เมื่อก่อนสกุลซูก็มีบรรพบุรุษที่เป็นสตรีผู้หนึ่งสืบทอดธุรกิจของสกุล ทว่าเพื่อสืบทอดธุรกิจของครอบครัว สตรีผู้นั้นจึงไม่สามารถออกเรือนได้อีกต่อไป ทำได้เพียงแต่งบุตรเขยเข้ามาเท่านั้น
ซูจิ่นซีจงใจพูดถึงเยี่ยเซินและฮั่วอวี้เจียวเพื่อฉีกแผลเป็นในใจของซูเซียนฮุ่ย
ตอนนี้ซูเซียนฮุ่ยแทบรอไม่ไหวที่จะเข้าไปกัดซูจิ่นซี
เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของซูเซียนฮุ่ย ซูจิ่นซีก็หัวเราะดังสนั่น ก่อนจากไปซูจิ่นซียังเหลือบมองไปที่อนุปี้อีกครั้ง
หลังจากกลับมาที่เรือนฮั่นเซียง ซูจิ่นซีก็ไม่พูดไม่จาทั้งวัน หลังมื้อค่ำลวี่หลีบอกว่าอนุปี้พาซูอวี้มาเข้าเฝ้า
“เชิญเข้ามา! ” ซูจิ่นซีกล่าว
หลังจากที่อนุปี้เข้าประตูมาก็คำนับซูจิ่นซีอย่างละเอียดลออ “พระชายาเพคะ! ”
นางสั่งให้ซูอวี้คำนับแก่ซูจิ่นซีด้วยเช่นกัน “ซูอวี้ เคารพพระชายาโยวอ๋องเร็วเข้า”
“ซูอวี้คำนับพระชายา”
แม้วันนี้ซูอวี้จะมีอายุเพียงแปดขวบ กระทั่งตอนที่พูดยังติดสำเนียงแบบเด็ก ทว่ากลับเป็นเด็กที่เชื่อฟังคนหนึ่ง ซูจิ่นซีชอบใจเป็นอย่างยิ่ง นางดึงซูอวี้เข้ามาแล้วกล่าวว่า “ไม่ต้องเรียกพระชายาหรอก เรียกว่าพี่จิ่นซีก็พอแล้ว”
แท้จริงแล้วอนุปี้เป็นเพียงอนุภรรยานอกจวนของซูจ้ง ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้เฝ้าดูซูอวี้เติบโตขึ้นทุกวันๆ ทั้งยังเฉลียวฉลาดเชื่อฟังคำสั่งสอน พรสวรรค์ด้านการแพทย์ก็ไม่เลว จึงเป็นเหตุผลที่ฮั่วซื่อกดดันรับเอาสองแม่ลูกกลับมาที่จวน
ดังนั้นตอนที่อยู่ในห้องโถง ซูจิ่นซีจึงไม่รู้จักอนุปี้และซูอวี้ เนื่องจากไม่มีผู้ใดเคยเห็นมาก่อน
ซูจิ่นซีให้แม่นมฮวาและลวี่หลียกน้ำชามาให้สองแม่ลูก ซูจิ่นซียังคงสำรวจพฤติกรรมของอนุปี้และซูอวี้อยู่ตลอดเวลา
นางพบว่าการวางตัวของพวกเขาไม่ผ่อนปรนจนเกินไป และไม่โอ้อวดเกินไปเช่นกัน เหมาะสมยิ่งนัก
อนุปี้ผู้ซึ่งไม่เคยถูกฮั่วซื่อครอบงำมาก่อน นางไม่เคยถูกฮั่วซื่อปลุกใจให้แปดเปื้อนกับความชั่วร้ายหยาบโลน อนุปี้มีนิสัยอ่อนโยนใจกว้าง มีความรู้และมีเหตุผล บุตรชายที่นางสอนนั้นแตกต่างจากบุตรชายในจวนสกุลซูเสียจริง
“พระชายา ท่านให้หม่อมฉันพาซูอวี้มาพบท่านในเวลาค่ำ ไม่รู้ว่าด้วยเรื่องอันใดหรือเพคะ? ” อนุปี้เอ่ยเปิดประเด็นอย่างตรงไปตรงมา
ใช่แล้ว ขณะที่ซูจิ่นซีออกมาจากห้องโถงในเวลากลางวัน นางมองไปที่อนุปี้และหลับตาลง ทั้งยังเหลือบมองไปทางซูอวี้ที่อยู่ด้านข้าง ส่งสัญญาณให้อนุปี้พาซูอวี้ไปพบนางที่เรือนฮั่นเซียงในตอนค่ำ
