สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 140 เด็กโง่ ตายเป็นผีก็ไม่อาจปล่อยเจ้าไป

        ทันใดนั้น ดวงตาของเยี่ยโยวเหยาพลันแดงก่ำราวกับกระหายเลือด ใบหน้าขาวซีด มือที่บีบคอของซูจิ่นซียิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

        “เยี่ย… เยี่ยโยวเหยา ท่าน…ปล่อยหม่อมฉัน ปล่อย…หม่อมฉัน! ”

        ซูจิ่นซีหายใจติดขัดขึ้นทุกที นางแทบจะถูกเยี่ยโยวเหยาบีบคอจนตายอยู่แล้ว

        “ท่านอ๋อง ท่านปล่อยมือเถิด ข้าจะไม่ไหวอยู่แล้วเพคะ”

        “ท่านอ๋อง ท่านให้อภัยพระชายาเถิดเพคะ! พระชายาไม่ได้ตั้งใจนะเพคะ! ท่านอภัยให้พระชายาเถิดเพคะ! ”

        พ่อบ้านและแม่นมฮวาล้วนคุกเข่าคำนับลงกับพื้น

        ทว่าเยี่ยโยวเหยาราวกับไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น นัยน์ตาแดงก่ำราวกับปีศาจจากขุมนรกชั้นเก้า เขายิ่งบีบคอของซูจิ่นซีหนักขึ้นเรื่อยๆ

        ซูจิ่นซีแทบจะขาดอากาศหายใจแล้ว

        หรือว่าเยี่ยโยวเหยาโหดร้ายทารุณถึงเพียงนี้ จะบีบคอซูจิ่นซีให้ตายเลยหรือ?

        ทันใดนั้นตามมาด้วยเสียง “ปัง” มือของเยี่ยโยวเหยาที่บีบคอของซูจิ่นซีพลันร่วงลงทันที ซูจิ่นซีคว้าโอกาสดิ้นหลุดจากการผูกมัดของเยี่ยโยวเหยา นางซ่อนตัวอยู่ด้านข้าง พลางหอบหายใจอย่างหนัก

        “เยี่ยโยวเหยา หม่อมฉันไม่ได้คิดจะกระทำอันใดจริงๆ นะเพคะ หา…หาจิ่วหรงเพียงเพื่อมาเป็นอาจารย์สอนทักษะแพทย์ให้ซูอวี้เท่านั้นเพคะ”

        ซูจิ่นซีเพิ่งผ่อนคลายได้เล็กน้อยเท่านั้น นางก็เร่งรีบอธิบายแก่เยี่ยโยวเหยาอย่างรวดเร็ว

        ทว่าเมื่อซูจิ่นซีเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งกลับพบว่าสายตาของทุกคนช่างน่าสงสัยยิ่งนัก ในเวลาเดียวกันร่างสูงของเยี่ยโยวเหยาก็ล้มลงกับพื้นอย่างรุนแรง เผยให้เห็นซูอวี้ที่มีรูปร่างเล็กเตี้ยอยู่ด้านหลังเยี่ยโยวเหยา ในมือกำลังถือคทาหรูอี้ [1] ไว้

        เมื่อครู่ซูอวี้ใช้หยกหรูอี้ทำให้เยี่ยโยวเหยามึนงงสลบไป เพื่อช่วยซูจิ่นซี

        “ท่านพี่จิ่นซี ดูเหมือนว่าเขาจะถูกพิษแล้วพ่ะย่ะค่ะ ดังนั้นเมื่อครู่ถึงได้เสียสติและเหตุผลไป”

        คำพูดของซูอวี้เตือนสติซูจิ่นซี ซูจิ่นซีจึงตระหนักได้ว่าเมื่อครู่นี้เยี่ยโยวเหยาผิดปกติไปจริงๆ นางรีบตรวจชีพจรของเยี่ยโยวเหยา

        “พ่อบ้าน เร็ว พาเยี่ยโยวเหยาไปตำหนักฝูอวิ๋น! เร็ว”

        เป็นพิษดูดเลือดของเยี่ยโยวเหยาที่ปะทุขึ้นอีกครั้ง

        ไม่แปลกใจเลยที่เยี่ยโยวเหยาจะสูญเสียความสามารถในการควบคุมตนเอง

        เป็นเวลานานแล้วที่เยี่ยโยวเหยาดูดเลือดของซูจิ่นซีไปสองครั้ง หลังจากนั้นพิษดูดเลือดในร่างกายของเขาก็ไม่กำเริบขึ้นอีก หากไม่ได้รับการเตือนจากระบบถอนพิษทุกครั้งที่เห็นเยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซีคงลืมเรื่องนี้ไปแล้ว

        เหตุใดจึงกำเริบขึ้นมาอย่างฉับพลันกัน?

