สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 139 ตกลงตามนี้ คู่ชู้ชายโฉดหญิงชั่ว

        แม้ซูจิ่นซีจะดูออกว่าซูอวี้มีพรสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง อีกประการหนึ่งทักษะทางการแพทย์ในปัจจุบันของเขาก็ถือว่าดีกว่าเด็กวัยเดียวกันมาก ทว่าอย่างไรก็ตามอาจมีตัวแปรอื่นๆ มากมายในการแข่งขัน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหลายสิ่งที่ซูอวี้จำเป็นต้องแสดงทักษะทางการแพทย์ของเขาต่อไปในอนาคต ดังนั้นซูจิ่นซีจึงคิดหาผู้ใดสักคนมาให้ซูอวี้ฟื้นฟูทักษะทางการแพทย์ของเขาอย่างเต็มที่โดยเร็วที่สุด

        ในบรรดาคนที่ซูจิ่นซีรู้จักทั้งหมด ผู้ที่มีทักษะทางการแพทย์ไม่เลวมีเพียงอวิ๋นจิ่นและจิ่วหรงเท่านั้น

        ทว่าอวิ๋นจิ่นเป็นหมอหลวงของสำนักหมอหลวง เวลาว่างมีจำกัดมาก นอกจากนั้นการเข้าออกจวนโยวอ๋องบ่อยครั้งคงไม่เหมาะสม ดังนั้นในที่สุดซูจิ่นซีจึงตัดสินใจให้พ่อบ้านเป็นธุระช่วยไปหาจิ่งหรง

        จิ่งหรงเป็นดั่งนกกระป่าบินเหนือเมฆและล่องลอยอย่างเพลิดเพลิน [1] มักไม่มีที่อยู่แน่นอนเป็นหลักแหล่ง สามารถหาเขาพบหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง พ่อบ้านทำได้เพียงลองพยายามดู เขาเขียนจดหมายให้เทียนอีเหมินหนึ่งฉบับ และให้นกพิราบบินนำจดหมายไปส่ง

        แม่นมฮวาเมื่อได้ยินว่าซูจิ่นซีต้องการพบตัวจิ่วหรง ใบหน้าก็ไม่สบอารมณ์ หน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ครู่ใหญ่

        ท้ายที่สุดเป็นแม่นมฮวาที่อดไม่ได้ นางพูดกับซูจิ่นซีว่า “พระชายาเพคะ เช่นนี้จะดีหรือเพคะ? หรือท่านลืมไปแล้วว่าครั้งก่อนฝ่าบาทเข้าใจผิดไปเพราะเรื่องไท่จื่อและคุณหนูฮั่ว? ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าฝ่าบาทมีความประทับใจที่ไม่ค่อยดีต่อจิ่วหรงเท่าไรนะเพคะ”

        เรื่องนี้ซูจิ่นซีคิดไว้แล้วเช่นกัน ทว่ายังมีวิธีการอื่นอีกหรือ?

        เยี่ยโยวเหยาสามารถหาบุคคลที่มีทักษะการแพทย์ไม่น้อยไปกว่าจิ่วหรง อีกประการหนึ่งคือสามารถเข้ามาสอนซูอวี้ในจวนโยวอ๋องได้หรือไม่เล่า?

        ด้วยเหตุนี้ เมื่อซูจิ่นซีถามแม่นมฮวาในคำถามเดิม แม่นมฮวาจึงไม่มีคำพูดอันใดอีก

        บางทีซูจิ่นซีอาจโชคดีจริงๆ นกพิราบสื่อสารยังไม่ถูกส่งไปยังเทียนอีเหมิน คนที่ส่งออกไปตรวจสอบก็ได้รับข่าวสารว่าจิ่วหรงอยู่ในเมืองตี้จิงแห่งนี้

        พ่อบ้านออกมาชี้แจงเจตนาเป็นการส่วนตัว เมื่อได้ยินว่าซูจิ่นซีร้องขอ จิ่วหรงก็รับปากด้วยความยินดียิ่ง