“การแข่งขันคัดเลือกคนของสกุลซูในครั้งนี้ ซูอวี้จำเป็นต้องเข้าร่วม”
ซูจิ่นซีไม่ได้ถามอนุปี้ว่าจะเข้าร่วมหรือไม่ ทว่าบอกอย่างตรงไปตรงมาว่านางต้องไม่ปฏิเสธ
ทว่าผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่ซูจิ่นซีคาดการณ์ไว้ อนุปี้ต้องการหลีกเลี่ยงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ “ไม่ปิดบังพระชายาเพคะ ก่อนหน้านี้พวกเราสองแม่ลูกอาศัยอยู่ที่เรือนอื่นด้านนอกจวน แม้ว่าท่านพี่จะสอนทักษะทางการแพทย์ให้อวี้เอ๋อร์อยู่บ้าง อีกทั้งหม่อมฉันยังได้ทำความเข้าใจบ้างเล็กน้อย ทว่าอวี้เอ๋อร์นั้นมีพรสวรรค์ไม่เพียงพอและยังเรียนรู้ไม่มากนัก ดังนั้นแม้จะเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ก็อาจไม่เป็นไปตามที่พระชายาปรารถนา เราสองแม่ลูกไม่มีอันใดจะขอ เพียงใช้ชีวิตอยู่จวนในแต่ละวันอย่างปลอดภัย พระชายาได้โปรดให้พวกเราบรรลุเป้าหมายนี้ด้วยเถิดเพคะ”
อนุปี้ผู้นี้ แท้จริงแล้วไม่ธรรมดาเลย
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากแผ่วเบา “ได้ ในเมื่ออนุปี้มีเจตนาเช่นนี้ตั้งแต่แรก ข้าก็จะไม่บังคับ”
“ขอบพระทัยเพคะพระชายา”
ซูจิ่นซีและอนุปี้พูดคุยกันอีกเล็กน้อย ไม่มีเรื่องอันใดมากไปกว่าการดำรงชีวิตประจำวันของอนุปี้สองแม่ลูก ชีวิตเริงรื่นสุขสันต์ของซูจิ่นซีในจวนโยวอ๋องเทือกนั้น
ล้วนเป็นเหตุการณ์สามัญปกติทั่วไป เป็นเรื่องที่ปกติยิ่ง
ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็ไอขึ้นมาอย่างรุนแรง
“พระชายาเพคะ ยาของท่านยังอุ่นอยู่บนเตาผิงน้อยเพคะ! ให้ข้าน้อยไปนำยามาให้ท่านนะเพคะ ท่านควรดื่มยาก่อน” ใบหน้าของแม่นมฮวาถามขึ้นอย่างเป็นกังวล
“ได้”
แม่นมฮวาหันหลังเดินออกไป เมื่อกลับมาในมือก็ถือถ้วยยาสีเขียวหยกเคลือบดินเผาถ้วยหนึ่ง ด้านในมียาปริ่มขอบถ้วย
ซูจิ่นซีรับถ้วยชานั้นมา สายตาเหลือบมองอนุปี้และซูอวี้
การแสดงออกของอนุปี้ปกติยิ่ง ทว่าดวงตาเล็กๆ ของซูอวี้กลับจ้องมองถ้วยยาของซูจิ่นซีด้วยสายตาเป็นประกาย
อนุปี้รู้สึกได้ถึงบางอย่าง นางดังเอาซูอวี้มาไว้ข้างกายของตน
ซูจิ่นซียกถ้วยยาขึ้นแล้วดื่มลงไป
หลังจากนั้นแม่นมฮวาก็ยื่นลูกกวาดให้ซูจิ่นซีอีกหนึ่งเม็ด
เมื่อซูจิ่นซีกำลังจะทานลูกกวาด ซูอวี้ก็พูดขึ้นทันทีว่า “ท่านพี่จิ่นซี ท่านทานลูกกวาดไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“อวี้เอ๋อร์ อย่าพูดไร้สาระ! ”
อนุปี้บีบแขนของซูอวี้อย่างแรง พลางส่ายหัวให้ซูอวี้
ซูอวี้ปิดปากในทันที ไม่พูดจาอันใดอีกและไม่กล้าเงยหน้ามองซูจิ่นซี
“อวี้เอ๋อร์ บอกพี่หญิงมา เหตุใดข้าจึงทานลูกกวาดเม็ดนี้ไม่ได้เล่า? ” ซูจิ่นซีถามขึ้น
ซูอวี้อยากพูดบางอย่าง ทว่าเมื่อสบเข้ากับสายตาของอนุปี้ก็ไม่พูดแล้ว
“หากเจ้าไม่พูด พี่หญิงจะถือว่าเจ้าพูดจามั่วซั่ว ข้าจะทานลูกกวาดเม็ดนี้แล้วนะ! ” ขณะที่พูดอยู่ ซูจิ่นซีก็หยิบลูกกวาดขึ้นมาและวางไว้ในปากของตนเอง
ซูอวี้ทนไม่ไหวเสียแล้ว ดวงตามองไปที่อนุปี้และกล่าวว่า “ท่านแม่ ลูกกวาดเม็ดนี้ท่านพี่จิ่นซีทานไม่ได้จริงๆ นะ เมื่อครู่ที่ท่านพี่จิ่นซีเจ็บคอและมีเสมหะในลำคอเพราะได้รับลมหนาว ทว่ากลับดื่มยาที่สกัดมาจากการต้มสมุนไพร ได้แก่ เสวียนเซิน [1] ไป๋เฮา [2] ไป๋เวย [3] อิ๋นไฉหู [4] เหล่านี้ซึ่งสามารถขับร้อนบำรุงเลือด เป็นยารักษาขับลมร้อน ตอนนี้หากทานลูกกวาดอีกครั้ง ลำคอจะต้องบวมและเป็นแผลถลอกอย่างแน่นอน”
ซูจิ่นซียิ้มเย็นชาที่มุมปาก นางยื่นลูกกวาดให้แม่นมฮวา ไม่ทานอีกต่อไป
หลังจากนั้นซูจิ่นซีจึงมองอย่างลึกซึ้งแฝงความหมายไปยังอนุปี้ที่มีใบหน้าอับอาย “อนุปี้ เด็กอายุแปดขวบคนหนึ่ง ไม่ต้องชิม ทั้งยังไม่ต้องอ่านใบสั่งยาและกากของยาต้ม อาศัยเพียงดมกลิ่นก็สามารถรับรู้ได้ว่าใช้ยาสมุนไพรกระไร นี่หรือไร้ปัญญาและพรสวรรค์? ”
ทันใดนั้นอนุปี้ก็กอดซูอวี้และคุกเข่าลงกับพื้น “พระชายาเพคะ หม่อมฉันเพียงต้องการให้อวี้เอ๋อร์อาศัยอยู่ในจวนอย่างสงบสุขเพคะ เพียงให้อวี้เอ๋อร์เติบโตในจวนอย่างสงบสุข ไม่ต้องการให้ข้องเกี่ยวกับเรื่องของจวน พระชายาเพคะ ท่านปล่อยอวี้เอ๋อร์ไปเถิดนะเพคะ! ”
“เจ้ากังวลว่าฮั่วซื่อจะจ้องหาโอกาสแก้แค้นพวกเจ้าสองแม่ลูกหรือ? ”
“ไม่ใช่กังวลเพคะ ทว่ากังวลอย่างแน่นอน! ”
ในดวงตาของอนุปี้มีน้ำตาคลอเบ้า นางกล่าวขณะที่จ้องซูจิ่นซีด้วยความแน่วแน่เป็นอย่างยิ่ง
“อนุปี้ หากเจ้ากลัวฮั่วซื่อจริง ก็ไม่ควรเข้ามาในจวนสกุลซูตั้งแต่แรก”
อยู่ด้านนอกดีเพียงใด? เมื่ออยู่ด้านนอกฮั่วซื่อคงไม่มีทางรู้ว่ามีพวกเขาดำรงอยู่ไปตลอดชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นซูจ้งจะโปรดปรานพวกเขามากยิ่งขึ้นเพราะรู้สึกว่าเป็นหนี้บุญคุณพวกเขาสองแม่ลูก นี่จะดีกว่าการกลับมามีชีวิตเฉกเช่นการเดินบนน้ำแข็งแผ่นบางหรือไม่เล่า?
น่าเสียดาย ไม่ว่าจะมีสตรีสาวสวยมากเท่าใด ตราบใดที่พวกเขามีบุรุษเป็นของตนเองและมีลูก ท้ายที่สุดพวกเขายังต้องการมีจุดยืน ยิ่งไปกว่านั้น คนฉลาดเช่นอนุปี้ย่อมต้องการมากกว่านี้อย่างแน่นอน
อนุปี้ถูกซูจิ่นซีเปิดเผยทัศนคติและความคิดเห็น นางหยุดพูดและพยักหน้าด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นาน อนุปี้ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ กล่าวว่า “บางทีพระชายาอาจพูดถูก เดิมทีพวกเราสองแม่ลูกไม่ควรมาที่จวนสกุลซูเลย หม่อมฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าจะหาโอกาสเหมาะสมพาซูอวี้ไปจากที่นี่เพคะ”
ความแน่วแน่ของอนุปี้และการตัดสินใจของนางนั้นเกินความคาดหมายของซูจิ่นซี
บางทีในคราแรกที่เข้ามาในจวนสกุลซู อนุปี้อาจคิดพยายามทำกระไรบางอย่าง ทว่าหลายปีที่ผ่านมาได้เฝ้าเห็นวิธีการเหล่านี้ของฮั่วซื่อ เห็นแผนการต้มกันไปต้มกันมา เห็นลูกๆ ของซูจ้งตายทีละคนด้วยน้ำมือของฮั่วซื่อ มันอาจเปลี่ยนความตั้งใจเดิมของนางไปแล้ว เพียงต้องการช่วยเหลือซูอวี้ให้สมดั่งความหวังที่ตั้งใจไว้
ทว่าไม่ทันเสียแล้ว
ซูจิ่นซีเหลือบมองซูอวี้ซึ่งฉลาดและมีมารยาท พลางหันไปพูดกับอนุปี้ว่า “อนุปี้ หากบิดาแท้ๆ ของเขาเป็นผู้ขอให้ซูอวี้เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้เล่า? ”
อนุปี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เงยหน้ามองซูจิ่นซี “พระชายา ท่านหมายความว่าอย่างไรเพคะ? ”
ซูจิ่นซีจ้องมองอนุปี้ กล่าวอย่างแน่วแน่ว่า “ซูอวี้คือผู้สืบทอดลำดับถัดไปของสกุลซูที่ท่านพ่อหมายมั่นเอาไว้ในใจแล้ว”
……
เชิงอรรถ
[1] เสวียนเซิน คือ สมุนไพรจีน เป็นยารักษาโรค แก้ร้อนใน ดับพิษร้อนในเลือด บำรุงธาตุเย็น
[2] ไป๋เฮา คือ สมุนไพรจีน เป็นยารักษาโรค มีฤทธิ์ในการล้างความร้อนและขจัดความชื้น ทำให้เลือดเย็นเพื่อหยุดการไหลของเลือด ใช้ในระยะยาวเพื่อบำรุงลมปราณ ต้านทานริ้วรอย และยังสามารถใช้รักษาโรคต่างๆ เช่น โรคไขข้อ โรคหวัด และโรคดีซ่าน ใช้แก้ตัวเหลืองทั้งตัว ปัสสาวะลำบาก ลดไข้ที่ศีรษะ บรรเทาอาการบวม บรรเทาไขข้ออักเสบ บรรเทาไข้เมื่อย ไข้ไทฟอยด์ เป็นต้น
[3] ไป๋เวย คือ สมุนไพรจีน เป็นยารักษาโรค มีสรรพคุณ ขับร้อนในเลือด ล้างพิษ ขับปัสสาวะ รักษาแผล ฝี รสชาติและคุณสมบัติคือรสขม เค็ม เย็น
[4] อิ๋นไฉหู คือ สมุนไพรจีน เป็นยารักษาโรค ชื่อในภาษาจีนแต้จิ๋วเรียกว่า หงิ่งฉ่าโอ๊ว มีสรรพคุณ ขับร้อนจากภาวะหยินพร่อง ลดไข้เข้ากระดูก ขับร้อนจากภาวะขาดสารอาหารในเด็กเล็ก รสชาติและคุณสมบัติคือรสหวานและเย็นเล็กน้อย