        เป็นไปได้หรือไม่ว่าเรื่องที่นางตามจิ่วหรงมาวันนี้เป็นการยั่วยุเยี่ยโยวเหยา?

        ไม่หรอกกระมัง?

        ซูจิ่นซีเหลือบมองเยี่ยโยวเหยาที่ถูกทหารพาไปอย่างลึกซึ้งอีกครั้ง

        ในตำหนักฝูอวิ๋น ซูจิ่นซีฝังเข็มให้เยี่ยโยวเหยา อาการของเยี่ยโยวเหยาจึงคงที่ขึ้น

        แม่นมฮวาใช้ผ้าขนหนูเช็ดใบหน้าและมือของเยี่ยโยวเหยา ใบหน้าของนางเป็นทุกข์ยิ่งนัก

        ซูจิ่นซีสูดหายใจเข้าลึกๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้นางสำนึกผิดอยู่เต็มหัวใจ บางทีพิษดูดเลือดบนร่างกายของเยี่ยโยวเหยาอาจกำเริบขึ้นอีกครั้งและมันเกี่ยวข้องกับนางจริงๆ

        ซูจิ่นซียังไม่นั่งบนเก้าอี้อย่างมั่นคง ทันใดนั้นแม่นมฮวาก็ตะโกนขึ้นมาว่า

        “พระชายาเพคะ ท่านรีบมาดูเร็วเพคะ! เกิดอันใดขึ้นกับท่านอ๋อง? ”

        น้ำเสียงของแม่นมฮวาแทบจะร้องไห้ นางรีบวิ่งมาดึงซูจิ่นซีไปที่ข้างเตียงของเยี่ยโยวเหยา

        ในเวลาชั่วพริบตา เยี่ยโยวเหยาที่เพิ่งได้รับการฝังเข็มจากซูจิ่นซีเพื่อให้อาการคงที่กลับเริ่มมีอาการชัก ร่างกายสั่นกระตุกขึ้นมา ดูเหมือนเจ็บปวดยิ่งนัก

        “ท่านอ๋อง ท่านเป็นอย่างไรบ้างเพคะ? ท่านอ๋อง! ท่านอย่าทำให้แม่นมตกใจสิเพคะ! พระชายา ท่านรีบมาดูท่านอ๋องเร็วเข้าเพคะ! ” แม่นมฮวาโน้มตัวอยู่ข้างเตียงของเยี่ยโยวเหยา นางเริ่มร้องไห้ขึ้นมาเสียแล้ว

        ซูจิ่นซีดึงมือของเยี่ยโยวเหยามาตรวจชีพจรอีกครั้ง หลังจากนั้นไม่นานก็กล่าวขึ้นว่า “แม่นมฮวา ท่านออกไป! ”

        “หือ? ”

        แม่นมฮวาไม่เข้าใจแม้แต่น้อย “พระชายาเพคะ เกิดอันใดขึ้นกับท่านอ๋องกันแน่เพคะ? ”

        “ออกไป! ”

        ท่าทางของซูจิ่นซีรุนแรงยิ่งนัก

        น้อยครั้งที่แม่นมฮวาจะพบเห็นซูจิ่นซีเป็นเช่นนี้ นางตื่นตกใจ เช็ดน้ำตาที่ไหลอาบหน้าแล้วรีบเดินออกไป

        “ปิดประตู! ”

        แม่นมฮวาปิดประตูก่อนที่จะเดินออกไป

        เมื่อเหลือเพียงซูจิ่นซีผู้เดียวในห้อง ซูจิ่นซีมองไปบนเตียง ใบหน้าที่เจ็บปวดและถมึงทึงของยังเยี่ยโยวเหยาไม่สามารถปกปิดความทุกข์ได้อีกต่อไป

        ในตอนนี้ซูจิ่นซีแทบทนไม่ไหวที่จะวางยาพิษตนเอง เพื่อให้เป็นนางที่พิษกำเริบ และให้เป็นนางที่รู้สึกไม่สบายใจ