        “เรื่องเล็กน้อย ค่าตัวขึ้นแล้ว เริ่มอวดดีใจใหญ่ใจโตเสียแล้วสิ หือ? คาดไม่ถึงว่ากระทั่งอาจารย์ยังกล้าใช้ได้”

        “หากท่านไม่เต็มใจ ข้าคงไม่บังอาจใช้ท่านหรอกเจ้าค่ะ! ”

        จิ่วหรงยกยิ้ม นิ้วมือประสานกันดีดลงไปบนหน้าผากของซูจิ่นซีหนึ่งครั้ง

        “พูดมาเถิด ตามอาจารย์มาด้วยเรื่องอันใด? ”

        “จิ่วหรงเจ้าคะ ข้ามั่นใจว่าเรื่องสำคัญนี้ท่านต้องช่วยข้าได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

        ขณะที่พูดอยู่ ซูจิ่นซีก็เหลือบมองไปทางลวี่หลี หลังจากลวี่หลีออกไปไม่นานก็พาซูอวี้เข้ามาด้วย

        ทันทีที่ซูจิ่นซีพูดเกี่ยวกับความตั้งใจของนางจบ สีหน้าของจิ่วหรงก็มืดมน “เมื่อใดกันที่เจ้าจะต้องมากังวลเรื่องที่อาจารย์จะรับลูกศิษย์ เด็กน้อย ความกล้าหาญของเจ้านับวันยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เสียแล้ว”

        “จิ่วหรงเจ้าคะ แท้จริงแล้วข้าไม่ได้ต้องการให้ท่านรับซูอวี้เป็นศิษย์ เพียงต้องการให้ท่านแนะนำและสอนเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ สักสองสามอย่าง ถึงอย่างไรหากท่านสามารถใจกว้างมากกว่านี้อีกสักหน่อย ยอมรับเขาในฐานะลูกศิษย์ ข้าก็ไม่ถือสาอันใดมาก”

        ซูจิ่นซีพูดอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย

        จิ่วหรงหรี่ตาลงมองซูจิ่นซีในทันใด “เด็กน้อย… ”

        “หือ? ”

        “เจ้ากล้าวางแผนกับอาจารย์แล้วสิ ช่างสามารถยิ่งนัก! ”

        ซูจิ่นซียิ้มร่า “จิ่วหรงเจ้าคะ ท่านรับปากแล้วใช่หรือไม่? ”

        “ให้รับปากก็ได้อยู่หรอก ทว่าอาจารย์มีเรื่องหนึ่ง”

        ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็ได้กลิ่นไม่ค่อยดีเสียแล้ว “เรื่องอันใดเจ้าคะ? ”

        “ต้องการให้ข้าสอนเจ้าเด็กนี่ก็ย่อมได้ ทว่าข้าต้องการทานอาหารฝีมือเจ้าทุกวัน ห้ามซ้ำ”

        ที่แท้จิ่วหรงต้องการให้ซูจิ่นซีเลี้ยงอาหารหรือ?

        นี่ไม่ง่ายไปหรืออย่างไร?

        ดูไม่ออกเลยว่าจิ่งหรงจะเป็นนักกินตัวยง

        “ได้สิเจ้าคะ ไม่มีปัญหา” ซูจิ่นซีรับปากอย่างมีความสุขยิ่ง

        “สิ่งใดที่อาจารย์อยากทาน เจ้าต้องทำเองกับมือ” จิ่วหรงเน้นย้ำ

        นี่มีอันใดยากกัน ตั้งแต่เด็ก ซูจิ่นซีก็ไม่ใช่เด็กนิสัยเสีย คุณลุงยังเป็นพ่อครัว นอกจากนั้นซูจิ่นซียังได้เรียนศาสตร์การทำอาหารกับอาจารย์ตั้งแต่ยังเล็ก

        “ได้เจ้าค่ะ! ทว่ายังมีอีกเรื่องหนึ่ง” ซูจิ่นซีเอ่ยขึ้น

        “โอ้โห ไม่เลวเลยจริงๆ คาดไม่ถึงว่าเจ้ายังจะต่อรองกับอาจารย์อีก พูดมาเถิด มีเรื่องอันใด? ”

        “ทุกวันข้าจะทำอาหารให้ท่านทานหนึ่งอย่าง หากท่านคิดว่าอาหารที่ข้ายังพอมีฝีมือใช้ได้! ท่านจะต้องสอนซูอวี้เพิ่มอีกหนึ่งชั่วยาม ยิ่งไปกว่านั้น ท่านจะต้องสอนทักษะที่แท้จริง ไม่สามารถสอนอย่างไม่ตั้งใจได้นะเจ้าคะ”

        นี่เป็นกลยุทธทางการตลาดที่ฉลาดยิ่ง ผู้ค้าต้องการผูกมัดเพื่อให้ลูกค้าไว้วางใจและติดตามสินค้าในระยะยาว กระทั่งฟังข้อกำหนดทิศทางของเจ้า สินค้าของเจ้าไม่อาจทำให้ลูกค้าอิ่มได้เลย

        จิ่วหรงหรี่ตามองซูจิ่นซีอย่างครุ่นคิด

        ซูจิ่นซีเผยรอยยิ้มใสซื่อบริสุทธ์อย่างสงบเยือกเย็น

        หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่จิ่วหรงจึงพูดขึ้นว่า “ได้! ”

        ซูจิ่นซีแปะมือ “ตามนี้! ตกลง! “

        การปรึกษาหารือในฝั่งของซูจิ่นซีและจิ่วหรงเป็นไปอย่างสบายและราบรื่น ทว่าแม่นมฮวาที่ฟังอยู่ด้านข้างและพ่อบ้านกลับมีใบหน้าสลดใจ

        พระชายา เช่นนี้ดีจริงหรือ?

        ท่านให้บุคคลที่มีรูปร่างท่าทางและใบหน้าอารมณ์ที่ไม่ด้อยไปกว่าท่านอ๋องมาอาศัยอยู่ในจวน ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นบุรุษผู้หนึ่งที่มีความคลุมเครือต่อท่านภายใต้ร่มธงของศิษย์อาจารย์ นอกจากนั้นท่านยังจะทำอาหารให้เขาทานด้วยตนเองทุกวัน เช่นนี้ดีจริงหรือ?

        ท่านไม่กลัวท่านอ๋องหึงหรือ?

        ไม่กลัวหรือ?

        ท่านอ๋องหึงรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง!

        ไม่ต้องพูดถึงแม่นมฮวาและพ่อบ้านเลย กระทั่งลวี่หลีที่ไม่ว่าเรื่องใดก็คอยติดตามซูจิ่นซีเสมอ นางยังมีใบหน้าที่กังวลเช่นกัน

        เห็นได้ชัดว่าวันนี้อากาศอบอุ่นและมีแดดปลอดโปร่งแจ่มใส ทว่าการยืนอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์กลับทำให้ตัวสั่นอยู่ตลอดเวลา

        นางสัมผัสได้ถึงความหึงหวงของเยี่ยโยวเหยาที่ลอยอยู่เต็มเหนือท้องฟ้า เมื่อเยี่ยโยวเหยาเห็นพระชายาของพวกเขาทำอาหารให้แก่จิ่วหรง ความพิโรธเดือดดาลนั้นคงทำให้ทั้งจวนโยวอ๋องเย็นยะเยือกเข้าไปถึงกระดูก

        ในความเป็นจริง ซูจิ่นซีเป็นผู้ที่มีมโนธรรมชัดเจน เดิมทีไม่ทราบว่าที่ตนกระทำเช่นนี้มีสิ่งใดผิด ทั้งหมดที่นางต้องการทำคือการหาปรมาจารย์ที่ดีให้ซูอวี้ เพื่อที่เขาจะได้เป็นตัวเลือกอันดับต้นในการแข่งขันทายาทสกุลซู ภายภาคหน้าในอนาคตสามารถชุบชีวิตสกุลซูในฐานะของวงศ์ตระกูล

        นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าองครักษ์ของเยี่ยโยวเหยาในจวนมองนางและจิ่วหรงราวกับว่าพวกเขากำลังดู ‘คู่ชู้ชายโฉดหญิงชั่ว’ อย่างไรอย่างนั้น

        พระชายา ท่านทำเช่นนี้ ท่านอ๋องกลับมาจะต้องฆ่าท่านให้ตายเป็นแน่!

        แน่นอนว่าหลังจากที่เยี่ยโยวเหยากลับมาได้ยินว่าซูจิ่นซีวางแผนจัดการให้จิ่วหรงอยู่ในจวนแห่งนี้ ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็พลันมืดมน เยี่ยโยวเหยาตรงดิ่งไปยังลานที่จิ่วหรงอาศัยอยู่ เขาเตะประตูให้เปิดออกโดยไม่พูดไม่จา และเริ่มประลองวรยุทธ์กับจิ่วหรงทันที

        วิทยายุทธของเยี่ยโยวเหยาและจิ่วหรงไม่มีผู้ใดเหนือผู้ใด ทั้งสองต่อสู้กันทั้งคืน ทว่าไม่อาจบอกได้ว่าผู้ใดแพ้ชนะ

        ในที่สุดซูจิ่นซีก็รับรู้ความผิดพลาดของตนเองแล้ว นางขอร้องให้เยี่ยโยวเหยาวางมืออยู่ตลอดเวลา ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับไม่ฟังเลยแม้แต่น้อย

        ในที่สุดจิ่วหรงก็พ่ายแพ้ให้กับเยี่ยโยวเหยาในยกสุดท้าย เขาถูกฝ่ามือของเยี่ยโยวเหยากระแทกลงกับพื้น หลังจากนั้นดาบของเยี่ยโยวเยาก็แทงทะลุหัวใจของจิ่วหรงทันที

        โชคดีที่จิ่งหรงวิ่งเร็ว ไม่เช่นนั้นอาจถูกดาบของเยี่ยโยวเหยาฆ่าตายไปแล้ว

        “ซูจิ่นซี เจ้ากล้ามากเสียจริง! คาดไม่ถึงว่าจะพาชายชู้มาถึงจวน หากข้าไม่กลับมา พวกเจ้ายังคิดจะทำสิ่งใด? หือ? ”

        ในลานของจวนโยวอ๋อง เยี่ยโยวเหยาบีบคอซูจิ่นซีอย่างรุนแรงกลางที่สาธารณะ

        “เยี่ย… โยวเหยาเพคะ ท่านปล่อย…มือ ปล่อย…ปล่อยมือ! ”

        ซูจิ่นซีเหมือนลูกไก่ถูกบีบอยู่ในกำมือของเยี่ยโยวเหยา ดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง

        “ในเมื่อเจ้าแต่งเข้ามาในจวนโยวอ๋องของข้าแล้ว ชีวิตนี้เจ้าเป็นได้เพียงคนของข้า…เยี่ยโยวเหยา ข้าไม่ยอมให้เจ้าไม่ซื่อสัตย์หรือทรยศ ยิ่งไม่อนุญาตให้เจ้าคบชู้สู่ชาย ซูจิ่นซีเจ้าเข้าใจหรือไม่? ”

        ดวงตาของเยี่ยโยวเหยาเต็มไปด้วยความโกรธ เย็นชาและกระหายเลือด

        ลวี่หลีถูกทำให้ตกใจกลัวจนทรุดลงไปกับพื้น นางร้องไห้ไม่หยุด ไม่กล้าพูดกระไรแม้แต่น้อย

        แม่นมฮวา พ่อบ้าน และเหล่าทหารอารักขาล้วนไม่กล้าหายใจเสียงดังแม้แต่ผู้เดียว

        จวนโยวอ๋องทั้งหมดแทบจะถูกครอบงำไปด้วยกลิ่นอายรัศมีแห่งความโกรธ ความเย็นชา และความหดหู่ที่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายของเยี่ยโยวเหยา

        ทันใดนั้น…

        ทันใดนั้นทุกคนก็ตกตะลึงอย่างฉับพลัน…

……

เชิงอรรถ

[1] นกกระป่าบินเหนือเมฆและล่องลอยอย่างเพลิดเพลิน คือสุภาษิตจีน หมายถึง บุคคลสันโดษ ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของชาวโลก เป็นบุคคลที่ปราศจากการผูกมัดของโลกีย์วิสัย

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset