ”
ซูจิ่นซีจงใจยกยอปอปั้นซูจวิ้น นางส่งสายตาไปทางซูจวิ้นอย่างปากว่าตาขยิบ
ทว่าในขณะนี้การแสดงออกของซูจิ่นซี สำหรับซูจวิ้นแล้วเป็นการยั่วยุอย่างมหาศาล
หากไม่ใช่เพราะฮั่วซื่อดึงเขาไว้ตลอดเวลา ซูจวิ้นคงได้ลงไม้ลงมือกับซูจิ่นซีแล้ว
เรื่องราวก็สมควรแก่เวลา ซูจิ่นซีไม่สนใจจะใช้เวลากับคนเหล่านี้อีกต่อไป นางลุกขึ้นและเดินออกไป ทว่าเมื่อเดินไปถึงข้างตัวซูเซียนฮุ่ย ซูจิ่นซีกลับมองนางอย่างไม่แยแส
ซูจิ่นซียิ้มและเอ่ยกับซูเซียนฮุ่ยว่า “พี่หญิงใหญ่หากเจ้ามีความสนใจก็สามารถสมัครได้เช่นกัน หากเจ้าโชคดี ตำแหน่งผู้สืบทอดสกุลซูในอนาคตก็จะเป็นของเจ้า” ซูจิ่นซีขมวดคิ้วอีกครั้ง ใบหน้าแสดงความสงสาร “ทว่าช่างน่าเสียดาย หากพี่หญิงใหญ่ได้เป็นทายาทคนต่อไปในอนาคต ก็จะไม่สามารถอภิเษกกับไท่จื่อและเป็นพระชายาไท่จื่อได้ เพราะไม่อาจให้ไท่จื่อพาคุณหนูฮั่วแต่งเข้ามาย่ำยีศักดิ์ศรีในสกุลซูกระมัง? ”
……
เชิงอรรถ
[1] เผือกร้อน หมายถึง เรื่องราวหรือปัญหาที่แก้ไขและรับมือได้ยาก เช่นเดียวกับเผือกร้อนที่ถือเอาไว้ก็มีแต่จะลวกมือให้พอง
[2] ยิ้มที่ซ่อนด้วยมีด สุภาษิตจีน หมายถึง หน้าเนื้อใจเสือ ภายนอกเป็นมิตร แต่กลับมีความคิดมุ่งทำร้าย