        ซูจิ่นซีหยิบกริชที่เยี่ยโยวเหยาวางไว้บนแท่น ไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะกรีดข้อมือตนเอง ซูจิ่นซีคุกเข่าลงบนเตียงและวางข้อมือลงบนริมฝีปากของเยี่ยโยวเหยา

        เมื่อเยี่ยโยวเหยาได้กลิ่นคาวของเลือดก็ราวกับสัตว์ป่าได้พบเหยื่อ เขาเริ่มดูดกลืนอย่างตะกละตะกลาม ยิ่งดูดมากเท่าไร ยิ่งดูเหมือนเด็กไร้เดียงสาและบริสุทธิ์เท่านั้น

        เมื่อเลือดไหลเข้าสู่ปากของเยี่ยโยวเหยา การแสดงออกอันเจ็บปวดบนใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาก็ค่อยๆ หายไป ทว่าเยี่ยโยวเหยายังคงไม่ปลอดภัยนัก เยี่ยโยวเหยาโอบแขนซูจิ่นซีและดูดเลือดอย่างไม่หยุดหย่อน

        แท้จริงแล้ว วิธีการฝังเข็มของซูจิ่นซีเมื่อครู่ไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด และตอนนี้วิธีการฝั่งเข็มก็ได้ควบคุมพิษดูดเลือดในร่างกายของเยี่ยโยวเหยาเอาไว้แล้ว

        ซูจิ่นซีคิดว่านี่อาจเป็นเหตุผลที่เยี่ยโยวเหยาดูดเลือดของนาง

        บางทีในอนาคตคงไม่มีทางอื่นที่จะสามารถควบคุมพิษดูดเลือดในร่างกายของเยี่ยโยวเหยาได้ นอกเสียจากจะเป็นเลือดของซูจิ่นซี

        ทว่านี่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาระยะยาว ซูจิ่นซีจะเต็มใจปล่อยให้เยี่ยโยวเหยาเผชิญกับความเจ็บปวดเช่นนี้อีกครั้งได้อย่างไรกัน

        ดังนั้นซูจิ่นซีจึงต้องการทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุด พัฒนาขอบเขตการถอนพิษโดยเร็วที่สุด ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่จะสามารถถอนพิษให้เยี่ยโยวเหยาได้และช่วยเยี่ยโยวเหยาไขปริศนาของ ‘พิษอั้นหรานเซียวหุน’ นอกจากนั้นซูจิ่นซียังต้องมีความสามารถที่แข็งแกร่งในการปกป้องศักดิ์ศรีตนเองและจัดการกับผู้ที่ต้องการจัดการกับนาง

        เมื่อเยี่ยโยวเหยาดูดเลือดมากขึ้นเรื่อยๆ สติของซูจิ่นซีก็พลันเลือนลาง

        ทว่าก่อนที่ซูจิ่นซีจะหมดสติ นางก็ได้ยินเสียงของเยี่ยโยวเหยาที่จับแขนของนาง คำพูดที่มีทิฐิเผด็จการทั้งยังพูดอย่างสับสนว่า “ซูจิ่นซี เจ้าเป็นของข้า ทั้งชีวิตนี้เจ้าอย่าได้คิดหนีไปจากข้า ทั้งชีวิตนี้อย่าได้คิด! ”

        เมื่อซูจิ่นซีตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น นางก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย ร่างกายอ่อนแรง ขาดพละกำลังเพราะให้เยี่ยโยวเหยาดูดเลือดที่แขนจนหมดสติไป

        แผลที่ข้อมือถูกพันด้วยผ้าพันแผลไว้

        ทั้งเตียงและผ้าห่มที่นางนอนอยู่ล้วนเต็มไปด้วยเลือด

        สวรรค์!

        เหตุใดถึงเสียเลือดมากมายถึงเพียงนี้?

        ซูจิ่นซีลุกขึ้นจากเตียงในทันที

        ทว่าเนื่องจากการเคลื่อนไหวที่มากเกินไป ทั้งยังการสูญเสียเลือดจำนวนมาก ทำให้เกิดแสงสว่างวาบขึ้นเบื้องหน้า ซูจิ่นซีจึงทิ้งตัวนั่งลงอีกครั้ง

        ซูจิ่นซีแตะหน้าผากเย็นเฉียบชั่วครู่

        วินาทีต่อมาร่างกายของนางก็ถูกกดลงบนเตียง เสียงโกรธจัดของเยี่ยโยวเหยาดังขึ้นข้างหูว่า “ซูจิ่นซี เจ้าเป็นคนโง่หรือ? เจ้าเสียเลือดมากเกินไป อีกเพียงนิดเจ้าก็จะตายแล้ว รู้หรือไม่? ”

        ซูจิ่นซีตกตะลึงในทันที เมื่อคืนที่ผ่านมานางหยดเลือดเพียงเล็กน้อยเพื่อช่วยชีวิตเยี่ยโยวเท่านั้น เมื่อก่อนไม่ใช่ว่าเคยมีประสบการณ์เช่นนี้หรือ? ทุกครั้งก็ผ่านมาได้ด้วยดีเสมอ ไม่ร้ายแรงถึงเพียงนั้นกระมัง?

        แม้ว่าตอนนี้สุขภาพร่างกายจะไม่ค่อยดีเท่าไร ทว่าซูจิ่นซีกลับฝืนยิ้มมองไปที่เยี่ยโยวเหยา “เยี่ยโยวเหยา ท่านอย่าตื่นเต้นหวาดหวั่นเพคะ หม่อมฉันยังดีอยู่มิใช่หรือ? หม่อมฉันมีเลือดมาก เสียเลือดไปแค่นั้นไม่เป็นไรแม้แต่น้อย ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง ความร้ายแรงของพิษดูดเลือด ท่านผ่านมาได้แล้วหรือไม่? ให้หม่อมฉันตรวจชีพจรหน่อยเถิดเพคะ! ”

        ซูจิ่นซีกำลังจะเหยียดมือออกไปเพื่อตรวจชีพจรของเยี่ยโยวเหยา ทันใดนั้นเยี่ยโยวเหยากลับจับมือของนางและกดลงที่ศีรษะของนางอย่างแน่นหนา ดวงตาที่เย็นชาและเดือดดาลอย่างไม่มีสิ่งใดเทียบได้ของเยี่ยโยวเหยาพลันสบเข้ากับใบหน้าของซูจิ่นซี

        “ซูจิ่นซี หากเจ้าประสบเหตุเภทภัยโชคร้ายถึงชีวิต แม้ว่าจะตายเป็นผี ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไป! ”

        ซูจิ่นซีจ้องมองดวงตาแดงก่ำของเยี่ยโยวเหยาอย่างตะลึงงัน ทันใดนั้นก็หัวเราะ “พรืด” ออกมาอย่างไม่เหมาะสมยิ่ง

        “ขอทูลถามเยี่ยโยวเหยาที่รักของหม่อมฉันนะเพคะ นี่ท่านกังวลแทนข้า เดือดร้อนแทนข้าใช่หรือไม่? หากใช่ ท่านอ๋องเพคะ วิธีที่ท่านแสดงออกว่ากังวลใจเช่นนี้ช่างพิเศษเกินไปกระมัง? ”

        ทว่าในวินาทีต่อมา รอยยิ้มบนใบหน้าของซูจิ่นซีพลันแข็งทื่อ และนางไม่สามารถหัวเราะได้อีกต่อไป

……

เชิงอรรถ

[1] คทาหรูอี้ คือสัญลักษณ์แห่งสิริมงคลที่พบเห็นกันมากที่สุด คำว่า “หรู” แปลว่าเหมือน หรือ เป็นดั่งเช่น ส่วนคำว่า “อี้” แปลว่าความคิด ความต้องการ รวมแล้ว “หรูอี้” จึงมีนามอันเป็นมงคลยิ่งคือ “เหมือนดั่งใจปรารถนา” คทาหรูอี้ เป็นเครื่องยศชั้นสูงแสดงถึงความสูงศักดิ์ สำหรับจักรพรรดิ ขุนนางชั้นสูง และพระจีนชั้นผู้ใหญ่เพื่อไว้ใช้ทำพิธีกรรม รูปลักษณ์ตรงส่วนหัวคล้ายเห็ดหลินจือซึ่งชาวจีนโบราณเชื่อว่ามีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะ หากผู้ใดกินจะเป็นอมตะ จัดเป็นพืชมงคลอย่างหนึ่ง คทาหรูอี้ อาจทำด้วยงาช้าง หยก หิน ไม้ไผ่ และโลหะ ถ้าทำด้วยหยกเรียกว่า ‘เง็กหรูอี้’ เง็กคือหยก หรูอี้แปลว่าสมปรารถนา

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset